ตอนที่ 531 แต่งตั้ง
สวี่หวยซู่รู้สึกงุนงงขึ้นมาทันพลัน เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? แม่นางยิงฮวาแห่งหอกั๋วเซ่อเทียนเซียงคือองค์หญิงแห่งแคว้นหลิวเยี่ยงนั้น ?
องค์หญิงมาอยู่ในหอนางโลมได้เยี่ยงไรกัน ?
เขาหันหน้าไปจดจ้องที่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างระแวง คงมิใช่ว่าเจ้าเด็กนี่ต้องการขุดโพรงให้ข้ากระโดดลงไปใช่หรือไม่ ?
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่านางคือองค์หญิงแห่งแคว้นหลิว ? ”
“ข้าเคยพบนางที่สถานทูตแคว้นหลิว ณ เมืองกวนหยุน”
“นั่น… เหตุใดนางถึงมาที่เมืองจินหลิงทั้งยังไปทำงานที่หอกั๋วเซ่อเทียนเซียงอีกด้วย ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเบา ๆ “กล่าวไปท่านคงมิเชื่อ นางมิมีเงิน ! ”
“แคว้นหลิวเป็นสถานที่แบบใดกัน ? เหตุใดข้าถึงมิเคยได้ยินมาก่อน ? ”
“อยู่ไกลเป็นอย่างมาก เป็นเกาะกลางทะเล ใช้เวลาราว 1 เดือน ในการเดินทางด้วยเรือเพื่อมายังราชวงศ์อู๋ และยังมิได้เปิดเส้นทางเดินเรือเพื่อมายังราชวงศ์หยู”
“จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ” สวี่หวยซู่ยังคงสงสัยอยู่เล็กน้อย เขามิเคยได้ยินนามของแคว้นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือแคว้นนี้ตั้งอยู่กลางท้องทะเล สามารถใช้ประโยชน์อันใดได้กัน ?
“ถึงข้าจะหลอกผู้อื่นแต่ก็มิมีทางหลอกท่านหรอก ! อย่าได้ดูถูกเกาะนี้เชียว สถานที่ตรงนั้นมีท่าเรือที่ยอดเยี่ยมอยู่ การออกทะเลในภายภาคหน้าเป็นเรื่องจำเป็น และท่าเรือที่ตรงนั้น… ข้าวางแผนครอบครองเอาไว้สักหนึ่งถึงสองแห่ง”
“ดังนั้น เรื่องนี้จึงสำคัญมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สวี่หวยซู่มิมีความรู้เรื่องการออกทะเลเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าต้องครอบครองหนึ่งถึงสองแห่ง ย่อมต้องเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน มิเยี่ยงนั้น ด้วยนิสัยของเจ้าหมอนี่ คงมิมีความคิดที่จะขยันแบบนี้หรอก
“แน่นอน ในภายภาคหน้าท่านก็จะทราบเอง”
สวี่หวยซู่เพิ่งจะให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ ย่อมเป็นเรื่องดีต่อทั้งสองฝ่าย ประการที่หนึ่งหากตนเป็นผู้เสนอเรื่องสถานทูต ภายภาคหน้าก็จะมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอย่างแน่นอน ส่วนประการที่สอง…ในภายภาคหน้า ยิงฮวาย่อมพักอยู่ที่สถานทูต แม้เป็นการยากที่จะได้ยินนางร้องเพลง แต่นั่นก็มิได้สลักสำคัญอันใด ที่สำคัญคือการได้พบหน้านางบ่อยขึ้นมากกว่า
ประตูท้องพระโรงเฉิงเทียนเปิดขึ้นในยามเช้าอย่างตรงเวลา ราชรถมังกรของฮ่องเต้จอดเทียบอยู่หน้าประตู เหล่าขุนนางเดินเรียงกันเข้าไป ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเดินอยู่ท้ายสุด
ชางกวนเหวินซิ่วแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนผ่อนฝีเท้าลงเพื่อรั้งรอฟู่เสี่ยวกวน แล้วทั้งสองจึงเดินเคียงบ่ากันเข้าไป
“ท่านเสี่ยวกวน หลี่ชุนเฟิงจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยได้ไหว้วานให้ข้าฝากคำกล่าวมาถึงท่าน”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ได้เบี้ยหวัดในตำแหน่งอาจารย์พิเศษของสำนักศึกษาจี้เซี่ยมามิน้อย ยังมิต้องเอ่ยถึงคาบเรียนเลย หากมิใช่ว่ากรมการค้าต้องการคน น่ากลัวว่าเขาคงจะลืมแม้แต่ประตูของสำนักศึกษาจี้เซี่ย
“ท่านมิต้องเอ่ยข้าก็ทราบ ขอไหว้วานท่านบอกกล่าวกับท่านคณบดีหลี่สักหน่อย พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปสำนักศึกษาเพื่อเข้าสอน”
“จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เป็นเรื่องจริง ! ”
“ดี พรุ่งนี้ข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน”
“ไปทำอันใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองชางกวนเหวินซิ่ว ใบหน้าของชายชราฉายยิ้มระรื่น “ไปร่วมฟังท่านอาจารย์เสี่ยวกวนสอนเยี่ยงไรเล่า”
“…” ฟู่เสี่ยวกวนไร้ซึ่งคำเอ่ย ข้ามิได้ไปสอนตำราวรรณกรรมหรือบทความศักดิ์สิทธิ์อันใด ผู้อาวุโสเยี่ยงท่านจะหลับหูหลับตาเข้าร่วมไปทำไมกัน ?
เมื่อเข้าไปในท้องพระโรงเฉิงเทียน ฟู่เสี่ยวกวนยังคงยืนอยู่แถวสุดท้าย
ราวกับขุนนางจำนวนมากทราบว่าเขาอยู่ตรงที่ใด พวกเขาล้วนหันมามองพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คำนับแล้วคำนับอีก แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ทำตัวเป็นขุนนางเดียวดายอีกต่อไป เขาเองก็คำนับกลับไปอย่างร่าเริงเช่นกัน
เมื่อคืนฝ่าบาทมิได้บรรทมนานสักเท่าใดนัก แต่กลับมีความสุขยิ่ง !
เมื่อคืนได้พาฮองเฮาซั่งเสด็จไปร่ำสุราอย่างสบายพระทัย ณ จวนเยี่ยน
เยี่ยนเป่ยซีได้เชิญต่งคังผิงและหนิงไท่ฟู่มาด้วย ทั้งยังมีเยี่ยนซือเต้า เยี่ยนฮ่าวชู บุตรทั้งสองร่วมอยู่ด้วย
พวกเขาทั้งเจ็ดคนร่วมดื่มสุราและสนทนากันอย่างสบายอารมณ์ นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาในอดีต คาดการณ์ถึงอนาคตอันสวยงาม ดื่มจนถึงยามจื่อโดยมิทันได้รู้ตัว
หากมิใช่เพราะราชครูอาวุโสหนิงเมามายมากแล้ว พวกเขาคงดื่มกันจนฟ้าสาง
ฮองเฮาซั่งเกษมสําราญยิ่ง ถึงขั้นดื่มไปถึงสองจอก
ยามนึกถึงราชบุตรเขย ฮองเฮาก็ทรงกลั้นยิ้มมุมพระโอษฐ์เอาไว้มิอยู่
นานแล้วที่มิได้เห็นฝ่าบาทมีความสุขมากถึงเพียงนี้ ช่วงหลายปีมานี้ ราชวงศ์หยูลำบากมากจริง ๆ
ปัญหาใหญ่ที่สุดก็ได้รับการแก้ไขจากลูกเขยผู้นี้ไปแล้ว ในที่สุดฝ่าบาทก็สบายพระทัยได้เสียที คาดมิถึงว่าอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนที่อายุมากแล้วจะยังสามารถร่ำสุราและร้องเพลงได้อย่างบ้าคลั่ง คาดมิถึงว่าต่งคังผิงที่สุขุมมาโดยตลอดจะปรบมือเข้าจังหวะ ราวกับว่าแต่ละคนได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงที่ยังเยาว์วัย
ดียิ่ง ! ทั้งหมดนี้คือคุณงามความดีของราชบุตรเขยผู้นั้น !
ในยามนี้ ฮ่องเต้ได้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยท่าทางฮึกเหิม สีหน้าเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวายิ่ง ไอมังกรปกคลุมทั่วพระวรกาย
“การประชุมใหญ่ราชวงศ์ในวันนี้…” สุรเสียงดังขึ้น เหล่าขุนนางจึงพร้อมใจกันเงียบเสียงลง ฮ่องเต้ทรงยืนขึ้นแล้วตรัสอย่างมั่นคงว่า “การประชุมใหญ่ราชวงศ์ในวันนี้ มิมีหัวข้อหารือ ทว่ามีบางเรื่องที่จะประกาศให้ทุกคนได้รับทราบ”
“ประการที่หนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวน ราชบุตรเขยของข้า ระหว่างการเจรจาสันติในเมื่อวานนี้ ได้แสวงหาผลประโยชน์อันใหญ่หลวงมาให้แก่ราชวงศ์หยูมาได้มากโข เขาให้แคว้นอี๋ชดเชยเงินจำนวน 180 ล้านตำลึง ทั้งยังยกที่ดินทางตะวันตกของว่อเฟิงหยวน…”
แม้เหล่าขุนนางจะทราบเรื่องตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ทว่าในยามนี้ พอฝ่าบาทเป็นผู้ตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง กลับรู้สึกเป็นจริงมากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น เนื่องจากเกิดความยินดีขึ้นมา พวกเขาจึงหันไปสนทนากระซิบกระซาบกันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและฮึกเหิม
มีเงินแล้ว เมื่อมีเงินก้อนใหญ่เยี่ยงนี้ก็จะสามารถดำเนินการได้หลายเรื่อง !
เสนาบดีกรมขุนนางคิดว่าคงจะสามารถเพิ่มเบี้ยหวัดให้แก่เหล่าขุนนางสักเล็กน้อยได้ เสนาบดีกรมพิธีการคิดว่าจะสามารถยื่นขอเงินจำนวนหนึ่งเพื่อผลักดันการศึกษาได้หรือไม่ เสนาบดีกรมกลาโหมคิดว่าในที่สุดก็จะสามารถแจกจ่ายสวัสดิการและเงินบำนาญให้แก่เหล่าทหารได้แล้ว เสนาบดีกรมโยธาธิการคิดว่าจะสามารถบูรณะแม่น้ำฮวงโหได้แล้ว ส่วนเสนาบดีกรมราชทัณฑ์กำลังขบคิดว่าต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ในแต่ละอำเภอแต่ละเขตแต่ละภาคส่วนแล้วใช่หรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องสร้างเรือนจำเพิ่มอีกสองถึงสามแห่งอีกด้วย
มีเพียงเสนาบดีต่งคังผิงแห่งกรมคลังเท่านั้นที่ก้มหน้างุด ขุนนางเฒ่ายืนนิ่งไม่ขยับ ในมือของข้ามีเงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเจ้าจงมาขอร้องข้าสิ !
ฮ่า ๆ ๆ ๆ เขาลอบหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ เกรงว่าตาเฒ่าเหล่านี้ต้องผิดหวังเสียแล้ว เนื่องจากเงินก้อนนี้ได้ถูกจัดสรรเอาไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้
ผ่านไปหลายอึดใจ ฝ่าบาทก็ได้ตรัสขึ้นมาอีกว่า “จากที่ราบสีหม่าไปจนถึงว่อเฟิงหยวนได้ถูกกำหนดให้เป็นมณฑลที่สิบสี่ของราชวงศ์หยูนามว่า ว่อเฟิงเต้า”
“ฟู่เสี่ยวกวนทำประโยชน์ให้ราชวงศ์หยูเป็นอย่างมาก จากความเห็นชอบของข้า ขอประทานตำแหน่ง จึเจวี๋ย ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมิมียุติ ! ”
ทันทีที่คำประกาศนี้เผยออกไป เหล่าขุนนางล้วนตกตะลึงจนถึงขั้นที่เสียงสนทนาในท้องพระโรงเฉิงเทียนที่ใหญ่โตแห่งนี้พลันเงียบลงทันใด
จึเจวี๋ย !
บรรดาศักดิ์ขั้นที่สี่ !
แม้เหล่าขุนนางจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนอาจจะได้รับมอบบรรดาศักดิ์ เดิมทีคิดว่าคงเป็นหนานเจวี๋ย บรรดาศักดิ์ในลำดับที่ห้า ฝ่าบาทกลับทำลายการคาดเดาให้เป็นจึเจวี๋ย ที่สำคัญคือคำว่าสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมิมียุติ…
อีกประเดี๋ยวประตูของจวนฟู่ก็จะถูกประดับด้วยเลี่ยมทองคำ เพียงแค่ทายาทรุ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนมิก่อกบฏคราใหญ่ ก็แทบจะถือว่าเป็นวงศ์ตระกูลที่อยู่คู่ราชวงศ์จนตายตกได้เลย
ให้ตายเถอะ ! นี่ต่างหากคือตระกูลที่มีอำนาจเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง !
ต่อให้เป็นตระกูลเยี่ยน ในภายภาคหน้าก็หมดหนทางที่จะนำมาเปรียบเทียบกับจวนฟู่
ยิ่งไปกว่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนยังเยาว์วัย ในอนาคตต่อให้เขาได้เป็นกงเจวี๋ยลำดับที่หนึ่งก็มิได้น่าประหลาดใจเท่าใดนัก
ฟู่เสี่ยวกวนกลับเปี่ยมไปด้วยความสงสัย จึเจวี๋ย ? ราวกับมิมีประโยชน์อันใด แต่เยี่ยงไรเสียการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมิมียุติก็มิเลว กล่าวได้ว่า ข้าเป็น เจวี๋ย แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงเหวยเสี่ยวเป๋า รอยยิ้มสดใสก็พลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าทันที
เหวยเจวี๋ยเยสมรสมีภรรยาถึง 7 คน แล้วข้าในตอนนี้มีสามหรือมีสี่กัน ?
ฝ่าบาทเห็นใบหน้ามีความสุขของฟู่เสี่ยวกวนก็พลันปลาบปลื้มพระทัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงโพล่งขึ้นมาอีกคราว่า “สำหรับว่อเฟิงเต้าที่ตั้งขึ้นมาใหม่นั้น ผู้รับตำแหน่งเต้าถายเป็นคนแรกก็คือ…”
ฝ่าบาทเว้นจังหวะ ส่วนบรรดาขุนนางต่างก็รู้สึกกระวนกระวายใจ จากนั้นก็ได้หันหน้าไปทางฮ่องเต้กันทั้งหมด
ว่อเฟิงเต้าที่ก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ ต้องการพลทหารและอาชายกชุด ทว่าเต้าถายมีเพียงหนึ่งเดียว แต่อย่างน้อยจือโจวก็ต้องมีสามถึงห้าคน มีขุนนางประจำมณฑลอีกจำนวนหนึ่งร้อยกว่าคน
เป็นตำแหน่งที่เงินดียิ่ง !
ผู้ใดจะสามารถเป็นเต้าถายคนแรกได้กัน ?