ตอนที่ 510 นี่มิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ
“เจ้า เหตุใดถึงมิขึ้นเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋กัน ? ”
คำถามนี้มิเพียงแต่เยี่ยนฮ่าวชูเท่านั้นที่อยากรู้ แต่ทุกคนในที่นี้ รวมถึงผู้คนในใต้หล้าล้วนอยากรู้เช่นกัน
เพื่อบัลลังก์มังกรนั้น นับแต่โบราณ ได้เกิดเหตุการณ์มากมายจนนับมิถ้วน มีผู้คนจำนวนเท่าใดที่ต้องสละชีพ โลหิตมากมายเท่าใดที่ไหลนอง
บัลลังก์นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ การที่ได้ครอบครองก็หมายความว่าสามารถควบคุมชะตาชีวิตของผู้คนในใต้หล้าเอาไว้ได้ จะได้รับชีวิตอิสระและสามารถสร้างสันติให้แก่ผืนปฐพีได้ แม้มิได้ทำสิ่งใดก็ยังได้รับการยกย่องเชิดชูจากราษฎร
เดิมที บัลลังก์นั้นเคยวางไว้เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน แต่ทว่าเขาไม่ขึ้นไปนั่งซ้ำยังหนีไปไกลเเสนไกล
ด้วยความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน หากขึ้นนั่งบนบัลลังก์แน่นอนว่าจะนำพาซึ่งความสันติมาให้แก่ราชวงศ์ได้อย่างแน่นอน และทิ้งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ไว้สืบต่อชั่วลูกชั่วหลาน
นี่คือความยิ่งใหญ่เพียงใด !
นี่คือชื่อเสียงที่มีเกียรติเพียงใด !
แต่เขากลับละทิ้งมัน แล้วกลับมายังราชวงศ์หยูเพื่อใช้ชีวิตธรรมดา
หากกล่าวว่า ฟู่เสี่ยวกวนเพียงต้องการเป็นนายน้อยเจ้าสำราญผู้หนึ่ง แต่ทว่าเขาก็ยังอุทิศตนผลักดันนโยบายใหม่เพื่ออนาคตของราชวงศ์หยูอยู่
มิได้ทำตัวเจ้าสำราญไปวัน ๆ เขามีเรื่องมากมายที่ต้องรับผิดชอบ
ถ้ากล่าวว่าเขามีความทะเยอทะยาน เยี่ยงนั้น หากนั่งบนบัลลังก์ จะมิทำให้ความฝันของตนเองเป็นจริงง่ายกว่าเดิมเยี่ยงนั้นหรือ ?
“มิใช่เพราะเจ้าคือองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ข้าจึงให้เสี่ยวโหลวสมรสด้วย และมิใช่เพราะต้องการสนับสนุนให้เจ้าเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ข้าเพียงแต่สงสัยก็เท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับ ยกน้ำชาขึ้นดื่มแล้วฝืนยิ้มออกมา
“นั่นมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ”
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เดิมทีเขามิต้องการเอ่ยถึงความรู้สึกในใจ แต่เนื่องจากความคิดเหล่านั้น เกรงว่าจะส่งผลกระทบที่มิดีต่อตนเท่าใดนัก
เนื่องจากนี่คือยุคสมัยอันล้าหลัง และตนเองก็มิชอบยุคนี้
“หากข้าเอ่ยออกมา พวกเจ้าอย่าได้ตื่นตระหนกและอย่าได้เล่าให้ผู้อื่นฟังเป็นอันขาด”
เยี่ยนเป่ยซีมองไปทางบุตรหลานของตน แล้วพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วค่อย ๆ กล่าวออกมา “ใต้หล้านี้ ทุกสิ่งอย่างต้องรับผิดชอบอย่างกระตือรือร้น และต้องจัดการอย่างถูกต้อง หากไร้ความรับผิดชอบ ก็ไร้ประโยชน์อันใด หากมิจัดการก็มิมีวันได้ค้นพบสิ่งที่ต้องการ”
เยี่ยนเป่ยซีตกตะลึง ดวงตาเคร่งขรึมขึ้นมาชั่วขณะ
“สิ่งที่ข้าต้องการทำคือสิ่งที่ทำยากที่สุดในใต้หล้า ข้าต้องการให้ใต้หล้านี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาสักหน่อย”
“สิ่งที่ยากที่สุดในใต้หล้าคือสิ่งใดกัน ? ”
“มิใช่การประพันธ์กวี มิใช่การผลักดันนโยบายใหม่ และมิใช่การเป็นจักรพรรดิของแคว้นใด แต่เป็นการปลดปล่อยความคิดของผู้คน ! ”
“ณ สุสานจักรพรรดิมีกรงนกกรงหนึ่ง บัดนี้ความคิดของผู้คนในใต้หล้าเปรียบดังเช่นกรงนก ได้รับผลกระทบจากตำราศักดิ์สิทธิ์ ชนชั้นถูกแบ่งเป็นหลายชั้น จักรพรรดิได้รับอำนาจราวกับเทพเจ้า จึงทำให้กรงนกมั่นคงมิแตกร้าวได้โดยง่าย”
“แต่ข้าต้องการเปิดกรงนกนี้ออกมา เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าเพิ่มเติมเนื้อหาในตำราหลี่เสวียของเหวินสิงโจวว่าหลี่อยู่ที่ใจ มิว่าจะเป็นหลักการของสวรรค์หรือมนุษย์ ล้วนอยู่ในใจเรา ร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ จิตใจรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหลี่ แม้ท้องนภาจะกว้างใหญ่ แต่หากมีความตั้งมั่น มีจิตสำนึก แม้เป็นเพียงคนธรรมดาก็สามารถเป็นนักปราชญ์และกลายเป็นเหยาชุนได้ ! ”
“เฮือก…” หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบทุกคนก็แทบจะลืมหายใจ แม้เพียงคนธรรมดาก็สามารถเป็นนักปราชญ์และเหยาชุนได้ เช่นนั้น มิว่าผู้ใดก็เป็นจักรพรรดิได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา “ดูสิ ! พวกเจ้ามิเชื่อโดยง่าย เนื่องจากความคิดของพวกเจ้าเป็นดั่งกรงนก คิดไปว่าจักรพรรดิควรมีอำนาจล้นฟ้า แต่ข้ามิคิดเช่นนั้น”
เยี่ยนเป่ยซีตกตะลึงยิ่ง ทว่าก็มิได้ขัดจังหวะขึ้น ส่วนเยี่ยนซือเต้าและเยี่ยนฮ่าวชูได้แต่มองมาทางฟู่เสี่ยวกวนอย่างกังวล เยี่ยนซีเหวินและเยี่ยนหลินชิวพากันขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ข้าใช้เวลากว่าครึ่งปีในการครุ่นคิดถึงปัญหานี้ ว่าจะสามารถทำลายกรงนกได้เยี่ยงไร จนกระทั่ง ข้าเดินทางไปยังผิงหลิง จึงคิดว่าได้พบคำตอบแล้ว”
“จะทำลายได้เยี่ยงไร ? ”
“ทำให้จิตใจของมนุษย์กระจ่างแจ้ง ค่อย ๆ สอนให้พวกเขาเข้าใจให้มากขึ้น อย่าบังคับขู่เข็ญ ! นั่นหมายความว่าต้องค่อย ๆ เปลี่ยนเเปลงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่จะทำเยี่ยงไรนั้น ? ”
“ข้าเคยเอ่ยให้ไป๋ยู่เหลียนฟังว่ามนุษย์มีความต้องการอยู่ 5 ประการ ประการแรกคือความต้องการของร่างกาย การกินอิ่มท้องและมีเสื้อผ้าที่อบอุ่นสวมใส่คือความต้องการขั้นพื้นฐาน หากกินมิอิ่มห่มมิอุ่น พวกเขาอาจจะกลายเป็นโจรได้
ประการที่สอง…
ประการที่ห้าคือการแสวงหาความต้องการของตน มนุษย์จะใช้ความสามารถอย่างสุดกำลังเพื่อใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่และจะทำมันให้สำเร็จ”
ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายความต้องการทั้งห้าประการออกมาโดยละเอียด จากนั้นก็หยุดพักดื่มน้ำชาไปหนึ่งอึก ในศีรษะค่อนข้างมึน เขาเอ่ยต่ออย่างช้า ๆ ว่า
“เมื่อปัญหาด้านการกินและเสื้อผ้ายังมิอาจจัดการได้ สายตาของพวกเขาก็จะจับจ้องไปด้านหน้า สิ่งที่จ้องอยู่คืออาหารมื้อต่อไป และเมื่อปัญหาเรื่องความปลอดภัยถูกจัดการเรียบร้อย ก็จะเข้าสู่ความต้องการประการที่สาม จึงเริ่มตระหนักถึงความคิดของตน แต่ความคิดเหล่านี้ยังคงมิชัดเจน ราวกับเป็นเพียงการแบ่งปันความรู้สึกในแรกเริ่มเท่านั้น
หากเข้าสู่ประการที่สี่ ต้องการความนับถือ เมื่อถึงประการนี้ ความคิดของผู้คนก็จะเปิดกว้างออกไป และสามารถคิดได้ว่าจะทำเยี่ยงไรจึงจะได้รับความนับถือจากผู้อื่น และสามารถทำลายความต้องการมากมายเหล่านี้ได้”
“พื้นฐานเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานชีวิตของราษฎร หากกล่าวตามตรงก็คือมีเงินในมือเท่าใด นี่คือการมองปัญหาจากล่างขึ้นบน จากความต้องการประการที่หนึ่งขึ้นไปถึงประการที่สี่แล้วจึงพบว่า ทั้งหมดนี้ ล้วนขึ้นอยู่กับรากฐานทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น”
“การปลดปล่อยอุดมการณ์นี้มิเหมือนกับธรรมาภิบาล เนื่องจากธรรมาภิบาลนับจากบนลงล่าง และใช้อำนาจในการจัดการ แต่การปลดปล่อยอุดมการณ์ต้องค่อย ๆ งอกจากราก”
“ดังนั้น ต่อให้ข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิ ก็มิอาจปลูกฝังความคิดเช่นนี้แก่ราษฎรได้ หากข้าต้องการให้ชาวบ้านที่ยากจนมั่งมีเงินทองขึ้นมา ก็ต้องทำให้พวกเขามีความคิดเช่นนี้ก่อน กรงนกนี้จึงจะสลายได้โดยมิต้องทำลาย หรือกล่าวได้ว่า ความคิดเปรียบเสมือนกรงนกนี้ และจะต้องทำลายกรงนกจากภายในสู่ภายนอก”
เขายักไหล่แล้วหัวเราะขึ้น “พวกเจ้ารู้สึกว่าไร้สาระใช่หรือไม่ ? บางทีพวกเจ้าอาจจะบอกว่าการที่ข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ อาจจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น แต่นั่นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้นโยบายแผ่กว้างออกไปได้ในเวลาที่รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ… หากข้าเป็นจักรพรรดิ คงจะต้องเสียแรงและเสียเวลาต่อต้านกับเหล่าขุนนางมากมายในวัง บางทีในตอนแรก ดวงตาข้าอาจจะยังสว่าง แต่เมื่อนานไปอาจจะถูกชักจูงเสียจนตามืดบอดก็เป็นได้”
“ข้าอาจจะมิได้รับรู้ความยากลำบากของราษฎรได้โดยง่าย และมิอาจเดินทางไปดูว่าผู้คนเหล่านั้นมีความเป็นอยู่เยี่ยงไรได้ง่าย ๆ อีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้ว ข้าอาจจะถูกกักขังอยู่ในพระราชวังซึ่งมีเพียงแค่พื้นที่หนึ่งหมู่เท่านั้น ข้อความต่าง ๆ ล้วนได้ฟังมาจากผู้อื่น มิได้แตกต่างกับจักรพรรดิของทุกแคว้นในตอนนี้เลย”
“ข้าอาจจะได้เป็นจักรพรรดิ ราษฎรเหล่านั้นอาจจะยกย่องเทิดทูนข้า แต่สิ่งนี้มิใช่เรื่องดี เนื่องจากอาจจะทำให้ผู้คนเหล่านั้นเชิดชูโดยไร้การไตร่ตรอง”
“ขุนนางทั้งหลายจะทำตามคำสั่งของข้าโดยมิคิดคำนึงใด ๆ ทั้งสิ้น ราษฎรจะได้รับประโยชน์จากนโยบายต่าง ๆ ของข้า และมิคิดไตร่ตรองด้วยตนเองว่าถูกต้องแล้วหรือไม่ แม้รู้ว่ามิถูก แต่พวกเขาก็มิกล้าเอ่ยอันใด เนื่องจากข้าเปรียบดั่งเทพเจ้าในสายตาพวกเขา !
หากสงสัยในเทพเจ้านับว่ามีความผิด ผู้ใดที่กล้าเอ่ยออกมาก็จะถูกผู้อื่นด่าทอตำหนิ ทำร้ายหรืออาจจะถึงแก่ชีวิตเลยก็เป็นได้”
“และเมื่อเกิดความพึ่งพิงเช่นนี้ขึ้น หากมีจักรพรรดิที่มากความสามารถ แน่นอนว่าแคว้นจะมิเกิดปัญหา แต่หากต่อไปจักรพรรดิไร้ความสามารถเล่า… เกรงว่าจะส่งผลให้ราษฎรต้องเดือดร้อนไปทั่วหล้า”
“เมื่อทุกคนฝากความหวังไว้กับคนผู้หนึ่ง นั่นหมายความว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น ความคิดของพวกเขายังคงอยู่ในกรงนก พวกเขาจะไร้เรี่ยวแรงในการช่วยตนเองออกมา ใต้หล้านี้ก็จะเป็นอยู่ดังเดิม ผืนปฐพีที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนราษฎรเป็นดังเช่นฝูงมดที่ทำงานหนัก มิมีโอกาสได้เงยหน้าเงยตา”
“อีกอย่างหนึ่ง เรื่องของอำนาจทำให้ผู้คนหลงใหล ข้ามิอาจรับปากได้ว่าเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติของอำนาจแล้วจะสามารถวางมันลงได้หรือไม่ อีกทั้งมิอาจรับรองได้ว่าผู้ที่ขึ้นมารับอำนาจต่อจะเห็นด้วยกับความคิดเช่นนี้หรือไม่ จะนำพาความคิดกลับคืนสู่กรงนกอีกคราหรือไม่ จักรพรรดิได้รับคำสั่งจากสวรรค์ และจักรพรรดิก็จะพยายามรักษาภารกิจนี้เอาไว้
แต่การปลดปล่อยความคิด เป็นการเปิดมุมมองของผู้คนในใต้หล้า ให้พวกเขากล้าที่จะปฏิวัติ สิ่งที่เรียกว่าปฏิวัติก็คือการกำจัดค่านิยมเดิม ๆ แล้วสร้างขึ้นมาใหม่
มิอาจกล่าวได้ว่าสองแนวคิดนี้ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง เมื่อใต้หล้าสงบสุข ราษฎรมีความสุข พวกเขาจะมิคิดทำการปฏิวัติ
แต่หากเผชิญกับจักรพรรดิไร้ความสามารถ เมื่อราษฎรถูกครอบงำและผู้คนมิอาจทำมาหากินได้ ข้าหวังว่าความคิดเช่นนี้จะมีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง พวกเขาจะลุกขึ้นมาหยิบอาวุธ และต่อสู้ปฏิวัติกับจักรพรรดิผู้ไร้ความสามารถ !
มิมีผู้ใดยินดีสละชีพของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิที่กุมอำนาจเอาไว้ในมือ แน่นอนว่าขุนนางทั้งหลายก็เช่นกัน เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ การปฏิวัติที่แท้จริงคือการทำลายคนกลุ่มนี้เสีย
ดังนั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน พวกเขาจะอวดอ้างอำนาจของจักรพรรดิ และฝังแนวคิดต่าง ๆ นานาใส่สมองของราษฎร นี่คือจุดมุ่งหมายของสิ่งที่เรียกว่า นโยบายโง่เขลา”
“แต่สิ่งที่ข้าต้องการ คือทำให้ผู้คนมองการณ์ไกลขึ้น ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความเท่าเทียมและกล้าหาญในสมองของพวกเขา ถึงตอนที่พวกเขาต้องเผชิญกับความอยุติธรรม จะได้กล้าลุกขึ้นมาหยิบอาวุธต่อสู้”
“นี่มิใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายก็เป็นเพียงการเวียนว่ายนับพันปีเท่านั้น”
“หากมองย้อนกลับไป จะเห็นว่าทุกคราที่ราชวงศ์ถูกล้มล้างและเปลี่ยนแปลง ล้วนมาจากการปกครองที่เน่าเฟะ สาเหตุของความล้มเหลวก็มาจากอำนาจเหล่านี้ ! หากมิจำกัดอำนาจก็จะเป็นเหมือนกับม้าป่าที่ถูกปล่อย เหมือนน้ำที่ล้นตลิ่ง พวกมันจะทำการใดโดยพลการ ท้ายที่สุดก็จะทำลายแคว้นเสียจนพังพินาศ และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรคราใหญ่”
“ดังนั้น แคว้นในฝันของข้าเป็นเช่นนี้ มิมีอำนาจของจักรพรรดิ ผู้นำแคว้นถูกเลือกโดยประชาชน มีกฎหมาย มีการแบ่งอำนาจ และบังคับใช้กฎหมาย จำกัดอำนาจซึ่งกันและกัน ใช้กฎหมายในการปกครองแคว้น ท้ายที่สุดคือทำให้แคว้นมั่งคั่ง มีประชาธิปไตย มีอารยธรรม มีความสามัคคี มีเสรีภาพเสมอภาค… นี่จึงจะเป็นแคว้นที่สมบูรณ์แบบ”
“ข้าคิดว่าทั้งชีวิตนี้ ข้ามิอาจทำได้จนสำเร็จทั้งหมด ข้าจึงหวังว่าจะปลูกฝังความคิดเหล่านี้เอาไว้ ในอีกหลายปีต่อไป พวกมันจะหยั่งรากลึกและออกดอกออกผลด้วยตนเอง”
“เมื่อถึงเวลานั้น…ทั่วทั้งใต้หล้าจะงดงามขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ! ”
“หากจะเดินในเส้นทางที่ยากลำบาก จำเป็นต้องค่อย ๆ เดิน เส้นทางนี้ช่างยาวไกลยิ่ง ข้าจะแสวงหาไปทั่วทุกแห่งหน ! ”
“ข้าเพียงดื่มสุรามากไป จึงกล่าวออกมาเล่น ๆ ก็เท่านั้น ! ”