ตอนที่ 607 ดื่มกับข้าสองจอก
ณ วังเตี๋ยอี๋
โคมไฟสว่างโร่ขึ้นมา ดุจดวงดาราสว่างไสวนับมิถ้วน
บนโต๊ะมีอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จจัดวางไว้อย่างสวยงาม เมื่อฮ่องเต้ประทับลงตรงหัวโต๊ะ ตามมาด้วยฮองเฮาซั่งประทับทางฝั่งซ้ายของพระองค์ ด้านฟู่เสี่ยวกวนจึงเข้าไปนั่งทางขวามือของพระองค์
ฮูหยินทั้งสามเดินมานั่งข้าง ๆ สามี บนโต๊ะอาหารมื้อนี้จึงมีทั้งสิ้น 6 คน นั่งเบียดกันจนรู้สึกว่าบรรยากาศช่างน่าอึดอัดยิ่ง
เมื่อฝ่าบาทเห็นใบหน้าฟู่เสี่ยวกวนเช่นนั้นจึงส่งเสียงพระสรวลออกมา มิได้ตรัสถามเขาด้วยว่าไปดูคนที่คุกต้าหลี่เป็นเยี่ยงไรบ้าง แต่กลับตรัสว่า “นี่คือมื้ออาหารสำหรับครอบครัว มื้อนี้ข้าจัดขึ้นเพื่อเจ้า จำได้ว่าเจ้ามาที่เมืองหลวงตอนรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เดือนเก้า เพียงแค่พริบตาเดียว จากคุณชายเจ้าของที่ดินเล็ก ๆ ในหลินเจียงก็ได้ขึ้นเป็นถึงติ้งอันป๋อ”
“นี่คือความสามารถของเจ้าโดยแท้ ข้าชื่นชมและยินดีด้วย แต่ข้ายังเอ่ยคำเดิม หวังว่าเจ้าจะอยู่ที่ราชวงศ์หยู หวังว่าเจ้าจะหนุนหลังลูกหลาน หรือขึ้นเป็นยศกงเจวี๋ย เจ้าว่าดีหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสเกินไปแล้ว ตำแหน่งกงเจวี๋ยนั้นยังมิต้องเอ่ยถึง มาเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องเงินกันเถอะ ฝ่าบาทเตรียมให้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ ? ”
พอได้ยินดังนั้น รอยแย้มพระโอษฐ์ก็สลดลงแล้วทอดพระเนตรไปยังฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะเอ่ยถึงเรื่องเงินนั่น ข้าให้เจ้าได้เพียงแค่ 50 ล้านตำลึงเท่านั้น ส่วนที่เหลือเจ้าไปหาวิธีเอง มื้อนี้มิต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว มา มา มา เรามาดื่มสุราและกินอาหารกัน”
ใบหน้าของทุกคนและฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ตกลงกันไว้แล้วว่า 100 ล้านมิใช่หรือ ? ข้าไปทำสงครามกลับมาเหตุใดถึงเหลือเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเล่า ?
เงินไปไหนเสียหมด ?
มิได้การ ! พรุ่งนี้ต้องไปถามพ่อตาต่งให้รู้เรื่อง
ความโกรธของฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนไปลงที่อาหารแทน เขากินโดยมิสนใจผู้ใด “อาหารอร่อย ! รสชาติดี ! ฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นผู้ปรุงเป็นแน่ ! ”
ฮองเฮาซั่งหัวเราะเบา ๆ “เจ้าชมผิดคนแล้ว อาหารบนโต๊ะนี้ข้าได้เชิญพ่อครัวใหญ่จากหอซื่อฟางมาทำ ส่วนซุปถ้วยนี้ข้าเป็นคนทำด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจในสิ่งที่ตนกล่าวออกไปและยังคีบผักให้ฮูหยินทั้งสาม พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ที่หอซื่อฟางนั้นเอ่ยได้ว่าเป็นเสมือนห้องครัวหลังจวนของกระหม่อม อาหารที่ปรุงออกมานั้น กระหม่อมแค่ดมดูก็รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นลูกเขยผู้นี้คิดว่านี่เป็นความตั้งใจของฮองเฮาที่ทำเพื่อกระหม่อม”
“ยังมิเคยไปที่ห้องเครื่องเลย เจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไร ? ”
“อ่า…ฮ่า กระหม่อมเข้าใจว่าพวกเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ส่งคนไปเชิญ นอกจากนี้ยังทำให้บรรพบุรุษของพวกเขาภูมิใจที่ได้รับความเมตตาจากพระองค์ด้วย ทันใดนั้น พวกเขาก็เข้าใจวิธีการปรุงที่สามารถทำให้รสชาติของอาหารออกมาอร่อยได้ วันพรุ่งนี้กระหม่อมต้องไปลองชิมที่หอซื่อฟางอีกสักคราแล้ว”
ฮองเฮาซั่งหัวเราะขึ้นทันใด “ปากหวานนัก เจ้ากินให้มากกว่านี้เถอะ ไปทำสงครามมาตั้งสามเดือนตอนนี้เจ้าผอมเหมือนกับลิงก็มิปาน”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรฟู่เสี่ยวกวน เด็กคนนี้ช่างไร้ยางอายยิ่ง !
“มา…ดื่มกับข้าสองจอก”
หยูเวิ่นหวินและคนอื่น ๆ มองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน พลางครุ่นคิดในใจว่าสามีเอ่ยออกมาได้อย่างหน้ามิอาย
ฟู่เสี่ยวกวนทำโทษตนเองโดยการดื่มเข้าไปหนึ่งจอกแล้วหันไปเอ่ยกับต่งชูหลานว่า “เส้นทางการดื่มนี้ช่างยาวนานนัก ชูหลาน อย่าลืมเขียนจดหมายถึงหลู่หลิวฮุย ให้เขาไปที่ถนนเจี้ยนหนานซีหรือหรงโจวก็ดี แล้วสร้างโรงกลั่นสุราขึ้นมาที่นั่น”
“เหตุใดถึงไปสร้างในพื้นที่ห่างไกลเยี่ยงนั้นกัน ? ” ฮองเฮาซั่งเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
“ที่นั่นอุดมสมบูรณ์ยิ่ง เป็นแหล่งที่สามารถผลิตอาหารได้ดี สภาพอากาศเหมาะแก่การหมักสุรา อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เหมาะกับกองทัพ กระหม่อมขอเอ่ยโดยมิอ้อมค้อม…”
ฟู่เสี่ยวกวนวางจอกสุราลง “ตอนกระหม่อมอยู่ที่เมืองเจี้ยนเหมินนั้น กระหม่อมกับท่านแม่ทัพเฟ่ยได้ดื่มสุราขุ่นร่วมกัน สุรานั้นดื่มตอนสภาพอากาศหนาวเย็นช่างเหมาะยิ่ง แต่สุรานั้นขุ่นมากยิ่งนัก มิมีสุราชั้นดีเลย ดังนั้นถ้าสร้างโรงกลั่นที่นั่นและเอาวิธีการกลั่นจากซีซานไปรวมกับสภาพอากาศในท้องถิ่น ย่อมสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ และยังสามารถกลั่นสุราคุณภาพสูงที่หอมหวานยิ่งกว่าได้…”
เขามองไปที่ต่งชูหลานอีกคราแล้วเอ่ยว่า “เจ้าบอกหลู่หลิวฮุยว่าให้สุรานั้นชื่อ…ซื่อเหลียงเย่ ! ”
“ซื่อเหลียงเย่ ? ยังมิทันได้ผลิต เจ้าก็ตั้งชื่อให้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“ฮ่า ๆ กระหม่อมกลัวว่าจะมีผู้อื่นมาแย่งชื่อนี้ไปเสียก่อน”
ต่งชูหลานทำหน้าสงสัย แต่ก็ได้เขียนตามที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ย
ฮ่องเต้มิเข้าใจคำเอ่ยที่ว่ามาแย่งไปเสียก่อน แต่พระองค์ก็มิได้เอ่ยถามเรื่องนี้ กลับเอ่ยถามเรื่องถนนทั้งสองสายของเจี้ยนหนานแทน
“ตอนนี้ที่เมืองเจี้ยนหนาน แท้จริงแล้วถนนทั้งสองสายของเจี้ยนหนานมีผู้คนยากจนอยู่จำนวนมาก เช่นเขตหยุนไหลและเขตเวิ่นสุ่ย ข้าคิดว่ามณฑลนำร่องปีนี้ควรมีเขตหยุนไหลและเขตเวิ่นสุ่ยเข้าร่วมด้วย แต่ในมือของข้านั้นยังมิมีผู้ใดเหมาะสมเพื่อไปเป็นนายอำเภอของทั้งสองเขตนั้น คงต้องรอให้ผ่านการทดสอบครานี้ไปเสียก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงเอกสารประเมินที่ได้เห็นในวันนี้ เขามิได้สังเกตเขตเวิ่นสุ่ย แต่เขตหยุนไหลมิใช่นายอำเภอจัวหลิวหวินหรอกหรือ ?
“หรือว่าพระองค์อยากเปลี่ยนนายอำเภอใหม่ ? ”
“นายอำเภอที่เขตเวิ่นสุ่ยนั้นอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ร่างกายมิค่อยแข็งแรง เขาได้ยื่นใบลาออกต่อเม่าโจวและจือโจวลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้ หยุนไหลนั้น ข้าจำได้ว่าจัวหลิวหวินได้เป็นนายอำเภอตอนรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด แต่การประเมินผลการทำงานของเขาก็มิดีมากว่าหนึ่งปีแล้ว และยังมิเห็นเขามีผลงานที่โดดเด่น คนเช่นนี้หรือจะมาเป็นผู้ปกครอง ข้ามิเก็บเอาไว้หรอก”
สำหรับเรื่องนี้ ฟู่เสี่ยวกวนมิมีความคิดเห็นอันใด เพราะเขามิได้รู้เกี่ยวกับเขตหยุนไหลและยังมิรู้จักจัวหลิวหวินดีพอ แต่เนื่องจากผลประเมินของเขาออกมาเช่นนี้ คนผู้นั้นคงมิได้ใส่ใจกับงานอย่างแท้จริง
ขณะที่พวกเขากล่าวถึงเรื่องของจัวหลิวหวินอย่างไม่ใส่ใจ แต่ที่สำนักงานเขตหยุนไหลนั้นกำลังยุ่งกันอยู่
ตะเกียงน้ำมันยังคงส่องสว่างอยู่
รอบโต๊ะมีคนล้อมรอบอยู่ 8 คน ต่างคนต่างความคิด
บนโต๊ะมีแผนที่ของเขตหยุนไหลวางเอาไว้อยู่และมีกระดาษอีกหลายแผ่นวางเอาไว้สเปะสะปะ
มีอาจารย์คนหนึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการดีดลูกคิด ข้อมูลที่อยู่บนกระดาษถูกจำแนกออกเป็นฝักฝ่าย
หลังจากนั้นอีก 1 ชั่วยาม เขาก็ได้เขียนตัวเลขตัวสุดท้ายเสร็จจากนั้นก็ส่งข้อสรุปในมือให้กับจัวหลิวหวิน
“นายท่าน มีพื้นที่ในเขตหยุนไหลอยู่ 16 เขต มีพื้นที่ที่ยังมิได้เพาะปลูกอยู่ 8,200,000 หมู่ขอรับ”
จัวหลิวหวินสูดลมหายใจเข้าด้วยอารามตกตะลึง เขาหยิบกระดาษขึ้นมาดูอย่างระมัดระวังภายใต้แสงสลัว จากนั้นก็วางกระดาษลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วกระแทกกำปั้นลงบนกระดาษเสียงดัง
“เขตหยุนไหลมีประชากรทั้งสิ้ 78,000 ครัวเรือน ทั้งหมด 386,422 คน ในหมู่พวกเขานั้นมีผู้เยาว์วัยอยู่เพียงแค่ 100,000 คนเท่านั้น”
“พรุ่งนี้เชิญเจ้าหน้าที่ทั้งหมดมายังที่ว่าการ ข้ามิสนว่าที่ดินนั้นจะเคยเป็นของผู้ใดมาก่อน บัดนี้จะถูกเรียกคืนเป็นของราชการทั้งหมด”
“ข้าจะเผชิญกับตาแก่พวกนี้ด้วยตนเอง พวกเจ้าไปนับดูว่ามีผู้ใดยอมย้ายมาเขตหยุนไหลบ้าง วันที่หนึ่งเดือนห้า ถ้าทำตามแผนการของข้า ข้าจะแบ่งที่ดิน 8,200,000 หมู่นี้ให้เท่า ๆ กัน ! ”
ผู้ช่วยนายอำเภอมองจัวหลิวหวิน “นายท่าน เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ต้องรายงานต่อกรมอย่างเป็นทางการและยื่นขออนุมัติจากฮ่องเต้ด้วยนะขอรับ”
“…” จัวหลิวหวินเงียบไปครู่หนึ่ง “ทำก่อนแล้วค่อยรายงาน ! เรื่องนี้ใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือน หากรอจนกว่าจะได้รับคำตอบ คาดว่าฤดูใบไม้ผลิคงจะมิได้ผลผลิตเสียแล้ว