ตอนที่ 611 การแบกรับ บทเรียนแรก
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบสาม เดือนสี่ ติ้งอันป๋อได้บรรยายเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจในห้องบรรยาย ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ย
บทเรียนนี้เรียกได้ว่าเป็นบทเรียนแรกในประวัติศาสตร์ !
ผลกระทบที่ลึกซึ้งของบทเรียนนี้ยากจะคาดเดา บทเรียนนี้พลิกความเข้าใจของทุกคนเกี่ยวกับการค้าขายโดยสิ้นเชิง สร้างสถานการณ์ใหม่ให้กับการค้าของราชวงศ์หยู ส่งผลกระทบต่อแคว้นอู๋และแคว้นฝานอย่างรวดเร็วจนทั่วหล้าตื่นตะลึง
ติ้งอันป๋อผู้ยิ่งใหญ่ได้รับการขนานนามว่า เป็นอัจฉริยะด้านการค้าของใต้หล้า !
……
ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ว่าการตัดสินใจทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น จะทำให้ใต้หล้านี้เกิดพายุใหญ่ขึ้นมา
เขายืนอยู่บนแท่นในห้องบรรยาย มองไปทางฝูงชนด้านล่างแล้วเอ่ยว่า
“ทุกท่านในที่นี่ล้วนเป็นผู้นำด้านการค้า บัณฑิตจากสำนักศึกษาการค้า และมิตรสหายจากกรมการค้า บทเรียนในวันนี้จะบอกเล่าทุกท่านเกี่ยวกับคำศัพท์พื้นฐานบางประการเกี่ยวกับการค้า”
พอได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าว ทั่วทั้งห้องบรรยายก็เงียบลงทันพลัน
เฮ้อซานเตาและจงสือจี้นั่งอยู่กลางห้องบรรยายขนาดใหญ่ ในขณะนี้ทั้งสองกำลังฟังการบรรยายของฟู่เสี่ยวกวน ด้วยอารามตื่นเต้น ดวงตาเปิดกว้างและหูทั้งสองข้างกำลังตั้งใจฟังการบรรยาย
เฮ้อซานเตามีความรู้สึกแปลก ๆ ว่าเหตุใดตอนที่ผู้อาวุโสได้เชิญอาจารย์มาสอน พอได้ฟังแล้วจึงรู้สึกง่วงมากยิ่งนัก ?
แต่ตอนนี้ เขากลับมิรู้สึกถึงความง่วงเลยสักนิด มีเพียงแต่ความตื่นเต้นและความคาดหวังที่ไม่สิ้นสุด
หากก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจเรียน ข้าอาจจะสอบได้ใช่หรือไม่ ?
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็หันไปเขียนตัวอักษรตัวใหญ่สองตัวบนกระดานขาวว่า หุ้น !
“เริ่มเอ่ยเรื่องหุ้นก่อน”
“ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ คงรู้แล้วว่าข้าได้ออกหุ้นในธนาคารซื่อทง และระดมทุนได้ 8 ล้านตำลึง”
“หากถามว่าหุ้นคืออันใด ? ข้าจะยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายให้ฟัง เพื่อที่ทุกท่านในที่นี้จะได้เข้าใจมัน ข้าเชื่อว่าหลังจากได้ฟังแล้วพวกเจ้าจะเข้าใจได้ในทันที”
“ที่ผิงหลิงนั้นมีคนชื่อโจวเถียเจี้ยง เป็นช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดในรัศมีร้อยลี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการหลอมเหล็กของเขา เขาตีเหล็กออกมาเป็นมีดทำครัวและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ราษฎรของเขตผิงหลิง การสับกระดูกและหั่นผักนั้นง่ายต่อการใช้งานมากยิ่งนัก”
“โจวเถียเจี้ยงตกหลุมรักลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมในเมืองผิงหลิงนามว่า จางเสี่ยวฮวา แต่ท่านแม่ของจางเสี่ยวฮวาเป็นคนหัวสูง ดูถูกที่โจวเถียเจี้ยงที่เป็นเพียงคนตีมีดทำครัว ทำออกมาขายก็ขายได้เพียงมิกี่ตำลึง”
ทว่าโจวเถียเจี้ยงผู้นั้นก็ตกหลุมรักจางเสี่ยวฮวาจนมิอาจถอนตัวขึ้นมาได้ เขาคิดทั้งวันทั้งคืนว่าอยากแต่งนางเข้าบ้าน ทันใดนั้น ในคืนหนึ่ง ตอนที่เขานอนไม่หลับ เหมือนเขาจะคิดอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ ถ้าสามารถจ้างคนได้มากกว่านี้และสามารถซื้อแท่งเหล็กเพิ่มได้ก็จะสามารถตีมีดทำครัวเพิ่มได้อีกมิใช่หรือ ? หรือจะสร้างเครื่องจักรทำมีดขึ้นมาดี ถึงเยี่ยงไรมันก็เร็วกว่าการใช้ค้อนขนาดใหญ่มิใช่หรือ ! ในเขตผิงหลิงนั้นมีประชากรอยู่มากมาย ตราบใดที่มีดทำครัวเล่มนี้ทำออกมาได้ ก็มิต้องกังวลเรื่องยอดขายอีก ! ”
ที่แท้ก็กำลังเล่านิทานอยู่นี่เอง !
เฮ้อซานเตารู้สึกว่านิทานเรื่องนี้น่าสนใจยิ่ง ฟังแล้วให้ข้อคิดได้มากเสียทีเดียว
ซือหม่าเช่อดูมีความสุขและเฝ้ารอคอยว่าในนิทานเรื่องนี้โจวเถียเจี้ยงจะได้แต่งงานกับแม่นางจางเสี่ยวฮวาหรือไม่
“ตอนนี้ความคิดกำลังแล่นเข้ามา ในตลาดมีผู้ที่มีแนวโน้ม…ต้องการซื้อมีดทำครัว อาชีพนี้มีข้อได้เปรียบ…โจวเถียเจี้ยงเป็นช่างตีเหล็กฝีมือดีในเขตผิงหลิง แต่โจวเถียเจี้ยงมิมีเงินทุน ดังนั้นเขาควรจะทำเยี่ยงไรดี ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดไปชั่วครู่ ซือหม่าเช่อตื่นตกใจ เขาจะทำเยี่ยงไรหรือ ?
หลายคนที่นั่งอยู่ คิดตามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เล่านิทานออกมา ถ้าข้าเป็นโจวเถียเจี้ยง… ข้าควรทำเยี่ยงไรดี ?
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า
“โจวเถียเจี้ยงนอนมิหลับ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พลันนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้… ที่เขตผิงหลิงมีอันธพาลที่ฉลาดอยู่ ชื่อว่าหลี่ซาน พอถึงรุ่งเช้าเขาก็ได้ไปหาหลี่ซาน ทั้งสองดื่มสุราด้วยกันสองจอก จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับหลี่ซานฟัง หลี่ซานหันไปมองดูรอบ ๆ จากนั้นก็ได้ให้ความคิดเห็นกับเขาไป”
คิดเห็นว่าเยี่ยงไรหรือ ?
ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อและทันใดนั้นเฮ้อซานเตาก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นความคิดที่มิดีเป็นแน่ เช่นไปแย่งหรือขโมย นี่อาจจะเป็นวิธีดีที่สุดสำหรับเขา
“หลี่ซานเอ่ยอันใดน่ะหรือ ? เขาเอ่ยว่า… เจ้าให้มูลค่าโรงตีเหล็กนั้นตามราคาของมีดทำครัว 1,000 เล่มต่อปี ออกตั๋วสำหรับมีดทำครัว ผู้ใดที่ซื้อตั๋วของเจ้า คนผู้นั้นถือเป็นหุ้นส่วนของเจ้า ใช้เงินของพวกเขาจ้างคนและซื้อวัตถุดิบ”
“พอโจวเถียเจี้ยงได้ยินดังนั้น เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเหมือนขอยืมไก่ไปวางไข่เลยนี่ เป็นความคิดที่ดียิ่ง แต่ปัญหาก็คือเขาเป็นเพียงแค่ช่างตีเหล็กธรรมดาเท่านั้น ผู้ใดจะเชื่อในสิ่งที่ข้าเอ่ยและซื้อตั๋วโดยที่ยังมิได้รับมีดทำครัวกัน ? ”
“หลี่ซานคิดออกอีกหนึ่งวิธี หากเจ้าเอ่ยคงมิน่าเชื่อถือแต่เขตผิงหลิงนั้นมีผู้เฒ่าเฉียนที่มีเกียรติอยู่ วาจาของเขาน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ให้เขาเป็นพยานให้กับเจ้า ถึงจะมีผู้คนมาซื้อตั๋วมีดทำครัวของเจ้า”
ดังนั้นทั้งสองจึงไปหาผู้เฒ่าเฉียนด้วยกัน เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง ผู้เฒ่าบอกว่าเป็นไปได้ เขาจะเรียกคนทั้งหมดมาดูการแสดงคราใหญ่ บนเวทีจะเปิดเรื่องราวของการซื้อตั๋วมีดทำครัวให้ชาวบ้านและพ่อค้า มีการประชุมเพื่อตกลงกันว่าทุกสิ้นปี ทุกคนจะได้เงินปันผลตามจำนวนเงินที่ซื้อตั๋ว ตราบใดที่โรงตีเหล็กของโจวเถียเจี้ยงค้าขายดี เงินปันผลก็จะสูงขึ้น ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดไปชั่วครู่จากนั้นก็เอ่ยว่า “ตั๋วมีดทำครัวนี้ก็เปรียบเสมือนกับหุ้น ผู้ที่ถือตั๋วมีดทำครัวก็คือผู้ถือหุ้นโรงตีเหล็กของโจงเถียเจี้ยง”
“ขั้นตอนการแสดงนี้คือตลาดหุ้นซึ่งมีการออกหุ้นต่อผู้คนและมีการกำหนดรูปแบบการจ่ายเงินปันผล”
เมื่อมาถึงจุดนี้ ทุกคนจึงได้กระจ่างขึ้นมาว่าแท้จริงแล้วนี่คือวิธีการทำงานของหุ้น
แต่การบรรยายของฟู่เสี่ยวกวนยังมิเสร็จสิ้น เขารออีกชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อทันทีว่า
“หลังจากผ่านไป 2 ปี การค้าของโรงตีเหล็กโจวเถียเจี้ยงก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เขาร่ำรวยขึ้นและได้แต่งงานกับจางเสี่ยวฮวา ผู้คนที่ซื้อตั๋วมีดทำครัวก็ทำเงินได้มากมายเช่นกัน แล้วหลังจากนั้นเล่า ? มีคนที่คอยอิจฉา อยากจะให้ผู้เฒ่าเฉียนเอ่ยให้พวกเขาบ้าง เพราะอยากได้ส่วนแบ่งโรงตีเหล็กของโจวเถียเจี้ยง แต่ผู้เฒ่าเฉียนรู้สึกลำบากใจมากยิ่งนัก โจวเถียเจี้ยงผู้นี้มิเหมือนเมื่อก่อนแล้ว โรงตีเหล็กของเขาเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ๆ เขามิได้ขัดสนเรื่องเงินอีกต่อไปแล้ว ! ”
“แล้วจะทำเยี่ยงไรดี ? ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง ผู้เฒ่าเฉียนคิดออกหนึ่งวิธี ตั๋วมีดทำครัวนั้นมิได้ถือเป็นสิทธิขาด เพียงใช้เวทีเป็น ‘ตลาดซื้อขาย’ แล้วปล่อยให้ผู้คนเหล่านั้นประเมินราคาของตนเองเพื่อซื้อและขาย ด้วยวิธีนี้การซื้อขายหุ้นจึงได้บังเกิดขึ้นมา”
“พื้นฐานในการกำหนดราคาหุ้นคืออันใด ? อย่างแรกเลยก็คือ ราคาเริ่มต้นของหุ้นที่ออก อย่างที่สองคือ สำนักงานที่ออกหุ้น… กฎหมายของสำนักงานกำลังจะถูกนำมาใช้ และทุกคนจะต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้ รายงานผลการดำเนินงานของสำนักงาน นักลงทุนจะต้องได้รับการตีพิมพ์สัญญาในเวลาจริงและถูกต้อง มีการประกาศให้นักลงทุนทราบราคาของหุ้น จะได้รับกำไรหรือขาดทุนตามผลการดำเนินงานของสำนักงานที่ออกหลักทรัพย์ ยิ่งผลการดำเนินงานดีขึ้นมากเท่าใด ราคาของหุ้นก็จะสูงขึ้นตามมากเท่านั้น ซึ่งเรียกว่าขาขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามเรียกว่าขาลง”
“ดังนั้น เกี่ยวกับหุ้น มีคำศัพท์สำคัญสองสามคำที่ทุกท่านต้องเข้าใจ แนวโน้มของตลาด ข้อได้เปรียบของการลงทุนในตลาดหุ้น การเสนอขายหุ้นต่อทั่วทุกสารทิศ เงินปันผลและการซื้อขายหุ้น”
“ในราชวงศ์หยูมีเพียงธนาคารซื่อทงเท่านั้นที่มีสิทธิ์ออกหุ้น ธนาคารซื่อทงถือเป็นศูนย์กลางของการซื้อขายหุ้น พวกเรามีกลไกการประเมินที่ดี และพวกเราจะตรวจสอบสำนักงานที่ออกหุ้นอย่างเคร่งครัด ดังนั้นทุกท่าน… มิจำเป็นต้องพึ่งโชคชะตา ช่องโหว่ที่พวกท่านคิด ข้าเข้าใจมากกว่าพวกท่านเป็นร้อยเท่า ! ”