ตอนที่ 610 แทรกแถว
จงสือจี้กับเฮ้อซานเตาเดินตามหลังฟู่เสี่ยวกวน
เมื่อฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องกันอย่างกึกก้อง ดวงตาของทั้งสองจึงแน่นิ่งไปชั่วครู่ พวกเขาต่างมองตากันด้วยความสยดสยอง
นายท่านผู้นี้…มีความนิยมและมีหน้ามีตาในจินหลิงมากยิ่งนัก !
ด้วยการทักทายของฟู่เสี่ยวกวนทำให้ฝูงชนตื่นตระหนก สีหน้าของบุรุษและสตรีจนถึงคนแก่ตื่นเต้นกับการมาของเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างก็โบกมือทักทายและมีเสียงคำรามออกมา มีเสียงของสตรีหลายคนที่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง และทุกคนได้เรียกชื่อของฟู่เสี่ยวกวนเสียงดังสนั่น
…นี่ เฮ้อซานเตาและจงสือจี้เคยเห็นฉากแบบนี้บ่อยแล้ว
พอเห็นเช่นนี้ ความคิดแรกที่เข้ามาในความทรงจำของเฮ้อซานเตาก็คือการเปิดตัวคราแรกของสตรีผู้หนึ่งที่หอชุ่ยหง ฝูงชนต่างตะโกนเรียกชื่อของนางอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนราวกับหมาป่าหิวโหยมาสามวันสามคืน บางคนพยายามจะขึ้นไปบนเวทีเพื่อดึงกระชากนางลงมา
เหตุการณ์ในครานั้นดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในวันนี้ของฟู่เสี่ยวกวน เสียงของผู้คนในที่นี้เหมือนกับคลื่นลูกยักษ์ ราวกับว่ามันสามารถกวาดความกดดันของเมฆหมอกออกไปหลายพันลี้ได้ เหมือนกับเสียงม้านับพันที่ควบอยู่ ณ เวลานี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่จากจวนผู้ว่าเหล่านั้นไปบังเอาไว้ เฮ้อซานเตากังวลว่าพวกเขาคงจะเข้ามาถึงตัวของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว
เกรงว่าเขาจะโดนสตรีบ้าเหล่านั้นฉุดกระชาก
ช่างน่ากลัวเสียจริง !
มันช่างน่าหวาดกลัวมากยิ่งนัก !
ซือหม่าเช่อและคนอื่น ๆ ก็ตกใจเช่นกัน พวกนางมิเคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน คิดว่าเพราะชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวน ผู้คนจึงอยากมาฟังการบรรยายของเขาย่อมมิใช่เรื่องแปลก แต่มิคิดเลยว่าความคลั่งไคล้จะเป็นได้ถึงเพียงนี้
ความคลั่งไคล้เช่นนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซือหม่าเช่อจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนตาไม่กะพริบ ใบหน้าของนางค่อย ๆ ขึ้นสีแดงเรื่อ เสียงหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ ทันใดนั้นนางก็ตะโกนออกมา
“ฟู่เสี่ยวกวน ข้ารักท่าน ! ”
พอหวางซุนอู๋หยาได้ยินดังนั้น ก็ได้บังเกิดความคิดว่าทุกคนบ้าไปแล้ว
พอพวกของหลู่ซีฮุ่นได้ยิน ก็ตกตะลึงงันทันที
พวกเขามิคาดคิดว่าเสียงของซือหม่าเช่อจะทำให้ผู้คนที่นี่ตะโกนออกมาเช่นกันว่า
“ฟู่เสี่ยวกวน ข้ารักท่าน… ! ”
เสียงตะโกนสั่นสะเทือนไปทั่วท้องนภาของเมืองจินหลิง เสียงนั้นดังขึ้นมาเรื่อย ๆ
หนิงหยู่ชุนเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว !
เขาลากฟู่เสี่ยวกวนออกไปทันที แล้วตะโกนบอกจินเชียนฮู่ว่า “ระวัง กั้นพวกเขาเอาไว้ ! ”
ฝูงชนหลุดออกจากการควบคุม พวกเขาพุ่งออกมาจากที่กั้น จากนั้นก็มุ่งตรงไปที่ตัวของฟู่เสี่ยวกวน
“แย่แล้ว… ! ” เฮ้อซานเตาตื่นตกใจขึ้นมาที่มิสามารถควบคุมผู้คนเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงดึงจงสือจี้วิ่งไปทางที่ฟู่เสี่ยวกวนออกไป
……
……
จินเชียนฮู่ดึงดาบออกจากฝัก
จิงหยูเว่ย 3,000 นายคุ้มกันจนถึงหน้าประตูสำนักศึกษาจี้เซี่ย
พวกเขารีบปิดกั้นประตูสำนักศึกษาทันที แต่ไม่กล้าชักดาบ
ความปั่นป่วนยังคงดำเนินต่อไปนานถึง 1 ก้านธูป เห็นเงาของฟู่เสี่ยวกวนหายเข้าไปที่ถนนชูเซียง ผู้คนถึงได้สงบลง พวกเขาต่างพากันโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นและได้ต่อแถวยาว รอคอยที่จะเข้าไปฟังติ้งอันป๋อบรรยายในหนึ่งคาบ
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงสำนักศึกษา ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก อยู่ ๆ หนิงหยู่ชุนก็หัวเราะออกมา “เจ้าดูความวุ่นวายนี่สิ ถ้าคราหน้าจะมีการบรรยายอีก ต้องรายงานความพร้อมที่จวนจินหลิงเสียก่อน จากนั้นค่อยดำเนินการต่ออย่างเงียบ ๆ มิเช่นนั้น ข้ากังวลว่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บอีก”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้ามิคิดว่าจะมีผู้คนมามากมายถึงเพียงนี้นี่”
“ที่เจ้าเห็นยังน้อยไป ! ก่อนหน้านี้ข้าขับไล่ไปบ้างแล้วบางส่วน มิเช่นนั้นเมื่อครู่คงได้เกิดเหตุร้ายขึ้นมาจริง ๆ ! ”
ซ่างกวนเหวินซิ่วหลี่ชุนเฟิงรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก “ติ้งอันป๋อ ท่านปลอดภัยดีหรือไม่….วันนี้คงแดดออก ! ”
“…ท่านคณบดีหลี่เอ่ยได้ดี”
“หึหึ เชิญติ้งอันป๋อที่ห้องบรรยายด้านหลังเถอะ”
หลังจากนั่งมานานกว่าครึ่งชั่วยาม หนิงหยู่ชุนก็ได้เดินไปที่ประตูสำนักศึกษาอีกครา แล้วนับคนให้เข้าไปทีละคน
ตอนนี้ภายในสำนักศึกษามีคนอยู่แล้ว 200 คน มีสมาชิกจากกรมการค้าอีก 30 คน ขุนนางจากในวังอีก 20 คน นี่ก็ปาไปแล้ว 250 คน มากสุดคงให้เข้าไปได้อีกแค่ 750 คนเท่านั้น
แต่ด้านนอกเหลือคนมากถึง 10,000 คน หนิงหยู่ชุนจะต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน คนอื่นที่ไม่สามารถเข้าไปได้ เกรงว่าจะสร้างปัญหาอีก ดังนั้นควรระวังยิ่ง
ผู้ที่ได้เข้าไปนั้นมีความสุขมากยิ่งนัก ส่วนคนที่ยืนต่อแถวอยู่ด้านนอกรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
ซือหม่าเช่อมองไปข้างหน้า… มีคนอย่างน้อย 300 คน กว่าจะถึงตานาง เกรงว่าคงจะพลาดโอกาสนี้ไปเสียแล้ว
ขณะที่นางเพ่งสายตามอง นางก็ได้กระซิบข้างหูของเสี่ยวซิงเอ๋อร์ “นี่… ได้เยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
“ลองไปทำดู ! ”
เสี่ยวซิงเอ๋อร์ออกจากแถว เดินไปข้างหน้าแล้วกระซิบทีละคนที่ข้างหู จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วส่งเงินให้ทีละ 1 ตำลึง
ด้วยวิธีการนี้ นางจึงกลับมาหาซือหม่าเช่อแล้วพาตัวซือหม่าเช่อแทรกแถวไปด้านหน้า ตอนนี้ด้านหน้าเหลือเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้นก็จะมาถึงตัวนางแล้ว ตำแหน่งที่นางอยู่มั่นคงแล้ว ดังนั้นนางจึงถอนหายใจยาวออกมา
พวกหวางซุนอู๋หยามองดูนาง ทำเยี่ยงนี้ก็ได้ด้วยหรือ ?
ดังนั้นเขาจึงเดินขึ้นไป “พี่ชายท่านนี้ เงิน 1 ตำลึงเพื่อซื้อตำแหน่งแถว”
“ไม่ ! ต้อง 2 ตำลึง”
“…ก่อนหน้านี้ เจ้ามิใช่ว่าขาย 1 ตำลึงหรอกหรือ ? ”
“ตอนนี้ราคาขึ้นแล้ว ! ”
“…ได้ ! 2 ตำลึงก็ 2 ตำลึง”
หวางซุนอู๋หยาซื้อมาจนถึง 100 คน คนด้านหน้าขึ้นราคาอีกแล้ว “5 ตำลึง มิเช่นนั้นเจ้าอยู่ด้านหลังข้า”
“ข้าซื้อได้…5 ตำลึงก็ 5 ตำลึง ! ”หวางซุนอู๋หยาจำใจซื้อไปจนถึง 100 คน เขาหันไปมอง ยังห่างจากซือหม่าเช่ออีก 100 คน ดังนั้นตนจึงจำใจซื้อต่อไป !
“ขออภัยด้วย ตำแหน่งนี้ต้อง 10 ตำลึง”
เขาต้องทนซื้อต่อไป และต่อไป !
เขาใช้เงินไปทั้งหมด 1,000 ตำลึงกว่าจะได้มายืนอยู่ด้านหลังของซือหม่าเช่อ ดังนั้นเขาจึงยิ้มกว้างออกมาทันที ตอนนี้ข้าก็ได้ตำแหน่งที่มั่นคงแล้ว
ในเวลานั้น หลี่ชุนเฟิงก็ได้วิ่งออกมา
เขายืนอยู่หน้าฝูงชน ถือกระดาษเอาไว้ในมือ เอ่ยเสียงดังว่า “ตามคำเชิญของติ้งอันป๋อ บุคคลต่อไปนี้จะได้รับเชิญโดยตรงให้เข้ารับฟัง… ! ”
ทันใดนั้นหูของทุกคนก็ขยายใหญ่ขึ้น ผู้ที่ติ้งอันป๋อเชิญต้องเป็นผู้นำการค้าอย่างแน่นอน ความโชคดีจะตกอยู่กับผู้ใดกัน ?
“สองตระกูลแห่งหลินจื๋อ ตระกูลโจ่งและตระกูลหยู มีส่วนร่วมในการทำสงครามทางตะวันตกเฉียงใต้ เชิญทั้งสองตระกูลแสดงตัวออกมา ! ”
โจ่งจี้ถังและหยูซิ๋งเจี่ยน รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ตนจะได้เข้าไป พวกเขาเดินเข้าไปหาหลี่ชุนเฟิงทันที โค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพและรายงานชื่อของตน
“เชิญตระกูลซือหม่า หวางซุน และซางเชียงหลู่ซื่อ แสดงตัวออกมา ! ”
พอหลี่ชุนเฟิงเอ่ยจบก็ทำให้หวางซุนอู๋หยารู้สึกโกรธขึ้นมาทันใด เจ้านั่งดื่มชาเป็นครึ่งชั่วยาม แต่ข้านั้นใช้เวลาในการซื้อตำแหน่งในแถวอยู่นานสองนาน อีกทั้งยังเสียเงินไปตั้ง 1,000 ตำลึง !
“พี่ชายท่านนี้ เงินนี้สามารถคืนข้าได้หรือไม่ ? ข้าคือคนของตระกูลหวางซุน”
“พี่ชายท่านนี้ เจ้ายังมิตื่นอีกหรือ ? การค้าขายนั้นมิใช่เยี่ยงที่เจ้ากำลังทำอยู่ หากซื้อไปแล้วมิรับคืนเจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ”
“…”
ซือหม่าเช่อเดินออกมา โชคดีที่ได้พบกับท่านลุงสองของนาง ซือหม่าอันและลูกพี่ลูกน้อง ซือหม่าจือ
“เจ้ามาที่จินหลิงจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? นี่…เฮ้อ ! ปู่ของเจ้าเป็นห่วงเจ้ามากยิ่งนัก ดีแล้วที่มิเป็นอันใด”
“หลานแค่รู้สึกว่าจินหลิงเป็นเมืองที่สวยงามและยังมิเคยมาเยือนเลยสักครา จึงลองมาที่นี่ดูเจ้าค่ะ”
“ช่างเถอะ ! ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็เข้าไปฟังการบรรยายของติ้งอันป๋อเถอะ”