ตอนที่ 561 ความลับของราชวงศ์ก่อน (2)
ณ ด่านชีผาน
อดีตทหาร 20,000 นายของกองทัพชายแดนตะวันตก กำลังอลหม่านกันอยู่ภายในสนามฝึก
พวกเขาวิตกกังวลมากยิ่งนัก เพราะมิทราบว่าท้ายที่สุดแล้วกวนเสี่ยวซีผู้นั้นจะหลอกลวงหรือไม่
พวกเขาวางอาวุธลงจนหมด เผชิญหน้ากับทหารพันกว่านายที่ถือปืนอยู่ ในมือ หากตกหลุมพรางของกวนเสี่ยวซี พวกเขาจะมิมีแม้แต่โอกาสที่จะต่อต้าน
ในยามนั้นเอง กวนเสี่ยวซีก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่บนเวทีของสนามฝึก
เขากวาดสายตามองไปยังกลุ่มทหารที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากนั้นก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมา
“ข้าคือกวนเสี่ยวซี ปัจจุบันเป็นหยิงเชียนฮู่ของผู้สอดแนมทหารภูเขากองทัพชายแดนใต้”
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างแตกฮือขึ้นมาทันพลัน… จ้าวเหล่าลิ่วและหยูมู่โถวมองหน้ากัน บัดซบ ! ยังคิดอยู่เลยว่าคนผู้นี้คือคนของกองทัพชายแดนตะวันตก คาดมิถึงว่าเป็นกองทัพจากชายแดนใต้ พวกข้าถูกหลอกเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เงียบ ! ” กวนเสี่ยวซีตะโกนเสียงดังลั่น “ข้ามิเคยหลอกพวกเจ้า ขอยืนยันคำเดิมว่าหากพวกเจ้าร่วมก่อกบฏกับเซวี๋ยติ้งชาน สุดท้ายก็จะตายมิเหลือแม้แต่กระดูก ทุกคนต่างก็เป็นทหารของราชวงศ์หยู ข้ารุดมาที่นี่ เพราะต้องการช่วยเหลือพวกเจ้าด้วยใจจริง !
พวกเจ้าอย่าเพิ่งคิดว่าด่านชีผานสูงเสียดฟ้า แล้วคิดว่าพวกเราเข้ามาที่นี่ได้เยี่ยงไร ? ตอนนี้พวกเจ้าจงฟังเอาไว้ให้ดี ใช้กลุ่มที่แต่ละคนอยู่ในกองทัพแล้วรวบรวมกำลังพลขึ้นมาใหม่ประเดี๋ยวนี้ !
หัวหน้ากบฏหยูเวิ่นชูยังมิถูกจับกุม หากพวกเจ้าต้องการทำความดีเพื่อชดใช้ความผิด ก็จงหยิบอาวุธขึ้นมา เตรียมสู้กับกองทัพกบฏเซวี๋ย !
ในเมื่อยึดด่านชีผานได้แล้ว ก็เป็นการรักษาศีรษะของทุกคนได้ !
ข้าขอกล่าวเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ ข้าขอสาบานด้วยชีวิต หลังจากศึกครานี้จบลง พวกเจ้าทุกคนจะได้รับการต้อนรับจากแม่ทัพใหญ่หยู พวกเจ้าจะยังคงเป็นทหารของราชวงศ์หยู และจะยังคงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาท”
ทหารกลุ่มนี้ลองไตร่ตรองตามที่กวนเสี่ยวซีเอ่ยพบว่าคำเอ่ยนี้มีเหตุผลยิ่ง วันนี้มิมีหนทางให้ถอยกลับแล้ว องค์ชายสี่ยังมิถูกจับกุม การเข้าร่วมนี้มีเพียงเข่นฆ่ากับสหายที่เคยร่วมรบกันมาเท่านั้น
ดังนั้น สนามฝึกจึงวุ่นวายขึ้นมาทันพลัน ทุกคนกำลังตามหากองกำลังของตนเอง และในยามนี้ เผิงยวี๋เยี่ยนก็ได้มาถึงเวทีของสนามฝึก
“มิได้จับกุมหรือ ? ”
“หนีไปแล้ว ! ”
กวนเสี่ยวซีเกาศีรษะ ส่วนเผิงยวี๋เยี่ยนเบะปาก “พบผู้มีฝีมือระดับสูงผู้หนึ่ง คล้ายกับนักบุญอาวุโส”
ราวกับเผิงยวี๋เยี่ยนรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าอับอายยิ่ง จึงมิขอกล่าวขึ้นมาอีก นางหันไปมองทางกลุ่มทหารด้านล่าง “เจ้าทำได้ดียิ่ง หลังจบศึกครานี้ ข้าจะแนะนำเจ้าให้กับท่านแม่ทัพใหญ่ อย่างน้อยก็จะได้เป็นนายกองทหารม้า”
กวนเสี่ยวซีหัวเราะน้อย ๆ กล่าวเสียงแผ่วอย่างเขินอายว่า “ท่านแม่ทัพ แท้จริงแล้วข้ามีความคิดหนึ่งอยู่ในใจ หากกล่าวออกไปแล้วท่านอย่าได้มีโทสะ”
เผิงยวี๋เยี่ยนชะงักลงทันพลัน หันไปมองกวนเสี่ยวซีแล้วเอ่ยออกมาว่า “หรือว่านายกองทหารม้าขั้นสี่ชั้นโทยังต่ำเกินไป เยี่ยงนั้นก็เป็นนายกองทหารม้าขั้นสี่ชั้นเอก นี่ถือว่ามิเลวแล้ว”
“มิใช่เยี่ยงนั้น…”
“แล้วมีอันใด ? เหตุใดวันนี้จึงมีท่าทีเหนียมอายเยี่ยงสตรีกัน ? ”
“ข้า… อยากเข้าร่วมกับกองกำลังดาบเทวะ”
ดวงตาของเผิงยวี๋เยี่ยนเบิกโพลง ผ่านไปชั่วครู่ นางถึงได้จ้องกวนเสี่ยวซีเขม็ง “มิได้ ! ”
กวนเสี่ยวซีมองเผิงยวี๋เยี่ยนด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่นางหาได้สนใจเขาอีกไม่ นางเลือกที่จะหันไปทางสนามฝึกแทน
ทหารในสนามฝึกจัดเรียงแถวเรียบร้อยแล้ว นางจึงเอ่ยเสียงดังขึ้นมาอีกคราว่า “ข้าคือเผิงยวี๋เยี่ยน ภรรยาของท่านแม่ทัพใหญ่หยูชุนชิว ข้าขอสัญญากับพวกเจ้าอีกครา ทุกคำของกวนเสี่ยวซีคือความประสงค์ของข้า
นับแต่นี้สืบไป พวกเจ้าได้ถูกรวมเข้ากับกองทัพชายแดนใต้อย่างเป็นทางการแล้ว โดย…กวนเสี่ยวซีจะเป็นผู้นำทัพพวกเจ้าด้วยตนเอง ต่อจากนี้จะมีการต่อสู้อันดุเดือดรออยู่ ทัพของหงเหนียงจื่อสีฮวาจะมาถึงด่านชีผานในเวลาอรุณรุ่ง
อย่าได้มองว่านางมีทหารเพียงหนึ่งแสนกว่านาย ข้าขอบอกกับพวกเจ้าเลยว่าต้องรักษาที่นี่เอาไว้ให้ได้ถึง 2 วัน แม่ทัพใหญ่หยูกำลังเร่งรุดมาที่นี่ และสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ฝังศพของกองทัพกบฏของสีฮวา !
ศึกครานี้ ขอให้ทุกคนทุ่มเทพลังทั้งหมด รอให้ท่านแม่ทัพใหญ่ขึ้นมาบนหอคอย และจดคุณงามความดีของทุกคนเอาไว้ ! ”
อดีตทหารของกองทัพชายแดนตะวันตกเมื่อได้ยินดังนั้นก็ฮึกเหิมขึ้นมา
“พวกข้าขอสาบานว่าจะปกป้องด่านชีผานเอาไว้ด้วยชีวิต ! ”
“เหล่าผู้กล้าทั้งหลาย ในตอนนี้พวกเราคือทหารของแม่ทัพใหญ่หยูแล้ว ศึกครานี้จงสำแดงพลังออกมา อย่าให้แม่ทัพหยูต้องเสียหน้า ! ”
เผิงยวี๋เยี่ยนพึงพอใจเป็นอย่างมาก นางยกสองมือขึ้นแล้วค่อย ๆ กดลง รอให้ทั้งสนามฝึกเงียบกริบ นางจึงชูดาบขึ้นมา
“กวนเสี่ยวซีรับคำสั่ง ! ”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง ! ”
“ข้าขอสั่งให้เจ้ารีบนำทหารใหม่ทั้งหมดไปตั้งแนวป้องกันเอาไว้ ! ”
ให้ตายเถอะ กวนเสี่ยวซีรับคำสั่งมาด้วยความคับแค้นใจ แล้วพาทหารรักษาการณ์ 20,000 นายวิ่งไปยังหอกวนโหลว
เผิงยวี๋เยี่ยนมองแผ่นหลังของคนผู้นั้น แล้วถอนหายใจยาวออกมา… คนมีพรสวรรค์เยี่ยงนี้ น่าเสียดายที่แม้แต่ทหารภูเขาก็รั้งเขาเอาไว้มิได้
……
……
อีกาตัวหนึ่งบินออกจากศาลาใจกลางป่า กระพือปีกไปยังหุบเขาลึกอีกด้านหนึ่ง
เฉินจั่วจวินเงยหน้าขึ้น อาศัยแสงของดวงดารา จ้องใบหน้าของหยูเวิ่นชูอย่างตั้งใจ “ท่านรีบสัญญากับข้า ว่ามิต้องแสวงหาบัลลังก์มังกรอีกต่อไป ใช้ชีวิตที่ดีกับอี้ซี อยู่เคียงข้างจนนางเติบใหญ่ ดีหรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นชูเงียบอยู่เนิ่นนาน
ตามข่าวลือ ทรัพย์สมบัติจำนวนมาก เดิมถูกทิ้งเอาไว้ให้เด็กกำพร้าทั่วบ้านเมืองในราชวงศ์เฉิน หากร่ำรวยถึงเพียงนั้น จึงเป็นไปมิได้ที่จะรับทหาร ซื้อม้า และสร้างแคว้นด้วยมือเปล่า
ตนใช้กลอุบายมากมายเพื่อที่ต้องการจะทราบข่าวเรื่องทรัพย์สินจำนวนมากจากสตรีผู้นี้ แต่ท้ายที่สุดนางก็มิเคยกล่าวออกไป จนถึงบัดนี้…
ความเกลียดชังในใจของหยูเวิ่นชูเริ่มปะทุขึ้น !
หากสามารถตั้งตนให้มั่งคั่งได้ในเร็ววัน ตนจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงนี้หรือ ?
แต่ในตอนนี้มิสามารถแตกคอกันกับเฉินจั่วจวินได้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “ข้าสัญญา ! ”
“ท่านลังเลอยู่นานมากยิ่งนัก ข้าติดตามท่านมาก็นานหลายปี ถือว่ายังรู้จักท่านอยู่บ้าง จงสาบานมา”
หยูเวิ่นชูรู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง เจ้าใกล้จะตายอยู่รอมร่อแล้ว ยังมิรีบกล่าวออกมาอีก หรือต้องการนำความลับนี้ลงนรกไปด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ก้มมองเฉินจั่วจวินและเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าผ่าจนตายโดยไร้ร่างให้ฝัง ! ”
สุดท้ายแล้วเฉินจั่วจวินจึงยิ้มออกมา เพียงแต่ใบหน้านั้นขาวซีดจนเกินไป หยูเวิ่นชูยังคงจดจ้องอย่างตั้งตารอ ภายในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ท่านจำวันเกิดอี้ซีได้หรือไม่ ? ”
“…” หยูเวิ่นชูชะงักลงทันพลัน จำมิได้จริง ๆ มิใช่สิ ! ในเวลาเช่นนี้ยังจะเอ่ยไร้สาระอยู่อีกหรือ ?
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจำมิได้ วันเกิดของอี้ซีคือเดือนสิบสองวันที่สิบห้า ท่านจงจำไว้”
หยูเวิ่นชูพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ข้าจำได้แล้ว ของสิ่งนั้น ซ่อนอยู่ที่ใด ? ”
สายตาของเฉินจั่วจวินผละออกจากใบหน้าหยูเวิ่นชู นางมองไปที่ดวงดาราบนท้องนภาที่อยู่ด้านนอกศาลา
“คือวัดฟูจื่อ ! ”
“เจ้าว่าอันใดนะ ? ”
หยูเวิ่นชูรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก วัดฟูจื่อถือเป็นวัดของราชวงศ์ก่อน เขาไปเยือนตั้งหลายคราจนนับไม่ถ้วน
ทองคำและเงินมากมายถึงเพียงนั้น หรือว่าบนสันเขาของวัดฟูจื่อยังมีวิมานอยู่อีกกัน ?
“ที่สันเขาของวัดฟูจื่อมีต้นพุทราอยู่หนึ่งต้น ทางตะวันออกของต้นพุทราคือหน้าผา บนหน้าผามีประตูหินหนึ่งบาน กุญแจของประตูหินบานนั้น อยู่ที่อาวุโสใหญ่เช่อเหมิน…”
ทันใดนั้น ใบหลิวที่งอกใหม่ก็บินมาจากในป่าด้านนอกศาลา เพียงพริบตา ก็เสียบทะลุลำคอของเฉินจั่วจวิน
“คิด…”
นางสิ้นใจลงทันที หยูเวิ่นชูชักกระบี่แล้วหันหลังกลับไป สายลมยามค่ำคืนในป่าเขาพัดแผ่วเบา เสียงต้นไม้ดังกรอบแกรบ มองมิเห็นเงาผีแม้แต่ตนเดียว