ตอนที่ 569 เพลงฉู่สี่ทิศ
ฝนในฤดูใบไม้ผลิหากได้ตกลงมาก็จะตกไปตลอดทั้งวัน
ทหารคุ้มกันบนหอคอยเมืองเจี้ยนเหมินได้คอยจดจ้องอยู่ตลอดเวลา มองค่ายทหารที่อยู่นอกเมืองมาเป็นเวลา 1 วันเต็ม
นอกเมืองไร้การเคลื่อนไหวใด ในยามราตรีก็จะเห็นควันพวยพุ่งออกจากนอกเมืองอีกครา
พวกเขากำลังทำอันใดอยู่กัน ?
หรือต้องการให้พวกข้าง่วงจนตาย ?
เซวี๋ยติ้งชานเดินขึ้นมาบนหอคอยท่ามกลางการอารักขาของเหล่าองครักษ์ เขายืนนิ่ง จ้องมองค่ายทหารที่อยู่ห่างออกไป 10 ลี้อย่างเงียบงัน มองอยู่อย่างนั้นถึงครึ่งชั่วยาม
ในยามที่ไฟบนหอคอยสว่างขึ้น ในยามที่กลิ่นอาหารอันหอมหวนลอยมาจากค่ายทหารที่อยู่ตรงกันข้ามนั้น ก็ได้มีข้าศึกที่เหมือนกับคนโง่ควบอาชามายังหอคอยเมือง แล้วตะโกนเสียงดังว่า “เหล่าสหายในเมืองทั้งหลาย ข้าได้กินข้าวเย็นแล้ว ส่วนพวกเจ้าได้กินแล้วหรือยัง ? แม่ทัพใหญ่เฟ่ยของพวกเรากล่าวเอาไว้ว่า ขอเพียงพวกเจ้ายอมสวามิภักดิ์ และจับกุมตัวกบฏเซวี๋ย เขาจะลืมความผิดฐานก่อกบฏของพวกเจ้าทั้งหมด ! พวกเจ้าจงคิดให้ดี !
ชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น อยู่ได้เพียงมิกี่ฤดูใบไม้ร่วง มิคุ้มอย่างยิ่งที่จะร่วมหัวขาดไปกับกบฏเซวี๋ย ! มันจะเป็นวันที่ดีขึ้นในอีกมิช้า พวกเจ้ามิคิดถึงเมียกับลูกที่บ้านเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเขายังรอให้พวกเจ้ากลับไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านอยู่นะ ! ”
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ? มิได้ยินก็รอข้าจะกลับมาอีก ข้าต้องกลับไปกินอาหารร้อน ๆ ก่อน ประเดี๋ยวพวกเราค่อยเจอกัน ! ”
ทันทีที่เซวี๋ยติ้งชานได้ยิน เขาก็ดึงเท้าที่เพิ่งจะก้าวหันหลังกลับคืนมา เขาคิดจะสังหารคนผู้นั้น แต่ทว่ามันได้วิ่งกลับไปแล้วจริง ๆ
สายตาของเขาสาดมองไปที่ใบหน้าของทหารป้องกันเมืองเหล่านั้น รู้ได้ว่าพวกเขาโดนวางยาให้คิดทรยศ
มิเช่นนั้น เหตุใดต้องจดจ้องแผ่นหลังของศัตรูอย่างอาวรณ์ด้วยเล่า ?
ทหารเหล่านั้นยังลอบกระซิบที่ข้างหูกันอีกด้วย
คาดมิถึงว่ายังมีทหารอีกสองสามนายที่อยู่ห่างออกไปหัวเราะขึ้นมา !
เสียงหัวเราะนี้ดังอยู่ในหู ช่างมิระรื่นหูเท่าใดนัก ข้าถูกกลั่นแกล้งถึงเพียงนี้ คาดมิถึงว่าพวกเจ้ายังจะหัวเราะกันได้ !
ย่อมมิมีเจตนาดี แต่ต้องระวังเอาไว้ ไปฟังเสียหน่อยว่าพวกเขาหัวเราะอันใดกัน ?
ดังนั้นเซวี๋ยติ้งชานจึงให้องครักษ์รั้งรออยู่ที่เดิม ส่วนตนได้บินไปถึงด้านหลังของทหารกลุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา
“เจ้ายังดี ลูกของข้าเพิ่งอายุ 2 ขวบ ถึงข้าตายก็มิเป็นไรหรอก แต่ภรรยาของข้าสวยถึงเพียงนั้น สายตาที่หัวหน้าหมู่บ้าน หวางหมาจึ มองภรรยาของข้ามิดียิ่ง หากรู้เร็วกว่านี้ ข้าคงตัดหัวหวางหมาจึไปแล้ว”
“ให้ตายเถอะ นอกจากจะกลายเป็นหนูเจาะกำแพงแล้ว จะบินก็บินมิได้ บุตรของเจ้าคงต้องเรียกหวางหมาจึนั่นว่าบิดาแล้ว พอเจ้าตายแล้วยังหวังว่าภรรยาจะครองตนเป็นม่ายเพื่อเจ้าไปตลอดชีวิตเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ฮ่า ๆ ๆ… ! ”
“ไสหัวไป ฮึ ! …ตอนนี้ ข้าพบว่าการมีชีวิตอยู่ช่างดีเสียจริง”
“ดีกับผีน่ะสิ ล้วนเป็นโชคชะตาทั้งสิ้น ผู้ใดจะไปรู้ว่าพวกเราจะเดินถลำลึกมาถึงจุดนี้ได้ ? ”
“มิรู้เหมือนกันว่าท่านแม่ทัพใหญ่คิดอันใดอยู่…”
เซวี๋ยติ้งชานชักกระบี่ขึ้นมาทันใด แสงกระบี่สว่างวาบ ศีรษะของทหารผู้นั้นกลิ้งลงไปกับพื้น ทหารที่เหลือล้วนตื่นตระหนก ชักดาบออกมาอย่างคุ้นชิน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา บัดซบ ! มิรู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่มาถึงตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
“พวกเจ้า… คิดจะทรยศข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ไม่… มิใช่ ! พวกข้ามิเคยคิดเยี่ยงนั้นมาก่อน”
“มิเคยคิดเยี่ยงนั้นมาก่อน ? แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงนินทาข้าลับหลัง ? ”
“…ข้า…”
“พวกเจ้า จงตายเสียเถอะ ! ”
ดวงตาของเซวี๋ยติ้งชานแดงก่ำ ใบหน้าโหดเหี้ยม กระบี่ถูกชักออกมา พลังของผู้มีฝีมือระดับปรมาจารย์พวยพุ่ง ศีรษะแล้วศีรษะเล่าปลิดปลิว มีตกบนกำแพงเมืองบ้าง ตกที่ด้านนอกเมืองบ้าง เลือดสาดกระเซ็นไปในอากาศ แทรกซึมผสมไปกับน้ำฝน จนมองมิเห็นว่าเป็นสีใดภายใต้แสงสลัว
“ผู้ใดกล้าหักหลังข้า นี่คือจุดจบของพวกเจ้า ! ”
เซวี๋ยติ้งชานเคลื่อนพลังไปที่จุดตันเถียน แล้วตะเบ็งเสียงดังลั่น จนองครักษ์ที่อยู่บนกำแพงเมืองล้วนหวาดผวา
พวกเขามองไปทางแม่ทัพใหญ่ ภายใต้ความมืดที่แสนเลือนลาง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าท่านแม่ทัพใหญ่ที่ตนเคยชื่นชมได้แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นคนไม่รู้จัก แปรเปลี่ยนไปเสียจนน่ากลัว ราวกับผีห่าซาตานโผล่ขึ้นมาจากขุมนรกก็มิปาน……
……
“เซวี๋ยติ้งชานใกล้จะบ้าแล้ว ! ” เฟ่ยอันและคนอื่น ๆ ย่อมได้ยินเสียงคำรามจากบนกำแพงเมืองฝั่งนั้น เขาพุ้ยข้าวอีกสองคำ แล้วกล่าวว่า “คนร้องและเพลงได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แต่น่าเสียดายที่มิมีกลองกับขลุ่ย แต่ข้าเจอระฆังสักใบ ประเดี๋ยวข้าจะเคาะระฆังแห่งความตายให้กับเซวี๋ยติ้งชานได้ฟัง ! ”
ซูเจวี๋ยพยักหน้า “เดิมทีศิษย์น้องเล็กกล่าวว่า เพียงให้กบฏเซวี๋ยจนมุม เขาก็จะเป็นบ้าได้ แต่กว่าเขาจะบ้าคลั่งจนถึงขีดสุดได้ ค่อนข้างใช้เวลานาน แต่หากร้องเพลงก็จะทำให้เขาเป็นบ้าได้เร็วมากยิ่งขึ้น”
ซูม่อเงยหน้ามองเฟ่ยอัน “ศิษย์น้องเล็กกล่าวว่า ต้องร้องเพลงสามถึงห้าวัน ถึงจะสามารถทำให้กบฏเซวี๋ยตายได้ นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? ”
เฟ่ยอันยิ้มน้อย ๆ
“เจ้าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้น่าทึ่งมากยิ่งนัก นี่คือการวางกลยุทธ์และการได้รับชัยชนะในระยะห่างพันลี้ !
พวกเรา 150,000 นายล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่กลับมิทำศึก และยังเพิ่มความกดดันให้กับพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นพวกเขาก็จะยิ่งคิดมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะคิดถึงบ้านเกิดและครอบครัว การร้องเพลงบ้านเกิดของพวกเขาคือการกระตุ้นให้พวกเขาคิดถึงบ้าน เมื่อคิดถึงบ้านมากขึ้น พวกเขาก็จะอยากมีชีวิตเพื่ออยู่ต่อไป
เพียงความคิดนั้นก่อตัวขึ้นมา ก็จะลุกลามอยู่ในกองทัพ และย่อมมีคนหาหนทางเอาชีวิตรอด นี่ย่อมมิใช่สิ่งที่เซวี๋ยติ้งชานหวังได้พบ เขาย่อมฆ่าคนเป็นแน่ !
ยิ่งเซวี๋ยติ้งชานสังหารผู้คนมากขึ้นเท่าใด ความขัดแย้งก็จะใหญ่ขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้านเซวี๋ยติ้งชานจะเห็นเงาธนูเป็นงู และรู้สึกว่าทหารทั้งหมดต้องทรยศเขาเป็นแน่ อีกด้านหนึ่งเหล่าทหารก็จะรู้สึกว่าเซวี๋ยติ้งชานกลายเป็นพญามารคร่าชีวิต บารมีของเขาที่อยู่ในใจของเหล่าทหารก็จะค่อย ๆ ลดหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชัง
เมื่อความขัดแย้งก่อตัวจนถึงจุดสูงสุด สุดท้ายก็จะระเบิดออกมา มิมีผู้ใดอยากตายด้วยดาบของแม่ทัพใหญ่ฝ่ายตนเป็นแน่ พวกเขาจะหักหลังเซวี๋ยติ้งชาน ภายในเมืองจะเกิดความโกลาหล…”
เฟ่ยอันชะงักไปชั่วครู่ “ฟู่เสี่ยวกวนใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของมนุษย์ กลยุทธ์นี้ถือว่ามาจากพู่กันของเทพเจ้าอย่างแท้จริง มิแปลกใจเลยที่เขากล้าให้เซวี๋ยติ้งชานยึดเมืองเจี้ยนเหมิน ในคราแรกข้ายังลังเลอยู่เนิ่นนาน แต่จากที่เห็นในวันนี้ เขาได้วางแผนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านแม่ทัพอยากทดสอบดูหรือไม่ ? ” ซูม่อรู้สึกว่ากลยุทธ์นี้น่าทึ่งมากยิ่งนัก การร้องเพลงสามารถสังหารทหารฝ่ายตรงข้ามได้ถึง 150,000 นายเชียวหรือ ? เขามิค่อยเชื่อเท่าใด แต่ก็รู้สึกว่าลองดูก็มิได้เสียหายอันใด
“แม่ทัพซู นี่มิใช่การทดสอบ แต่นี่คือกลยุทธ์ ! พวกเรามารอดูกันว่าต้องร้องเพลงกี่วันถึงจะทำให้เจ้าลูกเต่าเซวี๋ยติ้งชานตกตายได้”
“นำคนมา… ! ”
“พวกเจ้าจงไปร้องเพลงฉู่ ที่ประตูเมืองทางเหนือ ร้องให้ดัง ๆ ร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า ร้องออกมาด้วยความรู้สึก เอาให้สวรรค์ต้องร่ำไห้ไปเลย ไป ! ”
ดังนั้น จึงเกิดฉากแปลกประหลาดขึ้นที่นอกเมืองเจี้ยนเหมิน
ผู้คนหลายหมื่นคนมารวมตัวกันที่ประตูทางเหนือของเมืองเจี้ยนเหมิน พวกเขาร้องเพลงเสียงดัง และเพลงที่ร้องก็คือบทเพลงฉู่ตี้
ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยและกองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามของซูม่อยืนอยู่รอบกลุ่มคนพวกนั้น พวกเขามิได้ร้องเพลงแต่อย่างใด เพียงแค่คอยเฝ้าระวัง และคอยป้องกันลูกศรจากข้าศึก
เพลงนี้ลอยมาจากด้านนอกกำแพง ทหารคุ้มกันต่างก็รู้สึกประหลาดใจ… ศัตรูกำลังทำอันใดอยู่กัน ?
มารดามันเถอะ ! กินอิ่มแล้วยังดันทุรังมาทำตัววุ่นวาย !
มิอยากสนใจหรอก แต่กำลังเบื่อหน่าย พอฟังไปแล้ว เพลงนี้ก็มิเลวเสียทีเดียว
แม่ทัพใหญ่เซวี๋ยที่เพิ่งกลับมาจากหอคอยป้องกันเมืองก็ได้ยินเพลงนี้เช่นกัน คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันพลัน