ตอนที่ 567 อุบายเมืองร้าง
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสาม วันที่สิบเจ็ด ยามเหม่า
ฝนของฤดูใบไม้ผลิล้ำค่ามิได้ต่างจากน้ำมันเลยสักนิด แต่ก็ทำให้รำคาญด้วยเช่นกัน
ทัพของเซวี๋ยติ้งชานใช้เวลาเดินทางถึง 5 วัน ในที่สุดก็มาถึงด้านนอกของเมืองสงเฉิงเจี้ยนเหมิน
ร่างของเหล่าทหารเปียกโชกและสั่นเทา เขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
แต่ทว่าตอนนี้ มิใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องนั้น สถานการณ์ในตอนนี้เร่งด่วนยิ่ง หากมิรีบยึดเจี้ยนเหมิน จะกลายเป็นความลำบากหากรอให้ทัพของเฟ่ยอันมาถึง
ประตูเมืองเจี้ยนเหมินเปิดกว้างท่ามกลางสายฝน ทว่าบนกำแพงกลับไร้เงาของทหารคุ้มกันแม้แต่นายเดียว
เซวี๋ยติ้งชานคิ้วขมวดมุ่น เขาส่งทหารองครักษ์นายหนึ่งรุดหน้าไปตรวจสอบ
องครักษ์นายนั้นควบอาชาออกไป เข้าใกล้เจี้ยนเหมินมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากุมบังเหียนเอาไว้ มองไปยังหอคอยอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ต้องอ้าปากค้าง ราวกับได้พบเห็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
ภายในใจของเขาพลันเต้นระรัว ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นไปทั่วร่าง… มิใช่เพราะความหนาวเหน็บจากสายฝน แต่เป็นเพราะเสาธงสูงซึ่งปักอยู่บนประตูเมืองที่เปิดอยู่ต่างหาก
เขาฟาดแส้ไปที่ก้นของม้า ทะยานม้าศึกตรงไปเบื้องหน้า หยุดยืนอยู่ห่างจากประตูเมืองเพียง 100 ฉื่อเท่านั้น
ปากทางประตูเมืองที่เปิดอยู่มิมีผู้ใดคอยเฝ้า มิเห็นเงาของผู้คนบนหอคอย แต่แล้วสายตาของเขาก็ชำเลืองมองไปที่เสาธงนั้นอีกครา สิ่งที่แขวนอยู่บนเสาธงมิใช่ธง แต่ทว่าเป็นศีรษะของมนุษย์ !
ถึงแม้เส้นผมบนศีรษะของคนผู้นั้นจะกระจัดกระจาย แต่กลับสามารถมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน
ใบหน้านั้นถูกทาด้วยสีแดง เปียกโชกไปด้วยสายฝนฤดูใบไม้ผลิ หยาดฝนไหลอาบแก้ม ดังนั้นบนใบหน้าจึงเกิดเป็นเส้นรอยย่นสีแดงและขาว ช่างดูน่ากลัวยิ่ง
เมื่อยืนยันใบหน้านั้นได้แล้ว ในใจของเขาก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เขารีบหันหัวอาชาและทะยานไปยังกลางกองทัพทันที
“รายงานท่านแม่ทัพใหญ่ ฮูหยิน ฮูหยิน…”
เซวี๋ยติ้งชานขมวดคิ้วมุ่น “ฮูหยินอันใดกัน ? ”
“ท่านแม่ทัพ เชิญตามข้าน้อยไปด้านหน้าเถิด ข้าน้อยมิกล้ากล่าวพล่อย ๆ ”
เซวี๋ยติ้งชานใจหล่นวูบขึ้นมาทันพลัน และรู้สึกว่าเป็นไปมิได้อีกครา
ทัพของสีฮวาอยู่ด้านหลัง ตามเวลาคาดการณ์แล้ว เกรงว่าในยามนี้น่าจะเพิ่งมาถึงด่านชีผาน
ทัพของหยูชุนชิวอยู่ด้านหลังออกไปยิ่งกว่า มิมีทางที่จะไล่ตามสีฮวาได้ทัน เยี่ยงนั้นคำเอ่ยขององครักษ์ผู้นี้คือเรื่องใดกัน ?
เขาพาองครักษ์ 3,000 นายมาถึงด้านล่างของประตูเมือง
เงยหน้ามองขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย…
หัวใจของเขาเต้นช้าลงเรื่อย ๆ สองตาหดเกร็งจนเล็กลงกว่าเดิม
ทันใดนั้น เขาก็คำรามออกมา “ขึ้นไป ! ตัดเสาธงนั้นลงมาให้ข้า ข้าต้องการมองให้เต็มตา ! ”
องครักษ์ 3,000 นายปรี่เข้าไปยังประตูเมืองที่ว่างเปล่า เมื่อขึ้นไปบนหอคอย ก็ได้ตัดเสาธงลงมา หลังจากนั้นก็นำศีรษะที่ปักอยู่ส่งให้กับเซวี๋ยติ้งชาน
มือของเซวี๋ยติ้งชานสั่นเทาอย่างรุนแรง
เขาประคองศีรษะนั้นและจ้องมองอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นก็ยื่นมือออกไปทัดผมที่กระจัดกระจายไว้หลังใบหู ลูบใบหน้านั้นอีกครา จนลบสีแดงบนใบหน้าออกจนหมด ทันใดนั้นเขาก็กู่ร้องออกมาราวกับใจจะขาด “อ๊าก… ! ”
“ตีเมือง ! ทุกคนที่อยู่ในเมือง จงสังหารให้สิ้นซาก ! ”
ทัพใหญ่เคลื่อนพลอย่างอึกทึก เสียงกู่ร้องดังก้องสะเทือนนภา !
นี่คือเมืองร้าง ด้วยความสามารถของเซวี๋ยติ้งชานเดิมทีควรจะเกิดข้อสงสัยขึ้นมามากมาย แต่ทว่าในตอนนี้เขากลับไม่ตระหนักถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
นี่คือศีรษะของสีฮวาอย่างแท้จริง เจ้าชาติชั่ว พวกมันสังหารนาง ทั้งยังนำศีรษะของนางมาแขวนไว้บนประตูเมือง ให้ได้รับความหนาวเหน็บและทรมานจากฝนฤดูใบไม้ผลิ ข้าจะสับร่างของพวกเจ้าเป็นหมื่นชิ้น !
ดวงตาของเซวี๋ยติ้งชานแดงก่ำ เขาตัดชิ้นส่วนของเสื้อผ้าออกและห่อศีรษะของสีฮวาเอาไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มัดเอาไว้บนหลังของตน
“ยอดรัก ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าเอง ! ”
“สังหารทุกคนในเมืองเป็นเวลา 3 วัน อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ! ”
ท่าทางของเขาราวกับคนบ้า ส่งเสียงคำรามมิได้ต่างอันใดกับสัตว์ร้าย
เขาแกว่งดาบในมือไปมา และทะยานอาชาเข้าไปในเมืองเจี้ยนเหมิน
ยามนี้ ในเมืองมิมีผู้คนแม้แต่คนเดียว ไม่ ! ในเมืองนี้ยังเหลืออยู่อีก 1 คน นางคือซูซู นางกำลังอยู่ในหอสุราแห่งหนึ่ง นั่งดื่มสุราเพียงลำพัง และทานอาหารที่ทำขึ้นมาด้วยตนเอง
…..
…..
ยึดด่านชีผานสำเร็จลุล่วงแล้ว เผิงยวี๋เยี่ยนให้ทหารภูเขา 3,000 นายอยู่ที่ด่าน และให้ผู้สอดแนมควบม้าเร็วไปส่งข่าวให้แก่หยูชุนชิว
เดิมทีฮั่วหวยจิ่นคิดจะกลับจวนกษัตริย์แห่งเจิ้นซี ไปพาทหารในจวนมาทำศึกกับเซวี๋ยติ้งชานเพื่อแก้แค้นแทนบิดา แต่ด้วยคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนจึงทำให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ไป เซวี๋ยติ้งชานคงตกตายไปเสียก่อน เขามิจำเป็นต้องนำทหารมาสู้กับเซวี๋ยติ้งชานแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไปยังแม่น้ำไป๋สุ่ย ที่นั่นมีทัพใหญ่จำนวน 400,000 นายของเฟ่ยอันอยู่ เขาถือหนังสือลายมือของฟู่เสี่ยวกวน เพื่อไปพาทหารทัพใหญ่จำนวน 100,000 นายมาร่วมรบด้วยตนเอง
ฟู่เสี่ยวกวนพาสวี่ซินเหยียนและเผิงยวี๋เยี่ยนออกจากด่านชีผาน และตรงไปยังเจี้ยนเหมิน
“ด้วยความสามารถของเซวี๋ยติ้งชาน เขาย่อมมิเข้าไปในเมืองร้างอย่างง่ายดายเป็นแน่”
“ดังนั้นข้าจึงเตรียมการเอาไว้สองทาง ทางที่หนึ่งนำศีรษะของสีฮวาแขวนเอาไว้บนกำแพงเมืองเจี้ยนเหมิน เซวี๋ยติ้งชานที่สะเทือนจิตใจ เกรงว่าจะตรงเข้าไปข้างในพร้อมแรงอาฆาตจนมิมีเวลาทบทวนให้ดี
ทางที่สอง ให้ทัพของซูม่อไปขวางที่เส้นทางหวายอัน หากทัพของเซวี๋ยติ้งชานยังคงมีสติ เขาจะมิกล้าเข้าไปในเมืองร้าง แล้วตรงไปยังเส้นทางหวายอันแทน หากซูม่อสามารถตรึงทัพของเซวี๋ยติ้งชานเอาไว้ได้ ในยามที่ทัพของเฟ่ยอันไปถึง นั่นจะเป็นวันสุดท้ายของกบฏเซวี๋ย”
“กล่าวได้ว่า ต่อให้แม่ทัพใหญ่หยูรีบมา ก็มิได้ดื่มน้ำแกงแม้แต่อึกเดียวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ “เรื่องยุ่งยากเช่นการทำศึก ข้ากลับรู้สึกว่ามิพบเจอยังจะดีเสียกว่า”
ฝนตกโปรยปราย กระทบกับร่างของฟู่เสี่ยวกวน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรับอากาศสดใหม่ของป่าเขา และท่องบทกวีที่ค่อนข้างน่าสนใจขึ้นมา “ฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงอีกครา ฤดูใบไม้ผลิแตกกิ่งสาขา นกกาขับขาน หยาดฝนรินรดกิ่งดอกไม้สีแดง ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นใหม่ดอกไม้ภูเขาแลสวยสด”
“มีชีวิตอยู่ ย่อมดีกว่าทุกอย่าง ! ”
เผิงยวี๋เยี่ยนหันมาชำเลืองมองเขา “ท่านผู้มีพรสวรรค์ สิ่งนี้ได้กลั่นออกมาจากความรู้สึกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มีอยู่บ้างเล็กน้อย เดิมทีเมืองหลวงมีตระกูลที่มีอำนาจถึง 6 ตระกูล ปีที่แล้วเหลือมิถึง 2 ตระกูล ในตอนนี้… เกรงว่าจะตายไปมากแล้ว ! จะลำบากอยู่อีกทำไม ? จำเป็นด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนเงียบลงอีกครา เซวี๋ยติ้งชานก่อกบฏ ตระกูลเซวี๋ยย่อมประสบกับหายนะด้วยเช่นกัน
เดิมทีสีฮวาได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท แต่นางกลับเนรคุณความไว้วางใจนั้น เกรงว่าตระกูลสีก็ยากที่จะหนีจากหายนะได้เช่นกัน
ตระกูลผู้มีอำนาจทั้งหกแห่งเมืองหลวง เคยรุ่งเรืองและก้าวหน้า แต่พริบตาเดียว ก็เหลือเพียงตระกูลเยี่ยนและตระกูลฉินเท่านั้น เป็นเรื่องทางโลกที่ยากจะคาดเดา เป็นหมอกควันที่ผ่านตาไปอย่างแท้จริง
เผิงยวี๋เยี่ยนมิทราบว่าระหว่างฉินฮุ่ยจือและองค์ชายสี่ยังมีความลับใดซ่อนอยู่ หากจับองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูได้ แม้แต่ตระกูลฉินก็อาจจะถูกทำลายลงไปด้วยเช่นกัน
คงเหลือไว้เพียงตระกูลเยี่ยนเท่านั้น
ตระกูลฟู่บัดนี้ก็ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจ !
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิยอมรับว่าจวนฟู่ของตนเป็นตระกูลที่มีอำนาจ เพราะคำว่าตระกูลมีอำนาจนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยเป็นมงคลสักเท่าใดนัก
“ทันทีที่องค์ชายสี่หนีไป ก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะตามจับ ถึงเยี่ยงไรในวันนี้เขาก็เป็นเหมือนสุนัขที่ไร้เจ้าของแล้ว เจ้าดูสิ ! เป็นจิ่นชินอ๋องดี ๆ มิชอบ เหตุใดต้องสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมาด้วยกัน ! ”
“ข้าเกรงว่าเขาจะกลับไปยังซีหรง”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปหลายอึดใจ และมิได้ตอบอันใด
“หลังจากกวาดล้างกบฏเซวี๋ยแล้ว เจ้าจะกลับเมืองหลวงเลยหรือไม่ ? ” เผิงยวี๋เยี่ยนเอ่ยถามขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค
ฟู่เสี่ยวกวนกลับส่ายหน้า “ไหน ๆ ก็ได้ออกมาแล้ว จะตรงไปยิงลัทธิจันทราเสียหน่อย จะได้มิยุ่งยากในภายหลัง ! ”
สวี่ซินเหยียนชะงักลงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลง
เขาจะไปทำลายลัทธิจันทราแล้ว ข้าควรทำเยี่ยงไรดี ?