ตอนที่ 532 เต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้า
ขุนนางทั้งหลายต่างก็ใจจดใจจ่อ หลายต่อหลายคนพากันตั้งตารอ
นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์หยูมาได้สองร้อยสามสิบกว่าปี อยู่ ๆ ก็มีอาณาเขตใหม่เพิ่มขึ้นมา เปรียบเสมือนสาวใหญ่ที่นั่งรออยู่บนเกี้ยว หากพลาดโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไปแล้ว เกรงว่าชีวิตนี้คงมิอาจพบเรื่องดีเช่นนี้ได้อีก
แม้ว่าตำแหน่งเต้าถายจะมามิถึงมือตน แต่อย่างน้อยได้เป็นจือโจวก็ยังดี !
แม้ว่าตำแหน่งปัจจุบันของตนจะสูงกว่าจือโจว แต่หากคำนึงถึงอนาคตของลูกหลานในอนาคต ก็นับว่าเป็นการลดการแข่งขันลงได้ถึง 10 ปีเลยทีเดียว
เยี่ยนเป่ยซีชะงักลงทันพลัน เรื่องนี้มิควรนำไปปรึกษาหารือกันในสำนักอัครมหาเสนาบดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเยี่ยงนั้นหรือ ? เหตุใดฝ่าบาทถึงรีบตรัสออกมาเช่นนี้ด้วยกัน ?
หรือว่าฝ่าบาททรงมีคนที่เลือกไว้อยู่แล้ว ?
ฉินฮุ่ยจือเองก็ตกตะลึงยิ่ง ฝ่าบาทมิได้ตรัสออกมาทันที คาดว่าคงรอให้มีผู้ใดแสดงความคิดเห็นออกมา
ดังนั้น ฉินฮุ่ยจือจึงเดินหน้าขึ้นมาแล้วโค้งคำนับ กล่าวว่า “กระหม่อม ขอแนะนำเซวี๋ยไคเหลียนแห่งสำนักตรวจสอบพระราชโองการให้เข้ารับตำแหน่งเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้า เหตุผลนั้นมีอยู่ 3 ประการ ประการแรกสำนักตรวจสอบพระราชโองการเป็นขุนนางระดับสี่ การโยกย้ายไปเป็นเต้าถายนับว่าสมเหตุสมผล ประการที่สองท่านเซวี๋ยสอบได้ปั๋งเหยี่ยนในปีไท่เหอที่ 50 บัดนี้อายุ 35 เป็นช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ประการที่สามท่านเซวี๋ยทำงานในสำนักอัครมหาเสนาบดีมาเป็นเวลานานหลายปี มิว่าประสบการณ์หรือคุณสมบัติล้วนเหมาะสมต่อตำแหน่งเต้าถายนี้ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อเซวี๋ยไคเหลียนแห่งสำนักตรวจสอบพระราชโองการถูกท่านฉินเสนอรายชื่อเช่นนี้ เขาก็ดีใจเสียจนน้ำตาคลอเบ้า ภายในใจหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฝ่าบาทจะตอบรับ
แต่ทว่าเมื่อฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น ก็ทรงประหลาดใจยิ่ง ฉินฮุ่ยจือมายุ่งเกี่ยวอันใดด้วยกัน ?
ข้าเพียงแค่เอ่ยออกมาเท่านั้น ผู้ใดใช้ให้เจ้าแสดงความคิดเห็น ?
แต่พระพักตร์ก็มิได้แสดงความมิพอพระทัยออกมา กลับพยักหน้าแล้วตรัสว่า “ตระกูลเซวี๋ยก็มิเลวเสียทีเดียว”
เซวี๋ยไคเหลียนมองฝ่าบาทด้วยสีหน้าตื่นเต้น ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความดีใจเสียจนแทบจะหยุดหายใจเลยก็ว่าได้
เอาเลย ! ตรัสออกมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทำได้อย่างแน่นอน ! เพียงแค่เต้าถายเท่านั้นมิใช่หรือ ? กระหม่อมสามารถปกครองและพัฒนาว่อเฟิงเต้าให้เจริญรุ่งเรืองได้เป็นแน่ !
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเซวี๋ยไคเหลียน แล้วจึงแย้มพระโอษฐ์ ยิ่งทำให้เซวี๋ยไคเหลียนดีใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เป็นกระหม่อมแน่ ! เป็นกระหม่อมใช่หรือไม่ ! ต้องใช่เป็นแน่ !
“เพียงแต่ข้าคิดว่า ว่อเฟิงเต้าเป็นอาณาเขตใหม่ มิควรไปลดตำแหน่งความสามารถของผู้เก่งกาจเช่นนี้ ตระกูลเซวี๋ยทำงานให้สำนักอัครมหาเสนาบดีมาช้านานและทำได้ดียิ่ง ข้ามิประสงค์ให้เขาเดินทางไปไหนไกล”
เปรี้ยง… !
ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ สมองของเซวี๋ยไคเหลียนว่างเปล่าตั้งแต่ก่อนที่ฝ่าบาทจะตรัสประโยคนั้นจบลง จบเห่แล้ว !
แม้ว่าสำนักตรวจสอบพระราชโองการและเต้าถายจะมีตำแหน่งขุนนางที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ทว่าความเป็นจริงแล้วช่างแตกต่างยิ่ง
การปกครองมณฑลหนึ่ง เปรียบเสมือนผู้ปกครองเมือง ๆ หนึ่งเลยทีเดียว
มิว่าจะเป็นท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนหรือท่านฉินฮุ่ยจือ ล้วนเคยเป็นเต้าถายมาก่อน ในบรรดาขุนนางกล่าวกันว่า หากต้องการเป็นขุนนางระดับสอง ก็ต้องไปเป็นเต้าถายเสียก่อน
เซวี๋ยไคเหลียนมิได้รับตำแหน่งนี้ ย่อมหมายความว่าชีวิตทางราชการของตนคงเดินทางได้ถึงเพียงแค่ขุนนางระดับสี่แห่งสำนักตรวจสอบพระราชโองการเท่านั้น
ฉินฮุ่ยจือเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ฝ่าบาทโต้แย้งความคิดที่เขาเสนอออกไปเยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็มิได้เสนอรายชื่อผู้ใดออกมา เช่นนั้น ฝ่าบาทตั้งพระทัยมอบตำแหน่งนี้ให้กับผู้ใดกันแน่ ?
ในบรรดาขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นเหล่านี้ ยังมีผู้ใดที่คุณสมบัติมากพอและเหมาะสมกว่าเซวี๋ยไคเหลียนอยู่อีกหรือ ?
ส่วนฟู่เสี่ยวกวนมิได้ครุ่นคิดเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตนได้รับบรรดาศักดิ์ก็เพียงพอแล้ว มีสิ่งเดียวที่น่าเสียดาย คือเงินมากมายถึงเพียงนั้น ฝ่าบาทกลับมิประทานให้แม้แต่ตำลึงเดียว !
ดังนั้น ตนจึงกำลังคิดอยู่ว่า…ค่าใช้จ่ายเรื่องปืนคาบศิลาเหล่านั้น ควรเดินทางไปเจรจากับฮองเฮาซั่งเสียหน่อยจะเป็นอันใดไป ?
ในที่สุด ฮ่องเต้ก็ได้ตรัสออกมาว่า “ข้าคิดไปคิดมา ว่อเฟิงเต้านี้เสี่ยวกวนเป็นผู้เจรจาจนได้มา นับว่าเป็นอาณาเขตใหม่ที่ต้องพัฒนาในทุกด้าน หากสามารถเปิดตัวได้ด้วยดีก็จะสามารถพาว่อเฟิงเต้าพัฒนาได้แบบก้าวกระโดด รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีต่อทั้งสิบสามมณฑลอีกด้วย
จากที่ข้าได้ไตร่ตรองดูแล้ว ผู้ที่ควรได้รับตำแหน่งเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้าจะเป็นผู้ใดไปมิได้ นอกเสียจากฟู่เสี่ยวกวน ! ”
เมื่อฝ่าบาทตรัสเช่นนั้นออกมา ทุกชีวิตต่างก็พากันฮือฮา ล้วนมองไปยังฮ่องเต้ จากนั้นก็มองกลับมาทางฟู่เสี่ยวกวนอย่างตกตะลึง
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ตื่นตกใจมากยิ่งนัก ว่าอันใดนะ ?
ให้ข้าเป็นเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
ท่านพ่อตาจะลดตำแหน่งกันหรือเยี่ยงไร ?
อีกอย่างคือทั้งภรรยาและอุตสาหกรรมของตนล้วนอยู่ที่เมืองจินหลิง แต่ท่านกลับให้ข้าเดินทางไปยังอาณาเขตที่เคยเป็นของแคว้นอี๋ นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?
แม้แต่เยี่ยนเป่ยซียังขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย มิใช่ว่าเขาอยากได้ว่อเฟิงเต้ามาครอบครอง แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีความสามารถในด้านการค้า แต่ทว่าเรื่องของการปกครองนั้นมีหลายด้านให้ต้องคำนึง ในสายตาของเขามองว่ามันซับซ้อนยิ่งกว่าการค้าเสียอีก ฟู่เสี่ยวกวนไร้ประสบการณ์ในการปกครองมณฑล น่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะปฏิเสธ แต่ฝ่าบาทก็ชิงตรัสขึ้นมาก่อน “ข้ารู้ว่ากรมการค้าเพิ่งจะก่อตั้งมาได้มินาน เสี่ยวกวนยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่า ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้รับผิดชอบกรมการค้าและเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้าทั้งสองตำแหน่งในเวลาเดียวกัน โดยอิงตามการก่อตั้งกรมการค้า ขุนนางทุกคนในว่อเฟิงเต้า ให้เขาเป็นผู้คัดเลือกด้วยตนเอง ส่วนกรมขุนนางอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยว เพียงทำตามที่ฟู่เสี่ยวกวนกำชับก็พอ ! ”
ตัดสินพระทัยแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทั้งยังได้รับสิทธิพิเศษมากมายถึงเพียงนี้ !
คัดเลือกขุนนางเองโดยที่กรมขุนนางมิสามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ !
นี่คือพระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่เพียงใด !
เหล่าขุนนางยังมิได้สติกลับคืน ด้านขันทีเจี่ยก็ได้เขียนพระราชโองการเสร็จสิ้นแล้ว ฮ่องเต้หยิบตราแล้วทำการประทับลงไปทันที
ในพระทัยได้แต่หัวเราะร่า ฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถถึงเพียงนี้ การที่ข้ามอบว่อเฟิงเต้าให้เขาจัดการ จึงจะวางใจลงได้ !
ขันทีเจี่ยหยิบพระราชโองการขึ้นมาต่อหน้าสาธารณชน “ฟู่เสี่ยวกวนจงรับราชโองการ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง เขาต้องการเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดา เดิมทีแค่มอบบรรดาศักดิ์ให้ก็ดีอยู่แล้ว ผู้ใดจะอยากได้ตำแหน่งเต้าถายกัน ?
เขารีบเบียดออกมาจากท่ามกลางเหล่าขุนนางทั้งหลาย แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักตร์ เขามิรอให้ขันทีเจี่ยอ่านพระราชโองการจนเสร็จ ก็ได้รีบเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า “กระหม่อมฟู่เสี่ยวกวน มิประสงค์จะรับราชโองการนี้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
ประโยคนี้ของฟู่เสี่ยวกวนทำให้ทุกสายตาที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้มองเขาอย่างเกลียดชัง ข้าอยากได้ตำแหน่งนี้แทบตายแต่ก็มิได้ เจ้ามีสิทธิอันใดมาปฏิเสธกัน ? เขาเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ? ตำแหน่งเต้าถายเชียวนะ ! หากรับตำแหน่งในว่อเฟิงเต้าสักสองสามปีแล้วกลับมายังเมืองหลวง ให้ตายเถอะ ! เขาจะมีอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีแล้วก็จะได้ขึ้นเป็นขุนนางระดับสอง !
ฮ่องเต้เองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ฮ่องเต้ตรัสแล้วมิคืนคำ กล้าดีเยี่ยงไรมาปฏิเสธ ?
การที่ข้ารั้งตัวเจ้าไว้ในราชวงศ์หยู รู้หรือไม่ว่าต้องใช้ความคิดมากมายถึงเพียงใด ?
มิได้ ตำแหน่งเต้าถายต้องเป็นของเจ้าเท่านั้น !
“มิอยากรับก็ต้องรับเอาไว้ ผู้ใดใช้ให้เจ้าเป็นบุตรเขยของข้ากันเล่า ? ผู้มีความสามารถต้องทำงานมากกว่าผู้อื่น ข้าเชื่อใจเจ้า แล้วเจ้าเล่า…เข้าใจในความหวังดีของข้าหรือไม่ ! ”
เมื่อฝ่าบาทรับสั่งจบก็ได้เสด็จลงมาจากบัลลังก์มังกร หยุดอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน พยุงอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยพระองค์เอง แล้วตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อลูกพี่น้องร่วมมือร่วมใจกันจึงจะสำเร็จ เจ้าเองก็นับว่าเป็นบุตรของข้าครึ่งหนึ่งแล้ว หากมิคอยช่วยเหลือข้า แล้วผู้ใดจะมาช่วยบรรเทาแทนข้ากัน ? ”
ตรัสจบก็หันไปกำชับขันทีเจี่ยว่า “ประกาศ ! ”
ขันทีเจี่ยงืนงงอยู่กับที่ มิแน่ใจว่าฟู่เสี่ยวกวนอยากรับตำแหน่งเต้าถายหรือไม่ แต่ทว่านี่คือราชวงศ์หยู เขาจำเป็นต้องฟังคำสั่งของฮ่องเต้
ดังนั้น ขันทีเจี่ยจึงยกพระราชโองการขึ้น ฝ่ายฟู่เสี่ยวกวนโอดครวญร้องขอขึ้นมาอีกคราว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมต้องการเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินที่รักความสำราญเท่านั้น ! ”