ตอนที่ 627 อภัยโทษ
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สอง เดือนห้า ในห้องทรงพระอักษรแห่งราชวงศ์หยู
“จากการสำรวจทั่วแคว้นนับจนถึงเมื่อวานนี้มีผู้เข้าร่วมสอบเอินเคอทั้งสิ้นสามหมื่นเจ็ดพันกว่าคน”
ในพระหัตถ์ถือเอกสารเกี่ยวกับสถิติเอาไว้ ทรงประทับลงที่เก้าอี้แล้วตรัสว่า
“ว่อเฟิงเต้า หนึ่งมณฑลมีสามจวนโจว”
“ในสามจวนโจวนี้มีเขตปกครองภายใต้อำนาจของตน 220 เขต ราชวงศ์หยูยังคงยึดการแต่งตั้งตำแหน่งด้วยระบบเก่าโดยให้แต่งตั้งผู้พิพากษาเขตละ 1 คน แต่งตั้งนายอำเภอเขตละ 1 คน แต่งตั้งผู้ช่วยนายอำเภอเขตละ 1 คนและอาจารย์อีกเขตละ 1 คน โดยทั้งหมดนี้พวกเราต้องการบัณฑิตอีกทั้งสิ้น 900 คน”
“หากเพิ่มเจ้าหน้าที่ของจวนเต้าและจวนโจวไปด้วย ขุนนางทั้งหมดนี้จะมีจำนวน 1,264 คนพอดี”
“ข้าได้หารือกับฟู่เสี่ยวกวนในยามเย็นของเมื่อวานนี้ เขาได้เสนอชื่อบุคคล 3 คนให้ไปปกครองจวนโจว คนแรกคือต่งเสียงฟางจากหงหลูซื่อ คนที่สองคือเหยียนซีไป๋แห่งกรมขุนนาง และคนที่สามคือผู้ว่าเขตจินหลิงหนิงหยู่ชุน”
“ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อจะรับฟังความคิดเห็นของพวกเจ้า ทั้งสามคนนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับจวนโจวหรือไม่ ? จงกล่าวมาเถิด หากว่าเหมาะสมข้าจะออกราชโองการให้พวกเขาเดินทางไปว่อเฟิงเต้าทันที”
ในเวลานั้นฟู่เสี่ยวกวนกำลังชงชาอยู่ ส่วนเยี่ยนเป่ยซีก็ได้ทำความเคารพฮ่องเต้แล้วทูลว่า “กระหม่อมคิดว่าทั้งสามคนนั้นเป็นผู้มีความสุขุมและหนักแน่นมากพอ ดังนั้นมิน่ากังวลพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนซือเต้าเงียบไปชั่วครู่แล้วพยักหน้า ส่วนต่งคังผิงมิได้แสดงความคิดเห็นอันใดเลย
“เรื่องของทั้งสามจวนโจวเอาไว้แค่นี้ก่อนเถิด…” ฝ่าบาทวางกระดาษลงแล้วเสด็จไปประทับที่หน้าโต๊ะน้ำชา จากนั้นก็ทอดพระเนตรฟู่เสี่ยวกวนแล้วตรัสถามขึ้นมาว่า “การสอบเอินเคอในวันพรุ่งนี้ เจ้าเตรียมการเรียบร้อยแล้วหรือยัง ? ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเตรียมการพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ! บทกวีที่เจ้าประพันธ์ในหอซื่อฟางเมื่อสองคืนก่อนช่างยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก ข้าชื่นชอบยิ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เรื่องบทกวีนั้นลอยมาถึงฝ่าบาทเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
ฮ่องเต้ลูบเคราแล้วยิ้ม “คำที่ว่า วันหนึ่งเมื่อต้าเผิงเริ่มโบยบินตามสายลม ขี่พายุหมุนโผทะยานเก้าหมื่นลี้ ! ประโยคนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่ง ! หากกล้าที่จะเผชิญหน้าก็มิต้องพะวงหลังเพราะข้าจะคอยสนับสนุนเจ้าอยู่ด้านหลังเอง ! ”
เยี่ยนเป่ยซีและพรรคพวกยังมิเคยได้ฟังบทกวีนั้นเลย เมื่อได้ยินฝ่าบาทตรัสถึงมันออกมาจึงทำให้ทั้งสามคนตื่นตะลึงเสียจนนิ่งค้าง บทกวีนี้ช่างวิเศษมากยิ่งนัก !
ทันใดนั้นก็จำได้ว่าเจ้าเด็กคนนี้มิได้ประพันธ์บทกวีมาเนิ่นนานแล้ว เมื่อประพันธ์ออกมาอีกคราผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังคงยอดเยี่ยมยิ่ง แต่ทว่าท่อนสุดท้ายนั้นกล่าวว่าเยี่ยงไรหรือ ?
ทุกคนในห้องนี้ต่างก็อยากรู้ แต่ทว่าฝ่าบาทมิได้ตรัสออกมาอีก พระองค์กำลังทอดพระเนตรฟู่เสี่ยวกวนด้วยดวงพักตร์ชื่นชม “เจ้า…ยังมีเรื่องอันใดให้ข้าต้องจัดการอีกหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินชาให้ทั้งสี่ท่าน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วยกยิ้มกว้าง “100 ล้านพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ไอหยา… ! อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย มีเรื่องอันใดให้ช่วยก็เอ่ยออกมาตรง ๆ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเคยสัญญากับซื่อชิงแห่งศาลต้าหลี่เอาไว้ว่าจะขอให้ฝ่าบาทเขียนอักขระให้แก่เขา เกือบจะลืมไปแล้วอย่างแท้จริง
“ถ้าเช่นนั้นพระองค์โปรดทรงพระอักษรให้กระหม่อมเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย ช่างง่ายดายอันใดเยี่ยงนี้ “ได้ ! เจ้ากล่าวมาเถิดว่าจะให้ข้าเขียนสิ่งใด ? ”
“เขียนว่า… ‘ตัดสินคดีความด้วยคุณธรรมและความยุติธรรม’ พ่ะย่ะค่ะ”
“ตัดสินคดีความด้วยคุณธรรมและความยุติธรรม…” ฝ่าบาทขมวดคิ้วมุ่นแล้วทวนคำอย่างละเอียด “ความหมายช่างดียิ่ง เหมาะจะใช้แทนตัวขุนนางแห่งศาลต้าหลี่เสียมากกว่า แล้วเจ้าจะเอาอักขระประโยคนี้ไปทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกมือทั้งสองข้างประสานกันในระดับหน้าอกแล้วกราบทูลอย่างจริงจังว่า “กระหม่อมทำเพื่อศาลต้าหลี่ กระหม่อมหวังว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนของศาลต้าหลี่จะจดจำประโยคนี้ไว้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“กฎหมายเป็นข้อกำหนดของแคว้น การใช้ศีลธรรมและจรรยาบรรณมาควบคุมผู้คนให้อยู่ในหลักเกณฑ์ เกี่ยวข้องกับการร้องต่อศาลให้มอบความยุติธรรมต่อคดีและยังเกี่ยวข้องกับราษฎรที่ให้ความไว้วางใจต่อราชสำนัก ในจิตใจของราษฎรนั้นมีความเชื่อมั่นต่อพวกเรา ถ้าหากผู้พิทักษ์กฎหมายนำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องด้วยจนทำให้ความเชื่อมั่นของพวกเขาลดน้อยลงก็จะส่งผลร้ายแรงต่อแคว้นได้”
“กระหม่อมจำเหตุการณ์หนึ่งได้คือมีชายชราคนหนึ่งหมดสติล้มลงไป แล้วมีเยาวชนจิตใจเมตตาคนหนึ่งช่วยประคองเขาขึ้นมา แต่ทว่าชายชรากลับไปฟ้องร้องเยาวชนผู้นั้นต่อศาลโดยกล่าวว่าอีกฝ่ายผลักเขาล้มลงไปจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงขอให้ท่านนายอำเภอมอบความยุติธรรมให้กับเขาด้วย โดยการให้คู่กรณีชดเชยเงินจำนวน 100 ตำลึง ! ”
เยี่ยนเป่ยซีขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เหลวไหล ! ”
“ใช่ ! เหลวไหลสิ้นดีแต่ท่านนายอำเภอที่ตัดสินเรื่องนี้เหลวไหลยิ่งกว่า”
“เขาตัดสินว่าเยี่ยงไร ? ”
“แท้จริงแล้วนายอำเภอควรตัดสินว่ามิมีพยานในเหตุการณ์จึงมิสามารถตัดสินได้ว่าเยาวชนผู้นี้ผลักชายชราคนนี้จริงหรือไม่ ? เรื่องนี้เขามิได้มีความผิดเลยด้วยซ้ำ แต่นายอำเภอกลับให้เหตุผลเหลวไหลว่า ตามความเป็นจริงแล้วถ้าเจ้ามิได้ผลักชายชรา แล้วเจ้าจะไปประคองเขาขึ้นมาเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ดังนั้นนายอำเภอจึงตัดสินว่าเยาวชนแพ้คดีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วแสยะยิ้ม “เยาวชนผู้นั้นพ่ายแพ้ต่อคดีนี้จึงต้องชดเชยให้ชายชราด้วยเงิน 100 ตำลึง สาเหตุเกิดจากการที่เขาได้ทำความดี นี่ใช่เรื่องเหลวไหลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
เสียง ‘ปึง ! ’ ดังขึ้นจากการที่ฝ่าบาทตบโต๊ะเพราะโทสะ “นายอำเภอผู้นั้นมีชื่อแซ่ว่าเยี่ยงไร ? ข้าจะออกราชโองการปลดออกจากตำแหน่งประเดี๋ยวนี้ ! ”
“นายอำเภอผู้นั้นตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม… สมควรตาย ! มิเช่นนั้นข้าจะถลกหนังเขาทิ้งเอง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยต่อว่า “เยาวชนผู้นั้นถูกปรักปรำส่วนนายอำเภอก็มาตายไปอีก เมื่อเหตุการณ์นี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งอำเภอ ถ้าหากชายชราผู้นี้ล้มลงไปอีกในสถานที่ที่มิมีผู้คนเป็นพยาน ยังจะมีผู้ใดกล้าประคองเขาอยู่อีกหรือไม่ ? เพราะหากช่วยประคองแล้วถูกใส่ร้ายอีกจะเอาเงินมากมายถึงเพียงนั้นมาจากที่ใด ? เงิน 100 ตำลึงสามารถทำให้คนหนึ่งคนสิ้นเนื้อประดาตัวได้เลยทีเดียว ! ”
“แต่หากมิช่วยประคองก็จะกลายเป็นการมิเคารพผู้อาวุโส แล้วควรที่จะประคองหรือไม่เล่า ? หากคนผู้นี้คือคนหลอกลวงมิหนำซ้ำยังมีบทเรียนให้เห็นมาก่อนแล้ว ยิ่งพอนึกถึงเรื่องที่อาจจะสิ้นเนื้อประดาตัว พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะมิเข้าไปช่วยประคอง… มิประคองก็คงมิเป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ความโชคร้ายจะได้มิต้องมาตกอยู่ที่ตนเองด้วย”
“เรื่องเช่นนี้จะโทษว่าราษฎรเฉยเมยได้เยี่ยงไร ? ย่อมโทษมิได้อยู่แล้วเพราะนี่เป็นเรื่องของความอยุติธรรมทางกฎหมายซึ่งนำไปสู่การเสื่อมถอยของศีลธรรม หากสิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปเช่นนี้ก็จะมิมีความไว้วางใจต่อกันอีกต่อไป”
“กระหม่อมจึงคิดว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายควรจดจำประโยคนี้ไว้ และกระหม่อมคิดว่า ‘ประมวลกฎหมายอาญาหยู’ ของราชวงศ์หยูนั้นมีเยอะจนเกินไป ควรได้รับการขัดเกลาเสียใหม่”
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสี่คนก็ตกตะลึงขึ้นมาทันที ‘ประมวลกฎหมายอาญาหยู’ ได้มีการสืบทอดมาจากราชวงศ์ก่อน ‘กฎหมายต้าเฉิน’ ก็มีมาตั้งหลายปีแล้วนี่ มิเคยมีผู้ใดเอ่ยให้แก้ไขใหม่มาก่อนเลย
นี่มิใช่เรื่องง่าย !
เยี่ยนเป่ยซีมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างสนใจ อีกฝ่ายยกตัวอย่างคดีนั้นเพื่อต้องการเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญาหยูเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เรื่องนี้… เจ้ามิสามารถเข้าไปยุ่งได้เพราะแม้แต่ผู้เป็นอัจฉริยะแห่งราชวงศ์หยูก็มิสามารถแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาหยูได้สำเร็จ…”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นแล้วเคารพไปหนึ่งที “กระหม่อมคิดว่าสีฉวินเหมยอดีตเสนาบดีกรมขุนนางจะทำเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้กระหม่อมคิดว่าจะให้สีฉวินเหมยมาเป็นผู้ช่วย เช่นนั้นกระหม่อมก็จะสามารถขัดเกลาประมวลกฎหมายอาญาหยูได้สำเร็จภายใต้คำแนะนำและข้อเสนอแนะจากสีฉวินเหมยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อเยี่ยนเป่ยซีได้ยินดังนั้นก็บังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที เจ้านี่ต้องการช่วยสีฉวินเหมยออกมาจากคุก !
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรสีหน้าท่าทางของฟู่เสี่ยวกวนแล้วทอดถอนพระทัย
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเอ่ยถึงอีกหลายคนในคุกต้าหลี่เมื่อสองสามวันก่อน”
“ทูลฝ่าบาท มีชืออีหมิง เซวี๋ยตงหลิน สีส่วง และเฟ่ยเชียน อีก 4 คนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าต้องการทั้งหมดเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“กระหม่อมได้ไตร่ตรองดีแล้วว่าข้างกายนั้นมิมีที่ปรึกษาเลยสักคน ตามบทกฎหมายปัจจุบันแล้วพวกเขามิสามารถดำรงตำแหน่งข้าราชการของราชสำนักได้อีกต่อไป แต่จะดีเป็นอย่างยิ่งถ้าฝ่าบาทมอบคนทั้งสี่นี้ให้กระหม่อมได้ใช้งานพ่ะย่ะค่ะ”
ต่งคังผิงขมวดคิ้วมุ่น ส่วนเยี่ยนเป่ยซีใจจดใจจ่อรอฟังคำตอบอยู่…
เจ้าหมอนี่ช่างกล้านัก !
ฮ่องเต้เงียบเป็นเวลานานและทันใดนั้นก็แย้มพระโอษฐ์ออกมา “เจ้าช่างมีเมตตามากยิ่งนัก เอาล่ะ ! ข้าจะมีราชโองการอภัยโทษให้แก่ทั้งห้าคน ! ”