ตอนที่ 555 เวลาและโชคชะตา
กองทัพของเฟ่ยอันออกเดินทางไปยังเจี้ยนเหมิน ส่วนกองทัพ 150,000 นายของเซวี๋ยติ้งชานก็ได้ออกเดินทางจากด่านชีผานและทะยานไปยังเจี้ยนเหมิน
กองทัพ 130,000 นายของสีฮวามาถึงไป๋หม่าอี้และเดินทางไปยังด่านชีผานต่อโดยมิได้หยุดพัก
กองพลดาบเทวะที่สามโดยการนำของซูม่อ เดินหน้าต่อไปพร้อมกับความสับสน มีระยะห่างจากทัพของสีฮวาเพียง 1 วันเท่านั้น
กลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนภายใต้การนำทางของเว่ยอู๋ปิ้ง พวกเขามิได้หยุดพักฝีเท้า อ้อมข้ามภูเขาเพื่อไปยังไป๋หม่าอี้
ส่วนทัพของเผิงยวี๋เยี่ยนก็ได้มาถึงด่านชีผาน ในยามเช้าตรู่
ฝนในภูเขาหยุดตกแล้ว หมอกหนาลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศ ด่านชีผานที่เด่นตระหง่านปรากฏให้เห็นอย่างเลือนลางท่ามกลางสายหมอก
กองทัพทหารภูเขาทำการซ่อมแซมสถานที่ตรงนั้น คิ้วของเผิงยวี๋เยี่ยนยังคงขมวดมุ่น… แล้วศัตรูเล่า ?
นางยืนอยู่บนต้นไม้แล้วมองไปยังด่านชีผานจากระยะไกล ในสมองมีแต่ความสับสนที่สลัดเยี่ยงไรก็สลัดมิหลุด
กองทัพชายแดนตะวันตก 300,000 นาย ระหว่างทางนางได้เห็นมากกว่า 100,000 นาย หรือว่า 100,000 กว่านายนั้นจะคอยปกป้องที่นี่เอาไว้ !
หากทัพ 150,000 นายของเซวี๋ยติ้งชานอยู่ที่ด่านชีผาน ก็หมายความว่าเซวี๋ยติ้งชานมิได้วางแผนออกจากฉินหลิงเพื่อไปฉ่านโจว
หรือวิธีการของเซวี๋ยติ้งชานคือการรักษาด่านชีผานเอาไว้เพื่อยึดสองเส้นทางของเจี้ยนหนาน และมิมีเจตนาที่จะฝึกม้าในที่ราบด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?
หลังผ่านไปได้ครึ่งก้านธูป นางก็ได้เรียกเสี่ยวซีหัวหน้าผู้สอดแนมมาพบ
“เสี่ยวซี จงพาผู้สอดแนม 10 นาย ปีนหน้าผาทางตะวันตกขึ้นไปสังเกตลักษณะภูมิประเทศ เพื่อหาสถานที่ที่กองทัพสามารถปีนขึ้นไปได้ ที่เหลือให้ใช้กล้องส่องทางไกลดูจากที่สูง ตรวจสอบว่าในด่านชีผานมีข้าศึกอยู่จำนวนเท่าใด แล้วรีบกลับมารายงาน ! ”
กวนเสี่ยวซีน้อมรับคำสั่ง จากนั้นก็เรียกลูกน้องมา 10 นาย แล้วกระโดดหายไปในหุบเขาทันที
ด่านชีผานตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสองลูก จึงมีลักษณะภูมิประเทศสูงเป็นอย่างมาก ง่ายต่อการปกปักษ์ยากต่อการโจมตี
หากต้องลงมือที่ด่านชีผาน กลยุทธ์การรบทั่วไป คือต้องอาศัยความแข็งแกร่งของกำลังทหารที่มากกว่าของศัตรูสิบเท่า หรือเสริมด้วยอานุภาพของปืนใหญ่หงอี บีบบังคับให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้
ทว่าเผิงยวี๋เยี่ยนมีทหารภูเขาอยู่เพียง 3,000 นายเท่านั้น ดังนั้นนางจึงมิดื้อรั้นบุกเข้ายึดด่านชีผานโดยทันที
กวนเสี่ยวซีได้นำผู้สอดแนมมาถึงเขาซีเฟิงแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมอง… มารดามันสิ ! หน้าผานี้สูงชันมากยิ่งนัก !
เขาขบกรามเม้มริมฝีปากแน่น หยิบเชือกไต่ภูเขาขึ้นมาหนึ่งเส้น “ระหว่างที่รอข้าจะขึ้นไปมัดเชือกไต่ภูเขานี้ให้เสร็จ พวกเจ้าจงเตรียมการป้องกันเอาไว้รอบทิศ”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วทะยานขึ้นไปบนหน้าผาสูงชัน จังหวะนั้นก็ตอกตะปูขึงเชือกไปตลอดทาง จนถึงยอดเขาซีเฟิง
เขายืนอยู่บนเขา มองไปทั่วสารทิศ เมฆสีขาวโอบล้อมจนมองมิเห็นอันใดทั้งสิ้น
กวนเสี่ยวซีคลำทิศทางไปยังด่านชีผาน หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามก็ได้มาถึงด้านหลังของด่าน หมอกหนายังคงมีอยู่ ต่อให้มองผ่านกล้องส่องทางไกลก็มิอาจมองเห็นได้ชัดว่าสุดท้ายแล้วศัตรูมีจำนวนเท่าใด
ดังนั้นเขาจึงนำของทั้งหมดซ่อนไว้บนเขา สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง พกปืน 1 กระบอก ตรงไปยังด่านชีผานจากทางด้านหลังเขา
องค์ชายสี่หยูเวิ่นชูและนักบุญสาวเฉินจั่วจวินแห่งลัทธิจันทราคอยปกป้องที่นี่ ในยามนี้ทั้งสองกำลังสั่งการกองทัพอยู่บนกำแพง ต่างคนต่างมองหน้ากันโดยมิเอ่ยอันใดออกมา
เฟ่ยอันจัดตั้งกองทัพสี่แสนนายขึ้นที่หลินจื๋อ วันก่อนทหารราบซีหรงก็ได้ผ่ายแพ้อย่างราบคาบ ณ ท่าชุนเฟิง
เซวี๋ยติ้งชานจึงต้องจำใจถอนทัพ หวังยึดเจี้ยนเหมินและปักหลักเอาไว้
กล่าวได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ มิมีทางที่จะออกไปยังฉินหลิงได้เลย
ดังนั้นแผนการที่ยากลำบาก เมื่อมาถึงตรงนี้ก็คงจะจบลงอย่างแท้จริงแล้ว
จินหลิง… เกรงว่าชั่วชีวิตนี้จะมิได้ไปยังจินหลิงอีกแล้ว
หยูเวิ่นชูยิ้มเยาะ “สูญเสียความได้เปรียบไปแล้ว มิรู้ว่านักบุญสาวมีความรู้สึกเยี่ยงไร ? ”
เฉินจั่วจวินก้มหน้าลงและไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
ทหารราบซีหรงพ่ายแพ้ลงใน 3 ชั่วยาม เจี้ยนเหมินช่างโชคดีมากยิ่งนัก หากเจี้ยนเหมินตกอยู่ในมือเฟ่ยอัน กองทัพชายแดนตะวันตกก็จะเหลือเพียงทัพเดียว
ด้านหน้ามีหยูชุนชิว ด้านหลังมีเฟ่ยอัน มิต้องถึงขั้นเข้าต่อสู้ เพียงแค่ปิดล้อมก็คงล้อมจนกองทัพชายแดนตะวันตกอดตายกันจนหมดสิ้น
ผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ เกิดจากความมิพยายามของลัทธิจันทราทั้งสิ้น
ดังนั้นนางยังสามารถกล่าวอันใดได้อีกกัน ?
หากมิใช่เพราะห่วงบุตรี อี้ซี เกรงว่านางคงกดกระบี่ลงลำคอไปแล้ว
“เวลาและโชคชะตา…” หยูเวิ่นชูลุกขึ้น สองมือไพล่หลังแล้วก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า “ปีที่แล้วพี่ชายของข้า องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียน ก่อกบฏขึ้นที่สุสานฮ่องเต้ จึงถูกเสด็จพ่อคุมขังไว้ที่จวนของตระกูล เวลานั้นฟู่เสี่ยวกวนก็อยู่ด้วย ต่อจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เข้าใจถึงพระประสงค์ของเสด็จพ่อ จึงได้ช่วยเสด็จพี่ออกมา และในวันนี้ก็ทรงได้เป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพชายแดนตะวันออก ถึงแม้ว่าจะมิสามารถกลับราชวงศ์ได้ แต่ทว่าก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังเป็นชีวิตแบบที่เขาปรารถนา…”
หยูเวิ่นชูหยุดฝีเท้า เงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง หมอกหนาด้านนอกบดบังสายตา สิ่งที่เห็นจึงมีเพียงสีขาวทั้งผืน
“วันนี้ข้ากำลังก่อกบฏ แต่เส้นทางกลับมิราบรื่น และคาดมิถึงว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
“ข้าลองคิดไตร่ตรองมาตลอดทั้งคืน ใคร่ครวญถึงแผนการที่คิดมาอย่างดีนี้ เหตุใดจึงเกิดตัวแปรขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้กัน คงเรียกได้ว่าคนคำนวนมิสู้ฟ้าลิขิต มาถึงยามนี้ ข้าได้ทราบสถานการณ์โดยคร่าว ๆ แล้ว ข้าอับโชคเฉกเช่นท่านพี่ใหญ่ และข้ามิอยากคุกเข่าขอความเมตตาเบื้องหน้าเสด็จพ่อ”
“องค์ชาย… พวกเรายังกลับไปซีหรงได้ มีจินซานอยู่ที่ตรงนั้น ยังมิต้องกล่าวไปถึงตงซาน พวกเรายังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้” เฉินจั่วจวินเงยหน้ามองไปทางหยูเวิ่นชู
หยูเวิ่นชูแค่นยิ้มและส่ายหน้า “เจ้าใสซื่อเกินไปแล้ว คิดว่าต่อให้สงครามนี้พ่ายแพ้ เสด็จพ่อจะปล่อยข้าไปเยี่ยงนั้นหรือ ? จะปล่อยพวกเจ้าที่เป็นลัทธิจันทราไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หากเป็นในอดีตคงพอมีหนทาง เพราะท้องพระคลังของราชวงศ์หยูว่างเปล่า เสด็จพ่อรวมถึงเหล่าเสนาบดีจึงมิอยากทำสงคราม แต่ทว่าในตอนนี้ได้แตกต่างออกไป…”
หยูเวิ่นชูสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองท้องนภา “ฟู่เสี่ยวกวนหาเงินมาให้ถึง 180 ล้านตำลึง นี่คือภาษีคงคลัง 10 ปีของราชวงศ์หยู ในตอนนี้คลังหลวงจึงอู้ฟู่ เสด็จพ่อมีเงินเหลือเฟือเพียงพอที่จะสู้”
เฉินจั่วจวินก้มหน้าลงอีกครา ผ่านไปหลายอึดใจ จึงได้กล่าวเสียงแผ่วออกมาว่า “เยี่ยงนั้น… พวกเราไปที่แคว้นฮวงแล้วปกปิดตัวตนชั่วชีวิตเถอะ ท่านเห็นเป็นเยี่ยงไร ? ”
“มิเห็นเป็นเยี่ยงไรทั้งนั้น หนานป้าเทียนเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนเสียจนอ่อนแอ กลายเป็นอ่อนโยนและมิเด็ดขาด ก่อนหน้านี้มิได้เป็นแบบนี้ เหตุใดจึงกลัวความตายกัน ? ”
เฉินจั่วจวินเงยหน้าขึ้นมองหยูเวิ่นชู “ข้ามิอยากให้อี้ซีกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเยาว์ ! ”
สายตาของหยูเวิ่นชูยังคงทอดมองไปยังหมอกหนานอกหน้าต่าง สีหน้าเคร่งขรึม ผ่านไปเนิ่นนาน จึงได้เอ่ยขึ้นมาอีกคราว่า “เจ้ารีบกลับไปเถิด พาอี้ซีไปให้ห่างจากบ้านเกิด”
“แล้วท่านเล่า ? ”
“ข้าไปที่ใดมิได้แล้ว ต่อให้หนีไปไกลจนสุดขอบนภา เสด็จพ่อก็จะหาข้าจนพบ และจับตัวข้ากลับมา”
“หากท่านมิไป ข้าก็จะมิไป ! ”
หยูเวิ่นชูเงียบลงอีกครา ครานี้เนิ่นนานนัก สุดท้ายจึงฉีกยิ้มขึ้นมา “หากเจ้ามิไป เช่นนั้นก็มาตายด้วยกันเถอะ ปล่อยให้อี้ซีกลายเป็นเด็กกำพร้าจะเป็นอันใดไป”
“ท่าน… ! ”
“ไสหัวไป ! ”
หยูเวิ่นชูตวาดลั่นจนเฉินจั่วจวินสะดุ้งโหยง “จำเอาไว้ว่า… จงพาอี้ซีหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ อย่าทำตัวเป็นเด็กคิดก่อกบฏต่อราชวงศ์หยูเยี่ยงนี้อีก ! และอย่าคิดแก้แค้นเป็นอันขาด ! ”
หยูเวิ่นชูสูดลมหายใจเข้าลึกและลดน้ำเสียงให้เบาลง “จงมีชีวิตเพื่ออยู่ต่อ อย่าบอกชาติกำเนิดให้อี้ซีได้รับรู้เป็นอันขาด ให้นางเป็นเด็กสาวธรรมดาจากครอบครัวธรรมดา ใช้ชีวิตสงบสุขชั่วชีวิตเถอะ ! ”
เฉินจั่วจวินก้มหน้าแล้วหลับตาลง น้ำตาไหลรินออกมาเป็นทาง
ทันใดนั้น นางก็ลุกขึ้น หันหลังแล้วเดินจากไป โดยมิทิ้งคำเอ่ยไว้แม้เพียงคำเดียว
หยูเวิ่นชูมิได้หันหน้ากลับมา เขายังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่าหมอกนี้ดีอย่างยิ่ง เมื่อมองมิเห็นสถานที่ที่ห่างไกลออกไป จึงมิทราบว่าที่ห่างไกลนั้นมีทัศนียภาพสวยงามมากเพียงใด และมิคิดอยากเข้าใกล้เพื่อเชยชม
ถึงแม้บัลลังก์มังกรจะงดงาม ถึงแม้มงกุฎจะพร่างพราว แต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนอาบยาพิษทั้งสิ้น !
เป็นพิษที่เล่นงานจนถึงแก่ชีวิต !
มิน่าเล่า ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้หนีออกมาเสียห่างไกล… ในยามนี้หยูเวิ่นชูกลับนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาอีกครา เขาหัวเราะออกมาอย่างคาดมิถึง ชายผู้นั้นเป็นคนยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง น่าเสียดายเมื่อตอนที่ยังอยู่จินหลิง มิร่วมดื่มสุรากับเขาให้มากกว่านี้