ตอนที่ 507 ฉลองปีใหม่คือเรื่องยุ่งยาก
ในค่ำคืนนี้มีหิมะตกลงมาอย่างหนัก ราวกับว่าได้เก็บสะสมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วปล่อยให้ร่วงลงมาในยามนี้
เพียงหิมะตกลงมา ถือว่าฤดูใบไม้ร่วงก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
เพียงหนึ่งคืน เมืองจินหลิงที่แสนใหญ่โตก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน หิมะที่ตกหนักไร้ทีท่าว่าจะหยุดเร็ว ๆ นี้
ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ไร้แสงของดวงดาราประดับ
ถงเหยียน… ที่ปัจจุบันมีนามว่าสวี่ซินเหยียน อาการบาดเจ็บฟื้นคืนใกล้จะหายดีแล้ว ด้วยความคุ้นชินในอดีต นางจึงตื่นแต่เช้า สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ที่มิเคยซื้อเองมาก่อน จากที่สาวใช้นามว่าเย่เอ๋อร์บอกมา นายหญิงเป็นคนซื้อให้แก่นาง
เสื้อคลุมขนสัตว์นี้นุ่มและอบอุ่น แม้ว่าซูเจวี๋ยจะยังไม่คลายปราณให้กับนางก็ตาม แต่เมื่อสวมเสื้อคลุมนางก็ไม่รู้สึกถึงความหนาวอีกต่อไป
นางเดินมาจนถึงใจกลางของลานบ้าน เดินเข้าไปภายในศาลาอี้เหลียง นั่งลงเพียงลำพัง ทอดมองกองหิมะที่ค่อนข้างสูงภายในลานกว้างสลับกับมองหิมะที่ตกลงมาจากท้องนภาอีกครา ในใจพลันรู้สึกห่อเหี่ยวอยู่เล็กน้อย
ฤดูกาลนี้ ภายในภูเขาหมินก็มีสภาพแบบนี้เฉกเช่นเดียวกัน
ทว่าภูเขาหมินดูมีชีวิตชีวากว่าที่นี่เล็กน้อย เพราะที่นั่นเป็นเขาสูงทั้งยังมีต้นไม้จำนวนมาก
คาดมิถึงว่าสิ่งที่ตนคิดอยู่ในตอนนี้จะเป็นหิมะบนภูเขาหมินแทนที่จะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในภูเขานั่น… ทันใดนั้นสวี่ซินเหยียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย จึงครุ่นคิดไปว่าหลังจากที่ท่านอาจารย์จากไป ตนก็มิได้นึกถึงผู้ใดในภูเขาอีกเลย !
แม้ว่าจะกลายเป็นผู้อาวุโสลำดับสามของลัทธิจันทรา แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทว่าในความทรงจำส่วนลึกเกี่ยวกับผู้คนและสถานที่กลับคลุมเครือเป็นอย่างมาก
อาจจะเพราะตนหมกมุ่นอยู่กับการฝึกยุทธ์ จึงมิได้สนใจสรรพสิ่งในลัทธิ
นางรู้จักนักบุญเฉินจั่วจวิน และมีโอกาสพบกันอยู่หลายครา ถึงขั้นสนทนากันได้ถูกคอ
หลังจากนั้นก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่มู่หรงเจียน ที่ดูแลตนมาเป็นอย่างดี นางนับถือเขาเยี่ยงพี่ชาย
หลังจากคืนที่ศิษย์พี่ไป๋จื่อตาย นางมิได้รู้สึกเศร้าใจเท่าใดนัก เพราะยามที่ยังเยาว์นางมักจะถูกศิษย์พี่ผู้นี้รังแกอยู่เสมอ
แน่นอนว่าสำหรับเหมียวเสี่ยวเสี่ยว ไป๋หลี่หงส์ และเหล่าผู้อาวุโสของลัทธิจันทรา นางได้สนทนากันน้อยคราเสียจนแทบจะไม่มีความทรงจำร่วมกันเลยก็ว่าได้
ส่วนปัจจุบัน เพิ่งได้มาพักอยู่ในจวนฟู่เพียงไม่กี่วัน กลับพบว่าความทรงจำที่สลักลึกในห้วงคำนึงคือฟู่เสี่ยวกวนอย่างคาดไม่ถึง !
คนผู้นี้ทำตนราวกับยุ่งเป็นอย่างมาก เขามาเยี่ยมนางที่เรือนซีเซวี๋ยไม่บ่อยเท่าใดนัก เขามิเคยเอ่ยถามเรื่องของนางกับลัทธิจันทราเลยสักครา คราสุดท้ายที่ได้สนทนากันคือวันที่เขามาบอกเรื่องการเปลี่ยนแปลงสถานะของนาง
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ในภูเขาหมินมิได้มีสิ่งใดพิเศษ ผู้คนเหล่านั้นราวกับว่าตายด้านกันไปแล้ว บางทีอาจจะเพราะภาระที่หนักอึ้งในใจหรือกังวลเรื่องความหวังที่ยากจะสำเร็จตามที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ก่อนสิ้นใจ
แต่ ณ เมืองหลวงแห่งนี้กลับแตกต่างออกไป แม้จะอาศัยอยู่ในจวนหลังใหญ่ แม้จะมีหิมะตกหนัก แต่ก็ยังได้ยินเสียงประทัดที่ดังมาตามท้องถนน ทั้งยังได้ยินเสียงหัวเราะแสนสดใสของเหล่าเด็กน้อยอีกด้วย
นี่ คาดว่าจะเป็นการฉลองปีใหม่
หิมะตกหนัก ทั้งยังตรงกับวันขึ้นปีใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนกำลังวุ่นอยู่กับเรื่องใดกัน ?
ในเวลานั้น ซูซูก็ได้เดินมานั่งตรงข้ามกับสวี่ซินเหยียน และได้นั่งเท้าคางกับโต๊ะหิน
นางจดจ้องมาทางสวี่ซินเหยียน สตรีผู้นี้ช่างงดงามอย่างแท้จริง นางจึงยกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยถามว่า “กำลังคิดถึงเขาอยู่ใช่หรือไม่ ? ”
สวี่ซินเหยียนชะงักลง ใบหน้าพลันแดงก่ำพร้อมกับส่ายหน้าเป็นพัลวัน “เปล่านี่”
“เจ้าหลอกข้ามิได้หรอก ขอเอ่ยตามตรงก็แล้วกัน ข้าอยู่ข้างกายเขามานาน เพียงพริบตาเดียวก็หนึ่งปีแล้ว ในเวลาหนึ่งปีนี้ข้ามักจะอยู่ข้างกายเขาและคอยปกป้องเขาอยู่เสมอ เยี่ยงไรเสีย หลังจากสตรีที่ยังมิได้ออกเรือนได้พบกับเขา มีน้อยคนนักที่จะมิชอบเขา”
สวี่ซินเหยียนครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนเอ่ยถามออกไปว่า “เพราะเหตุอันใดกัน ? ”
ซูซูเลิกคิ้วขึ้น เม้มปากเล็กน้อย “รูปลักษณ์พอใช้ได้ ความสามารถทางวรรณกรรมก็ดี เข้าใจเรื่องการค้าขาย ทั้งยังเข้าใจกลศึกสงคราม เป็นขุนนางใหญ่แห่งราชวงศ์หยู เจ้าลองกล่าวมาสิ ในใต้หล้านี้มีบุรุษเยี่ยงนี้อยู่สักกี่คนกัน ? นี่มิใช่บุรุษที่สมบูรณ์แบบถือดาบเพื่อปกป้องสันติสุขและรักษาความสงบให้กับใต้หล้าตามตำนานที่ถูกบันทึกเอาไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“การชอบพอคนเยี่ยงนี้มิมีสิ่งใดให้ต้องอับอาย ข้าเองก็มิขอปิดบังเจ้าว่าข้าก็ชอบเขาเช่นกัน เพียงแค่…” สีหน้าของซูซูหม่นลง นางเม้มปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า “เพียงแค่ช่วงเวลาที่ข้ามาอยู่ข้างกายของเขาค่อนข้างช้าไปเล็กน้อย จึงมิสามารถเดินเข้าไปในหัวใจของเขาได้”
การที่ซูซูกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้ทำให้สวี่ซินเหยียนถึงกับตะลึงงันขึ้นมาทันใด
ทั้งสองต่างเป็นคนจากยุทธภพ แต่ทว่านางมิได้เปิดเผยเหมือนอย่างซูซู อาจจะเพราะนางอายุมากกว่าถึง 5 ปี และเข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิงมากกว่าเล็กน้อย
“ความพอใจของข้าที่มีต่อเขา… กล่าวไปก็มีมิมาก คราแรกที่มาถึงเมืองหลวง ข้าได้อ่านบทกวีของเขา ได้อ่านความฝันในหอแดงที่เขาประพันธ์ขึ้นมา ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นนักประพันธ์ชั้นยอด แต่หลังจากได้ยินมาว่าเขาดีต่อราษฎรผู้ยากไร้เป็นอย่างมาก ข้าเองก็ยังมิเชื่อ ดังนั้นข้าจึงไปที่ภูเขาหนานซานหนึ่งหนและได้สนทนากับชาวบ้านที่นั่น จากนั้นจึงได้ทราบว่าเขามีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์โดยแท้จริง…”
สวี่ซินเหยียนก้มหน้าหลบสายตา และน้ำเสียงที่ใช้เอ่ยก็แผ่วเบาลงด้วยเช่นกัน “ดังนั้น ข้าจึงช่วยเขาเอาไว้ในคืนนั้น คิดว่าหากเขาตายไปแล้ว ชาวบ้านเหล่านั้นจะต้องเสียที่พึ่งพิงเป็นแน่ เกรงว่าจะเป็นการยากที่จะมีผู้ใดให้ความสำคัญต่อการอยู่รอดของพวกชาวบ้านเยี่ยงเขาอีก”
นางยิ้มออกมาและเงยหน้าขึ้นอีกครา แล้วมองไปที่ซูซู “เจ้าคงมิทราบว่าเดิมทีข้าเกิดมาจากครอบครัวที่ยากจน เพราะภัยแล้งในตอนอายุ 5 ขวบ มารดาจึงทิ้งข้าไว้จนเกือบจะหิวตาย ดังนั้น…ข้ากลัวว่าหากเขาตายไปแล้วชาวบ้านก็จะตายไปด้วย มิได้มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากนี้อีก”
ซูซูถอนหายใจยาวออกมา “ข้าเองก็เป็นเด็กกำพร้า เพียงแต่ข้าใช้ชีวิตในสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเยาว์ จึงมิได้รู้สึกถึงความทุกข์ยากสักเท่าใดนัก ข้าเองก็เคยเห็นยามที่เขาลงไปทำงานในทุ่งนาด้วยเช่นกัน…”
ราวกับนึกขึ้นมาได้ ซูซูจึงฉายยิ้มบางออกมา “ในภายภาคหน้าเจ้าก็จะทราบเองว่าตัวตนแท้จริงของเขานั้นเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดิน ! ”
…..
…..
ในยามนี้ คุณชายเศรษฐีที่ดินเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนกำลังปวดหัวเป็นอย่างมาก !
เขากำลังวุ่นอยู่กับการส่งของขวัญ
ครอบครัวของภรรยาทั้งสาม ก็ต้องไปเยือนทั้งหมด และปีนี้ยังเป็นปีแรกของการสมรสส่งผลให้ต้องไปเยือนบ้านญาติของภรรยาทั้งสามด้วยเช่นกัน
เขาพาเหล่าภรรยาออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ รถม้าคันใหญ่เต็มไปด้วยของขวัญมากมาย ทั้งยังมีผู้คุ้มกันจำนวน 30 นายและพ่อบ้านอีก 40 คนตามมาด้วย ระหว่างออกเดินทางก็เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพภายในเมืองจินหลิง
“ขบวนเดินทางของใต้เท้ากวนครานี้แตกต่างจากเดิม ! ”
“เขามินำทหารจากในวังมาก็ถือว่ามิเลวแล้ว ถือว่าใต้เท้ากวนจัดขบวนได้เงียบสงบ”
“ตอนนี้ใต้เท้ากวนเป็นถึงเสนาบดีกรมการค้าและเป็นขุนนางขั้นสาม คนผู้นี้ได้ตำแหน่งมาโดยอาศัยความสามารถของตนทั้งสิ้น ! ”
“…..”
ถนนอันกว้างขวาง เหล่าชาวบ้านต่างชี้ไปทางขบวนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวน สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาล้วนเป็นคำชมทั้งสิ้น
คำชื่นชมเหล่านั้นต่างก็ลอยเข้ามาถึงในรถม้า แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้ยินดีเท่าใดนัก เพราะปัญหาใหญ่ที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ก็คือ…
มื้ออาหารส่งท้ายปีเก่าในคืนนี้ ล้วนได้รับเชิญจากแม่ยายทั้งสาม เยี่ยงนั้นควรไปจวนของผู้ใดดีเล่า ?