ตอนที่ 594 ทหารเทพจากฟากฟ้า
ซูเจวี๋ยกำลังนำเชือกเส้นหนึ่งมัดไว้กับต้นไม้ รู้ดีว่ามิไกลจากตนมีหน่วยสอดแนมฝ่ายศัตรูอยู่นับสิบ
เขาผูกเชือกไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ดับไฟในบอลลูนไฟ แล้วจึงได้ตะโกนออกมาว่า “ได้แล้ว”
เขาขยับหมวกให้ตรง จากนั้นก็เดินยิ้มไปทางกลุ่มหน่วยสอดแนมทั้งสิบคนนั้น
“น้องชาย… ที่นี่ใช่ภูเขาเหวินหรือไม่ ? ”
พวกหน่วยสอดแนมชะงักลงทันใด ผ่านไปชั่วครู่จึงมีหนึ่งในพวกเขาตอบกลับมาอย่างระมัดระวัง “ถูกต้องแล้ว…มิทราบว่าท่านคือเซียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
บัดนี้กลับกลายเป็นซูเจวี๋ยเองที่ชะงักนิ่งค้าง เซียน ? ข้ามองดูเหมือนมีพลังของเซียนอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ?
“อืม…ข้าเพิ่งจะกลับจากการออกท่องโลก”
ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าลงทันที “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ขอท่านเซียนโปรดไว้ชีวิตด้วยขอรับ ! ”
คนที่เหลือต่างก็พากันมอง ฉิบหาย ! ท่านเซียนกลับมาแล้ว หากท่านเซียนฆ่าพวกเราจนสิ้น จะทำเยี่ยงไรดี ?
ดังนั้น พวกเขาจึงพากันคุกเข่าลงพื้นเสียงดัง ‘ตุ๊บ ! ’
ซูเจวี๋ยยิ่งงุนงงหนักกว่าเดิม มีคนเชื่อว่าเทพเซียนมีอยู่จริงด้วยหรือนี่ ?
จะทำเยี่ยงไรดีเล่าทีนี้ ?
จะฆ่าหรือ ก็มิอาจลงมือได้
หากมิสังหาร พวกเขาอาจจะนำเรื่องนี้ไปรายงาน เช่นนั้นคงวุ่นวายยิ่ง…
ในขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น กองกำลังดาบเทวะนายหนึ่งก็ได้ลอยตัวมาตามเชือกที่ผูกเอาไว้
หน่วยสอดแนมคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองแล้วจ้องตาเขม็ง “นั่น… นั่นมัน พวกเขา เหตุใดจึงบินได้ ? ”
ซูเจวี๋ยถอนหายใจออกมาแล้วชี้นิ้วไปแตะบริเวณจุดเลือดลม ทำให้ทหารผู้นั้นล้มลงกับพื้นทันที
คนอื่น ๆ ที่เหลือเมื่อเห็นดังนั้นต่างก็พากันตกอกตกใจเสียจนเหงื่อท่วม พวกเขากล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “พวกข้ามิรู้มิเห็นอันใดทั้งนั้นขอรับ ! ขอท่านเซียนโปรดไว้ชีวิตด้วย ! ”
“หึ…พวกเจ้ารู้มากเกินไปแล้ว ! ”
จากนั้นซูเจวี๋ยก็นำนิ้วกดเข้าที่จุดเลือดลมของแต่ละคน พวกเขาทั้งหลายจึงนอนกองระเนระนาดอยู่บนพื้น
“สังหารพวกเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ซูม่อมองคนทั้งสิบแล้วเอ่ยถามออกมา
“มิได้ฆ่าหรอก อีกประมาณ 1 ชั่วยามพวกเขาก็จะฟื้นขึ้นมาเอง”
“เหตุใดจึงมิให้พวกเขาตื่นในอีก 10 ชั่วยามข้างหน้ากัน ? ”
“…ข้าเกรงว่าพวกเขาจะหนาวตายเสียก่อน”
“อ่า…ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง”
เวลาผ่านไปราว 1 ก้านธูป กองกำลังดาบเทวะ 2,800 นายก็ได้พากันกระโดดข้ามซอกเขาร่วนหยุน แสงจากท้องนภาเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ กองทัพจึงหยุดพักผ่อนและพักกินข้าวเพื่อเก็บแรงไว้ หลังจากนั้นก็หายไปจากภูเขาแห่งนี้ แล้วมุ่งหน้าไปทางหุบเขาเหลิ่งเยียนอย่างเงียบ ๆ ซึ่งที่แห่งนั้นเป็นตำแหน่งค่ายหลักของศัตรู
กองทัพแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซูเจวี๋ยพาทหารจำนวนสามสิบกว่านายจัดการปลิดชีพพวกทหารยามที่ซ่อนตัวอยู่ตลอดทาง
ส่วนซูม่อได้พาทหาร 300 นายไล่ฆ่าทหารลาดตระเวน ส่วนคนอื่น ๆ ได้ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ แต่กลับหยุดฝีเท้าลงที่บริเวณไหล่เขา
มีกองทัพอีกกองหนึ่งจำนวนประมาณ 300 คน มองดูแล้วพบว่าเป็นศัตรูกำลังตรงเข้ามายังพวกเขา
“พวกเจ้าว่านี่คืออันใดกัน ? กว่าพวกเราจะออกจากภูเขาเหมิงซานมายังที่แห่งนี้ได้มิใช่เรื่องง่าย เดิมทีคิดว่าหากติดตามองค์ชายแล้วจะได้ดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญ เฮ้อ… เหตุใดถึงต้องมาติดอยู่ในหุบเขาเช่นนี้ อีกอย่างภูเขาเหมิงซานช่างรันทดเสียจริง แม้แต่อาหารก็ยังมิมีพอประทังชีวิต ข้ามิเข้าใจเอาเสียเลยว่าองค์ชายกำลังรอสิ่งใดอยู่กันแน่ ? ”
“ได้ยินว่ารอองค์ชายสี่”
“พวกเรารอมายี่สิบกว่าวันแล้ว เซวี๋ยติ้งชานก็ตกตายไปแล้ว จากที่ข้ามองดูนะ องค์ชายสี่ก็น่าจะตายไปแล้วเช่นกัน พวกเราจะรอโดยเสียเวลาเปล่าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าได้ยินมาว่ากองกำลังดาบเทวะเดินทางมาถึงแล้ว พวกเขาจัดการกับทหารของฮูหยินสีไปถึง 150,000 นาย ไอ้เซวี๋ยติ้งชานก็ติดกับ หนีเข้าไปในเมืองเจี้ยนเหมิน ซึ่งมันเป็นเมืองร้าง หึ ๆ ท้ายที่สุดก็ถูกทหารของเฟ่ยอันล้อมเอาไว้ราวกับซาลาเปา”
“ฮ่า ๆ ข้ายังได้ยินมาอีกว่าไอ้เฟ่ยอันจัดการกับทหารของเซวี๋ยติ้งชานอย่างชาญฉลาด แต่ละคืนเขาจะส่งคนไปร้องเพลงฉู่ที่หน้าประตูเมืองเจี้ยนเหมิน ได้ยินมาว่าร้องเพลงเพียงมิกี่วันก็ทำให้ทหารของเซวี๋ยติ้งชานจำนวน 150,000 นายใจอ่อน จบเห่เสียแล้ว ทหาร 50,000 นายลุกขึ้นต่อต้าน เปิดประตูเมืองให้ทหารดาบเทวะเข้าไป และจัดการปลิดชีพเซวี๋ยติ้งชานเสีย”
“หวางหมาจึ เจ้าคุยโวเกินไปแล้ว ! เพียงแค่ร้องเพลงจะสามารถทำให้ทหารใจอ่อนได้เยี่ยงไร ? ”
“เจ้าโง่ เจ้าคงมิเชื่อสินะ นี่คือหน่วยสอดแนมที่ถูกส่งไปตามหาตัวองค์ชายสี่มารายงาน จะเป็นเท็จได้เยี่ยงไร ? ”
“เยี่ยงไรเสีย ข้าก็มิเชื่ออยู่ดี กองกำลังดาบเทวะเก่งกาจถึงเพียงนั้น เพียงแค่บุกเข้าไปในเมืองเจี้ยนเหมินก็สามารถทำได้โดยง่าย จะทำเรื่องพรรคนั้นเพื่ออันใดกัน ? ”
“ในตอนนั้น พ่อเจ้าใช้ให้ไปร่ำเรียนตำรา แต่เจ้าก็มักจะหลบมาเล่นดีดลูกแก้ว หึ ! การบุกทำลายประตูเมืองง่ายดายเยี่ยงนั้นหรือ ? ต่อให้ทำได้จริงก็คงมีคนบาดเจ็บมิน้อย !
กองกำลังดาบเทวะแต่ละนายล้วนมีค่าราวกับสมบัติ พวกเขาเหมือนพวกเราที่ไหนกันล่ะ ? พวกเขาจะกล้าสละชีวิตของตนเองเยี่ยงนั้นหรือ ?
เวลาเพียงแค่มิกี่วัน เพลงฉู่สามารถทำลายทหารได้ถึง 150,000 นาย โดยที่ดาบมิเปื้อนเลือด เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ”
“เฮ้อ… อย่ามัวเสียเวลาเลย ออกล่าสัตว์กันเถอะ ข้าเกรงว่าหากล่าสัตว์มิได้ พวกเราคงจะอดตายกันในภูเขาแห่งนี้เป็นแน่”
“ฮ่า ๆ ๆ เช่นนั้นคงน่าขันนักเชียว กองทัพทหารกองแรกในใต้หล้าที่ต้องจบชีวิตลง มิใช่เพราะทำสงคราม แต่เป็นเพราะหิวตาย จอมยุทธ์ชุดดำเกรงว่าก็คง…”
ทหารผู้นั้นยังมิทันได้กล่าวจบ เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงพบว่ามีเท้าคู่หนึ่งปรากฏอยู่กลางอากาศ !
จังหวะที่เขาเงยหน้าขึ้นนั้น ก็ได้มีเเสงประกายจากดาบฟันลงมาเหนือศีรษะของเขา จากนั้นที่คอก็ได้มีโลหิตพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ
ทหารที่เหลือพากันตกตะลึง ดาบที่แขวนไว้ตรงเอวยังมิทันได้หยิบออกมา ก็ถูกคนจำนวนร้อยกว่าคนฆ่าตายเสียจนสิ้นซาก
ดาบอันเเหลมคมและเยือกเย็นแทงทะลุเข้าไปในร่างกาย ทำให้ขาดใจตายในทันที แม้กระทั่งช่วงลมหายใจสุดท้ายที่ต้องตาย พวกเขาก็มิรู้ว่าคนเหล่านี้โผล่มาได้เยี่ยงไร
การต่อสู้ครานี้ยังมิทันได้เริ่มต้นก็สิ้นสุดลงเสียแล้ว ทหารจำนวน 300 นายจบชีวิตลงอย่างง่ายดาย
“ท่านหัวหน้า พวกเขาเอ่ยชมพวกเราด้วย การกระทำเช่นนี้มิโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ ? ”
ซูม่อเบิกตากว้างจ้องไปยังทหารนายนั้น “เจ้าจงจำไว้ว่า ความเมตตาที่มีให้ศัตรู ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายตนเอง ! ”
ทหารผู้นั้นชะงักลงทันที เขามองไปยังซูม่อแล้วนึกขึ้นมาในใจว่า อาจารย์แปดเข้าใจถึงหลักการล้ำลึกถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
ซูม่อเบ้ปากแล้วกล่าวว่า “อาจารย์อาเล็กของพวกเจ้าเคยกล่าวเอาไว้ ! ”
เหล่าทหารเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาทันที อืม… ถูกต้องแล้ว ! วาจาที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้คงมีแต่อาจารย์อาเล็กเท่านั้นที่กล่าวออกมาได้
กองกำลังดาบเทวะก้าวเดินไปเบื้องหน้าเรื่อย ๆ ในระหว่างทางได้พบกับศัตรูอีกสองสามคน แน่นอนว่าพวกเขาจัดการสังหารได้โดยง่าย ในขณะที่ท้องนภาเริ่มมืดลง พวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงด้านบนของหุบเขาเหลิ่งเยียนเป็นที่เรียบร้อย
ซูม่อสังเกตอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงออกคำสั่งว่า
“กลุ่มที่หนึ่ง ไปยังปากทางเข้าหุบเขาเพื่อโจมตีจากด้านหน้า”
“กลุ่มที่สอง รับผิดชอบดูแลความปลอดภัย, กลุ่มที่สาม บุกเข้าไปในกระโจมแม่ทัพใหญ่ จับเป็นหยูเล่อเพื่อสิ้นสุดการต่อสู้ในครานี้ ! ”
“เมื่อกลุ่มที่หนึ่งเข้าประจำที่เรียบร้อยแล้วจงส่งสัญญาณออกมา ลงมือปฏิบัติได้ ! ”
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม เมื่อเสียงผิวปากดังขึ้นท่ามกลางหุบเขา กลุ่มที่สามก็มุ่งหน้าเข้าไปยังกระโจมแม่ทัพใหญ่ทันที กลุ่มที่สองตามติดเข้าไปด้านในกระโจม
การต่อสู้เกิดขึ้นในพริบตา ซูเจวี๋ยนำทหารกลุ่มที่สามยิงธนูอันแหลมคมออกไป เส้นทางที่ลูกธนูพุ่งผ่านทำให้ศัตรูเหล่านั้นจบชีวิตลงโดยที่ยังมิทันได้เหลียวหลังกลับมามอง
กลุ่มที่สองชักดาบออกมาฟาดฟันอย่างไร้ปรานี และไม่เหลือโอกาสให้แม้แต่น้อย ฝ่ายศัตรูยังมิทันได้ตั้งตัวและมิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ศัตรูบุก ! ”
“ตึง ๆ ๆ… ! ” เสียงกลองศึกดังขึ้นทันใด ทำให้วิหคพากันแตกตื่นจากนั้นก็บินขึ้นสู่ท้องนภา สร้างความตื่นตระหนกให้แก่หยูเล่อและขงริ่งหยูที่อยู่ในกระโจมยิ่ง
หยูเล่อลุกขึ้นทันใด พลางเอ่ยถามว่า “ศัตรูมาจากที่ใด ? ”
ทหารนายหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างตื่นกลัว “ทูลองค์ชาย กองกำลังดาบเทวะบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”