ตอนที่ 497 สถานการณ์เปลี่ยน
ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปยังห้องของตน แต่ซูเจวี๋ยยังมิได้ไปจากศาลาอี้เหลียง เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ซูโหรววางเข็มปักผ้าในมือลง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองไปทางซูเจวี๋ย
“ปัญหามิรู้จบ”
“ข้าทราบ ดังนั้นข้าจึงยังคิดว่า ข้าจะลงมือสังหารนางดีหรือไม่”
“เจ้าเองก็ลงมือมิลง”
“เพราะเหตุอันใดกัน ? ”
“เพราะเจ้าทราบว่าคนผู้นั้นไร้ความดีและความชั่ว ความดีและความชั่วมิได้ถูกกำหนดมาจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา มิเยี่ยงนั้นเหตุใดนิกายฝูถึงได้เผยแพร่ว่าวางดาบฆ่าคนลงเพื่อบรรลุธรรมเป็นพุทธะกัน ? ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็มิเคยยกดาบขึ้นมาก่อน ถึงแม้จะเป็นข้า ข้าเองก็มิคิดว่านางสมควรตาย ถึงตัวจะอยู่ในลัทธิจันทราแต่นี่คือโชคชะตาที่นางมิสามารถกำหนดเองได้ แต่ว่าจะกลายเป็นดาบในมือของลัทธิจันทราหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่นางสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่านางมิได้กลายเป็นดาบในมือของลัทธิจันทรา เพราะนางได้ช่วยชีวิตศิษย์น้องเล็กเอาไว้อย่างมิเสียดายชีวิต…”
ซูโหรวจัดปอยผมบริเวณใบหู และกล่าวต่อว่า “ศิษย์น้องเล็กเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพยิ่ง ในเมื่อเขาได้ช่วยคนผู้นี้กลับมา จึงมิมีทางที่จะปล่อยให้นางตกตายลงไปเป็นแน่ ดังนั้นเจ้าเองก็มิต้องโศกเศร้าไป”
“สำหรับปัญหาในอนาคต รอให้นางตื่นขึ้นมาก่อนเถิด ทุกคนจะได้สนทนากันอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา และสังหารทุกคนที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางเสีย ใต้หล้านี้ก็จะมิมีถงเหยียนอีกต่อไป จะมีเพียงสวี่ซินเหยียนที่มิได้สลักสำคัญอันใดเพิ่มขึ้นมาอีกคน”
…..
…..
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ขันทีเจี่ยได้ขับรถม้าเข้ามายังจวนฟู่
“ท่านเสี่ยวกวน ฝ่าบาทเชิญท่านไปร่วมประชุมราชวงศ์เช้าวันนี้ด้วยขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนฝึกการออกหมัดเสร็จพอดี จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ทราบหรือไม่ว่ามีเรื่องอันใดกัน ? ”
“ข้าน้อยคิดว่า… น่าจะเป็นเรื่องที่ท่านเสี่ยวกวนถูกลอบทำร้ายเมื่อคืน”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา และโยนงานให้กับขันทีเจี่ยทันที “ข้าต้องการฝังลัทธิจันทราไว้ในเมืองจินหลิง เพื่อดึงคนที่ซ่อนอยู่ให้ออกมา อย่าปล่อยให้พวกเขาได้ฉลองปีใหม่”
ขันทีเจี่ยเงียบไปชั่วครู่ “พวกเขา… ไร้หนทางที่จะใช้ช่วงเวลาปีใหม่แล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ “ลงมือเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ ? ”
“พวกเขาเป็นภัยต่อพระองค์ ย่อมสมควรตาย ! ”
“มีจำนวนคนเท่าใด ? ”
“109 คน”
“พระประสงค์ของฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…เป็นความคิดเห็นของข้าน้อย”
“…ดีมาก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าขันทีเจี่ยจะแก้ไขปัญหาของคนที่หลบซ่อนอยู่แทนเขาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ จากที่มองดูในตอนนี้อำนาจของฝูงมดในเมืองหลวงค่อนข้างกว้างขวางเสียทีเดียว หากเขาลงมือใช้ฝูงมด จะเป็นการดึงความสนใจของหอซี่หยู่หรือไม่ ?
เขาเปลี่ยนชุดเป็นชุดพิธีการ ขึ้นรถม้าของขันทีเจี่ย และตรงไปยังวังหลวง
“คนที่หลบซ่อนอยู่ในเมืองหลวงแท้จริงแล้วยังเหลืออยู่อีก 1 คน” บนรถม้าที่กำลังทะยานออกไป ขันทีเจี่ยก็ได้เอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วเบา
“ผู้ใดกัน ? ”
“ถงเหยียน”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักชั่วครู่ แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าทราบหรือไม่ว่าถงเหยียนหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ? ”
ขันทีเจี่ยยกยิ้ม “ตามคำบอกเล่าของแม่นางผู้นี้ ข้าน้อยเองก็มิทราบว่านางมีรูปลักษณ์เยี่ยงไร เนื่องจากเมื่อคืนพระองค์ได้ช่วยออกมา 1 คน ข้าน้อยคิดว่าพระองค์มีฐานะที่สูงส่ง มิคุ้มค่าที่จะไปเสี่ยงอันตราย หากพระองค์มิสะดวก ข้าน้อยจะลงมือแทนเอง”
ชายชราผู้นี้รับรู้เรื่องมากมายอย่างแท้จริง !
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “นางช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“ชีวิตของนางมิสามารถเทียบได้กับชะตาชีวิตของพระองค์”
“เจ้าผิดแล้ว ในสายตาของข้า ชีวิตของทุกคนต่างก็สำคัญเท่ากัน หากมีวันใดที่เจ้าตกหลุมพรางลึก ข้าเองก็จะช่วยเจ้าเช่นกัน”
ขันทีเจี่ยเงียบไปชั่วอึดใจ และเอ่ยถามออกมาว่า “หากเป็นศัตรูกับใต้หล้า เช่นนั้นพระองค์จะทรงเลือกเยี่ยงไร ? ”
“หากเป็นศัตรูกับใต้หล้า แล้วมันเป็นเยี่ยงไรกัน ? ”
“…พระองค์ช่างอาจหาญยิ่ง โจวถงถงถูกโจมตีที่ภูเขาฉีซาน และในตอนนี้ก็ได้ถึงเมืองจิงกวนโดยสวัสดิภาพแล้ว”
ขันทีเจี่ยมิเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องของสตรีผู้นั้นอีก เขาจึงได้กล่าวถึงโจวถงถงขึ้นมาแทน
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวดเล็กน้อย และเอ่ยถามว่า “เป็นฝีมือของลัทธิจันทราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อั้นเหมินแห่งลัทธิจันทรา ผู้ที่โจมตีต่างเสียชีวิตทั้งหมด ทั้งยังสามารถสังหารไป๋หลี่หงที่เป็นถึงปรมาจารย์ได้อีกด้วย”
“โจวถงถงเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
“มิใช่ เป็นเพราะปืนคาบศิลาของพระองค์ที่มีอานุภาพร้ายแรงยิ่ง”
“สามารถสังหารปรมาจารย์ได้เลยหรือ ? ”
“…หากเป็นฝีมือของพระองค์เห็นทีจะมิได้ แต่หากเป็นปรมาจารย์ด้วยกัน หรือต่ำกว่าหนึ่งขั้น ก็จะสามารถสังหารปรมาจารย์ได้อย่างแท้จริง”
ให้ตายเถอะ นิดหน่อยก็สามารถสังหารคนได้แล้ว !
ฟู่เสี่ยวกวนจดจ้องขันทีเจี่ย คาดว่าพอจะเข้าใจความหมายของประโยคนั้นโดยคร่าวแล้ว ผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสามไร้หนทางที่จะเข้าใกล้ปรมาจารย์ได้ เพียงแค่ปรมาจารย์แทงกระบี่เพียงหนึ่งคราหรือแม้แต่ก้อนหินหนึ่งก้อนก็สามารถสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างง่ายดาย
เยี่ยงนั้นด้วยฝีมือของโจวถงถงรวมกับปืนคาบศิลา การสังหารไป๋หลี่หงส์ก็คงมิใช่เรื่องยากอันใด
จากนั้นขันทีเจี่ยก็ได้กล่าวออกมาอีกหนึ่งประโยคซึ่งทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต้องตื่นตะลึงเสียจนตาเบิกโพลง “ผู้ที่สังหารไป๋หลี่หงมิใช่โจวถงถง แต่เป็น… ฟู่ต้ากวน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจเสียจนต้องอ้าปากค้างในทันที ผ่านไปหลายอึดใจเขาถึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้ากล่าวอันใดผิดไปหรือไม่ ชายอ้วนผู้นั้นต่อสู้ได้ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ขันทีเจี่ยหันหน้ากลับมาและกล่าวยิ้ม ๆ “ชายอ้วนผู้นั้นมิได้เพียงต่อสู้เป็นเท่านั้น ! ”
จะกล่าวว่าชายอ้วนที่ดูซื่อ ๆ ผู้นั้นปกปิดความสามารถของตนเองมาตลอดเยี่ยงนั้นหรือ ?
แท้จริงแล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์ที่เชื่อมิได้ !
ตามที่ขันทีเจี่ยกล่าวมา ชายอ้วนผู้นั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่ง แล้วเหตุใดในอดีตเขาจึงมิสอนเจ้าของร่างเดิมนี้ให้เป็นวรยุทธ์กัน ?
“เขาไปที่ราชวงศ์อู๋อีกทำไมกัน ? ”
“เขาคือพระเชษฐาของจักรพรรดิพระองค์ก่อน สำหรับราชวงศ์อู๋ เขาเอาใจใส่มากกว่าพระองค์ ความหมายของข้าน้อยก็คือ เขาต้องการเห็นราชวงศ์อู๋มั่นคง เยี่ยงไรเสียในมิช้าพระองค์ก็ต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋อยู่ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบ ชายอ้วนต้องไปปกป้องราชวงศ์อู๋เอาไว้ เขาต้องปกป้องราชวงศ์อู๋ แต่ก็จำต้องต่อสู้กับไทเฮาซี… ไทเฮาซีได้บริหารราชวงศ์อู๋มานานหลายปี แล้วชายอ้วนผู้นี้จะเป็นคู่มือของนางได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
“พระองค์มิจำเป็นต้องกังวลใจ หอเทียนจีก็มิได้เรียบง่ายเยี่ยงที่เห็น ในครานี้ได้พาเกาเสี่ยนกลับแคว้น ราชวงศ์อู๋ก็อาจจะโกลาหลไปอีกสักพัก หลังจากที่เกิดความโกลาหล หนวดของลัทธิจันทราที่ยื่นเข้าไปในราชวงศ์อู๋ถึงจะสามารถถูกตัดออกไปได้ทั้งหมด”
ขันทีเจี่ยมิทราบว่าไทเฮาซีมีขุมกำลังครอบครองอยู่ในกำมือเท่าใด เขาเองก็มิทราบว่าไทเฮาซีจะบ้าคลั่งได้ถึงเพียงใด
รถม้าได้ขับเข้ามาในเขตหลวง ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้าและตรงไปยังท้องพระโรงเฉิงเทียนทันที
การประชุมราชวงศ์ยามเช้าได้เริ่มแล้ว หลังจากที่ฝ่าบาทได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนก็หยุดการหารือปัญหาเรื่องน้ำท่วมของแม่น้ำหวงเหอและหันมองไปทางเขา
“มิเป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ดียิ่ง ! ”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน ก้าวไปข้างหน้าบนแท่นมังกรสองก้าว “ปัจจุบันลัทธิจันทราได้ทำการลอบสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนักอย่างอุกอาจ ข้าทนพวกเขามาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้ข้ามิคิดที่จะทนอีกต่อไป ! ”
“เสนาบดีเยี่ยนรับราชโองการ ! ”
เสนาบดีเยี่ยนฮ่าวชูแห่งกรมกลาโหมก้าวไปเบื้องหน้าและโค้งคำนับ “กระหม่อม เยี่ยนฮ่าวชูรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้กองทัพของแม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตกทั้งหมด มุ่งหน้าไปซีหรงเพื่อถอนรากถอนโคนปราบปรามลัทธิจันทราเสียให้สิ้น แต่งตั้งกษัตริย์แห่งเจิ้นซีฮั่วตงหลินเป็นเจียนจวินคอยดูแลกองทัพ ให้จิ่นชินอ๋องหยูเวิ่นชูจัดการรวบรวมเสบียงอาหารและเงินหนุนที่จำเป็น ข้าต้องการให้แล้วเสร็จก่อนเดือนเจ็ดในปีหน้า ต้องได้รับข่าวว่าลัทธิจันทราได้ถูกกวาดล้างจนสิ้นแล้วเท่านั้น มิเยี่ยงนั้น…ตัดสินลงโทษตามวินัยทหาร ! ”
ราชโองการของฮ่องเต้ที่ประกาศออกไปนี้ ทำให้เหล่าขุนนางเงียบไปหลายอึดใจ หลังจากนั้นก็ได้แตกฮือขึ้นมา
ฉินฮุ่ยจือรีบก้าวขึ้นไปด้านหน้า โน้มคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท สถานการณ์ภายในแคว้นตอนนี้มิอำนวยให้ก่อสงครามขึ้นอีกพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนี้ซีฮวงในตอนนี้ก็ได้ถูกหิมะใหญ่ปกคลุมภูเขาไปแล้ว กองทัพนี้จะฝ่าเข้าไปได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ มิสู้… มิสู้หารือกันระยะยาวจะดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฮ่องเต้โบกมือใหญ่ไปมา “ข้าได้ตัดสินเจตจำนงแล้ว มิจำเป็นต้องหารือเรื่องนี้กันต่อ…”
กล่าวจบเขาก็ได้หันมามองฟู่เสี่ยวกวน “ฟู่เสี่ยวกวนรับราชโองการ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน ชายชราผู้นี้คงจะมิส่งข้าไปยังซีหรงใช่หรือไม่ ?
เขาก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว “กระหม่อมฟู่เสี่ยวกวนรับราชโองการ”
“ข้าอนุญาตให้กองทัพดาบเทวะของเจ้าขยายกองทัพได้ถึง 30,000 นาย และทุกกองที่อยู่ในผิงหลิงต้องย้ายไปที่เมืองเปียนเฉิง ให้เริ่มออกเดินทางตั้งแต่วันนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ นี่…
“เลิกประชุม ! ”
ฮ่องเต้เอาสองมือไขว้หลังและเดินลงมาจากบัลลังก์มังกร
“เยี่ยนเป่ยซี เยี่ยนซือเต้า ต่งคังผิง และฟู่เสี่ยวกวน ไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อถกเรื่องการเมือง ! ”