ตอนที่ 559 ยึดด่านชีผานอย่างแยบยล
หยูเวิ่นชูตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน !
นั่นคือเสียงปืน !
ทั่วทั้งใต้หล้าในปัจจุบันนี้ มีเพียงกองกำลังดาบเทวะเท่านั้นที่ได้ครอบครองศาสตราเทพนี้อย่างเป็นทางการ พวกเขามาได้เยี่ยงไร ?
หรือด่านชีผานจะถูกโจมตีแล้ว ?
ในยามที่กำลังตื่นตระหนก ทหารอารักขานายหนึ่งก็ได้วิ่งเข้ามาอย่างตื่นกลัว “ทูลองค์ชาย หอกวนโหลวแห่งด่านชีผานถูกข้าศึกยึดไว้ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
บัดซบ… !
หยูเวิ่นชูสะท้านไปทั้งใจ “ชริ้ง… ! ” เขาชักกระบี่ที่เอวออกมา พร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ทหารทุกนายรับคำสั่ง ตามข้าไปชิงหอกวนโหลวกลับคืนมา ! ”
เขาสาวเท้าวิ่งออกไปด้านนอก เพิ่งจะวิ่งออกจากค่ายไป กวนเสี่ยวซีก็ได้ตะโกนขึ้นมาอีกครา “องค์ชายสี่วิ่งออกไปแล้ว รีบจับตัวพระองค์ไว้ มิเช่นนั้นทุกคนจะถูกกองกำลังดาบเทวะสังหารเอาได้ ! ”
ทหารที่ยืนลังเลห่างออกไปนั้น ในยามนี้ได้เลือกฝั่งที่จะยืนแล้ว
กองกำลังดาบเทวะ มีเพียง 4,000 นายแต่กลับสังหารกองกำลังนับแสนของกงเซินจ่างได้ นี่มิใช่การโอ้อวด แต่เป็นคำชมเชยที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ด้วยพระองค์เอง !
มิรู้ว่าท่านเสี่ยวกวนมาด้วยหรือไม่ ?
มิว่าท่านเสี่ยวกวนจะมาหรือมิมา ศึกในครานี้ก็ไร้หนทางที่จะสู้ต่อแล้ว
มิได้ยินความเคลื่อนไหวใด ๆ แสดงว่ากองกำลังดาบเทวะคุมหอกวนโหลวเอาไว้แล้ว ทันทีที่ประตูเปิด ก็มิรู้ว่ากองกำลังดาบเทวะจะเข้ามาอีกจำนวนเท่าใด
พวกเขามีศาสตราเทพเยี่ยงปืนคาบศิลาอยู่ในมือ เพียงแค่ดาบในมือของพวกเรา จะไปสู้ได้เยี่ยงไร !
“โต้กลับไป กองพันเฉียนถุนทั้งหมด จงจับกุมกบฏหยูเวิ่นชู ! ”
“อย่าให้กองพันเฉียนถุนแย่งความดีความชอบไป คนของกองพันเจิ้งอันเล่า ? ไปจับหยูเวิ่นชูกับข้า ! ”
“สหายทั้งหลาย จับหยูเวิ่นชูเอาไว้ มิต้องปะทะกับกองกำลังดาบเทวะ! ”
“……”
เสียงกู่ร้องคำรามดังกระหึ่มทั่วทั้งค่ายทหาร ถึงเวลานี้ แม้แต่ทหารที่มิคิดจะหักหลังก็ได้ชูดาบแล้ววิ่งออกไป
มิมีผู้ใดอยากตาย !
และทางเดียวที่จะทำให้พวกเขารอดชีวิตไปได้… ก็คือต้องจับหยูเวิ่นชูเอาไว้ให้จงได้ เพื่อแสดงความจริงใจต่อกองกำลังดาบเทวะ
กองกำลังดาบเทวะคือกองทัพของท่านเสี่ยวกวน ท่านเสี่ยวกวนคือราชบุตรเขยของฝ่าบาท ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงพระราชทานบรรดาศักดิ์จึเจวี๋ยให้แก่ท่านเสี่ยวกวนแล้วด้วย ข่าวที่พวกเขาเข้าสวามิภักดิ์ย่อมผ่านทางกองกำลังดาบเทวะไปถึงหูของฟู่เจวี๋ยเยอย่างแน่นอน ฟู่เจวี๋ยเยมิชอบการสังหารผู้คน กล่าวว่าคราแรกที่ภูเขาผิงหลิง ก็ได้ไล่ต้อนทัพของกงเซินจ่างไปยังหุบเขาหมิงเยวี่ย และทุกคนก็ถูกแม่ทัพใหญ่เผิงจัดการไปทั้งหมดแล้ว
พวกคนเหล่านั้นล้วนเป็นกบฏกันทั้งสิ้น จึงต้องโดนตัดศีรษะกันทั้งหมด
แต่ในภายหลังได้ยินมาว่าเพราะคำเอ่ยของฟู่เจวี๋ยเย นอกจากแกนนำกลุ่มก่อกบฏสิบกว่าคนแล้ว แม่ทัพใหญ่เผิงก็ได้ปล่อยคนที่เหลือไป
ถ้าเช่นนั้น เรื่องในวันนี้ ขอเพียงแค่แสดงความสวามิภักดิ์ให้กับกองกำลังดาบเทวะเห็นก็เพียงพอแล้ว คิดว่าฟู่เจวี๋ยเยผู้สูงส่งก็คงจะปล่อยม้าเยี่ยงพวกเขาไปเช่นกัน
ทันทีที่หยูเวิ่นชูวิ่งมาถึงสนามฝึกก็รู้สึกมึนงงขึ้นมาทันที
ข้าต่างหากที่เป็นแม่ทัพของพวกเจ้า เหตุใดแต่ละคนจึงตะโกนกู่ร้องชื่อของข้ากัน ?
แต่ละคบเพลิงราวกับงูและมังกรกำลังร่ายระบำ แต่ละเสียงที่ดังขึ้นมา ต่างก็ตะโกนให้จับกุมกบฏหยูเวิ่นชู
ข้าคือองค์ชายแห่งแคว้นผู้สูงศักดิ์ คาดมิถึงว่าในวันนี้จะกลายเป็นหนูข้างถนน !
หยูเวิ่นชูกำกระบี่ในมือแล้วจดจ้องไปยังเหล่าทหารที่กรูกันเข้ามายังสนามฝึกจากทั่วสารทิศ เขาเลียริมฝีปาก และกวาดสายตามองทหารเหล่านั้นอย่างดุดัน ทหารที่อยู่เบื้องหน้าตื่นกลัวเสียจนต้องหยุดฝีเท้าลง
“ทหารเยี่ยงพวกเจ้า ต่างก็เป็นหญ้าบนยอดกำแพงกันทั้งสิ้น ! ”
เขาสะบัดกระบี่ในมือ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ชี้ไปทางทหารเหล่านั้นแล้วกล่าวออกมาอย่างดุดันว่า “แม่ทัพเซวี๋ยปฏิบัติต่อพวกเจ้าราวกับมิตรสหาย เชื่อมั่นในตัวของพวกเจ้าอย่างยิ่ง แล้วพวกเจ้าเล่า ? คาดมิถึงว่าจะกล้าถืออาวุธชี้มาทางข้า ! ”
“ผู้ใดที่กำลังล่อลวงฝูงชน ? ข้าจะจับเจ้าออกมาให้จงได้ ! ”
“พวกเจ้าใช้สมองใคร่ครวญเสียหน่อย ยอดเขาของด่านชีผานทั้งสองนี้ต่างก็เป็นหน้าผา พวกเจ้าคิดว่ากองกำลังดาบเทวะจะมีปีกแล้วบินข้ามมาได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ต้องมีไส้ศึกอยู่ในหมู่พวกเจ้า ถูกไส้ศึกทำให้ตาพร่ามัว ข้าจะมิถือโทษพวกเจ้า ในตอนนี้จงฟังให้ดี ! ”
หยูเวิ่นชู ชูกระบี่ขึ้น ในตอนที่กำลังจะปรี่ไปเบื้องหน้า…
“ปัง… ! ”
กวนเสี่ยวซียิงปืนขึ้นมาอีกครา ระยะทางยังค่อนข้างไกล กระสุนจึงพลาดเป้าไม่โดนหยูเวิ่นชู แต่ทว่ายิงโดนกระบี่ที่เขายกขึ้นอย่างพอดิบพอดี !
ต่อจากเสียงปืน ทหารทุกนายล้วนเห็นประกายไฟเกิดขึ้นที่กลางกระบี่ คาดมิถึงว่ากระบี่นั้นจะแตกหักลงไปพร้อมกับเสียงปืน !
กวนเสี่ยวซีไร้ความลังเล เขาจุดพลุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ตู้ม… ! ” เกิดเป็นดอกไม้ไฟสว่างไสวบนท้องนภาของด่านชีผาน
“กองกำลังดาบเทวะมาแล้ว ! ”
ต่อจากเสียงตะโกนของกวนเสี่ยวซี สนามฝึกก็พลันเงียบลงในทันใด แม้แต่หยูเวิ่นชูก็ได้ลืมความหวาดกลัวเมื่อครู่ไปแล้ว เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างประหลาดใจ ปีศาจกองกำลังดาบเทวะอยู่ตรงที่ใดกัน ?
“มันคือไส้ศึก จับมันไว้ แล้วข้าจะตกรางวัลให้ 1,000 ตำลึง ! ”
จ้าวเหล่าลิ่วตกตะลึง น้องชายกวนเป็นไส้ศึกเยี่ยงนั้นหรือ ?
มิใช่ เหตุใดเรื่องจึงซับซ้อนถึงเพียงนี้กัน ควรรอจังหวะกันไปก่อน
รอก็แย่แล้ว ! ที่น้องกวนกล่าวมาก็มิผิด หากมิแสดงความสวามิภักดิ์ ช่วงที่โดนโจมตีขนาบข้าง ก็จะมิมีผู้ใดในที่นี้รอดไปได้
ทหารที่เหลือต่างก็ชะงักเช่นกัน ราตรีนี้ยังมิถึงเวลาเข้านอน เหตุใดทุกอย่างจึงราวกับเป็นความฝันไปได้ ?
กล่าวว่าต้องสวามิภักดิ์อย่างมิเข้าใจเรื่องราว ต้องจับกุมองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูอย่างมิเข้าใจเรื่องราว และยังต้องมาเจอกับไส้ศึกอีก ไส้ศึกผู้นั้นชื่อแซ้เยี่ยงไรก็มิอาจทราบได้ แล้วสุดท้ายควรจะจัดการเยี่ยงไร ?
เหล่าหัวหน้าทหารล้วนมิเข้าใจ แต่ทว่าก็เข้าใจอยู่จุดหนึ่ง หากกองกำลังดาบเทวะมาจริง ๆ เช่นนั้นก็ต้องจับกุมองค์ชายสี่เอาไว้
เมื่อครู่ผู้ใดที่ตะโกนว่ากองกำลังดาบเทวะมาแล้วกัน แล้วพวกเขาอยู่ที่ใดเล่า ?
หากกองกำลังดาบเทวะมาที่นี่ เรื่องยุ่งยากนี้ก็ถือว่าจบลงแล้ว เช่นนั้นพวกเราที่มีจำนวนมากก็ล้อมองค์ชายสี่เอาไว้ดีหรือไม่ ?
“มันคือไส้ศึก เหตุใดพวกเจ้าถึงได้โง่เง่าถึงเพียงนี้กัน ยังมิรีบไปชิงหอกวนโหลวกลับมาให้ข้าอีก ! ”
ในตอนนี้ ความโกรธของหยูเวิ่นชูยังมิสามารถลงกับทหารเหล่านั้นได้ หากไปยั่วโทสะพวกเขาเข้าแม้ว่าตนจะมีวรยุทธ์ ก็เกรงว่าจะมีการพลิกผันเกิดขึ้น เยี่ยงนั้นความตายได้เข้ามาเยือนเป็นแน่
มิใช่กล่าวกันว่า ถ้ามีรางวัลให้ย่อมมีผู้กล้าออกมาหรอกหรือ ?
“ทุกคนจงฟังคำสั่ง รีบไปชิงหอกวนโหลวกลับมา แล้วข้าจะตกรางวัลให้กับทุกคน คนละ 100 ตำลึง ! ”
บัดซบ ! เงินมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
พอทหารกลุ่มนั้นได้ยิน ทันใดนั้นก็เตรียมพร้อมที่จะลงมือ แต่ทว่าในยามที่เกิดความคิดนี้ขึ้นมาในหัว ทหารกลุ่มหนึ่งก็ได้วิ่งออกมาจากความมืด
ในมือของพวกเขาล้วนถือบางอย่างที่เป็นสีดำขนาดเล็ก ของสิ่งนี้…เกรงว่าจะเป็นปืนคาบศิลาที่กองกำลังดาบเทวะครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว !
มิมีผู้ใดกล้าขยับ !
แม้แต่หยูเวิ่นชูเองก็ยืนนิ่ง
กองกำลังดาบเทวะมาจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
เช่นนั้น ข้าต้องรีบวิ่ง !
เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย กระโดดขึ้นและลอยขึ้นไปในอากาศ เหยียบลงบนหัวของทหารแต่ละนาย ยืมพลังเล็กน้อย แล้วลอยขึ้นไปอีกครา ครานี้ตนได้ตกลงบนหลังคา หลังจากนั้น…
เขาก็ได้เห็นปืนเย็นเฉียบจ่อมาที่ท้ายทอยของตน !
“ในยามที่พบเจอชินอ๋อง ตามธรรมเนียมแล้วข้าควรคำนับ”
นางคือเผิงยวี๋เยี่ยน !
“แต่ทว่าชินอ๋องควรอยู่ในจวนอ๋องที่ซีหรง แล้วองค์ชายมาทำอันใดที่นี่เพคะ ? ”
กวนเสี่ยวซีใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นมาเช่นกัน แต่ในเวลานั้นเอง
ด้านหลังของเผิงยวี๋เยี่ยนก็ปรากฏเหล็กดาวกระจายชุดหนึ่งถูกปามาท่ามกลางความมืด พาดผ่านแสงไฟสลัวแล้วถูกกวนเสี่ยวซีเห็นเข้าพอดี
กวนเสี่ยวซีตะโกนเสียงดัง “ระวัง… ! ”
เขาเตะจนเผิงยวี๋เยี่ยนลอยออกไป จึงได้เห็นแสงสีขาวอีกเส้นหนึ่งบินเข้ามาท่ามกลางความมืด คนผู้นั้นได้โอบตัวหยูเวิ่นชูเอาไว้ ออกแรงกระชากจนหยูเวิ่นชูปลิวไปกลางความมืด
กวนเสี่ยวซียกปืนขึ้นยิงไปทางความมืดนั้น
“ปัง… ! ”