ตอนที่ 629 มีเพียงหัวใจข้าที่บริสุทธิ์ดุจสายน้ำ
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าออกมา
สตรีนางนี้ช่างเข้าอกเข้าใจกันดียิ่งนัก !
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นแขนออกไปโอบกอดสวี่ซินเหยียนเอาไว้ จึงได้รู้สึกว่าความเรียบง่ายคือเป้าหมายของชีวิต
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนเองอยากจะเป็นเพียงแค่เศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงและอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น แต่เพราะโชคชะตาบัดนี้จึงมิสามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว
เส้นทางนี้ต้องเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น !
ใต้หล้าอันสมบูรณ์แบบนี้ เขาจะใช้ทั้งชีวิตรักษามันเอาไว้ !
เมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนี้ จึงทำให้สิ่งที่แล่นเข้ามาในหัวเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของนักสู้
บนใต้หล้านี้มีผู้คนที่รักเขาและเขารักอยู่อีกมากมาย
เพื่อพวกเขาและพวกนางแล้ว แม้ว่าจะต้องแบกภาระที่หนักอึ้งเอาไว้ ก็จำต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ !
หัวใจของสวี่ซินเหยียนกำลังเต้นอย่างแรง ใบหน้าของนางอยู่ในอ้อมแขนของฟู่เสี่ยวกวน นางรู้สึกอบอุ่น จิตใจสงบมากยิ่งนัก
นางกอดฟู่เสี่ยวกวนไว้แน่น เพราะกลัวว่าเขาจะหายไป กลัวว่านี่จะเป็นเพียงแค่ความฝัน
สำหรับสวี่ซินเหยียนแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับนาง
สายลมจากแม่น้ำฉินหวายได้พัดผ่านคนสองคนที่กำลังโอบกอดกันไปอย่างเงียบ ๆ
ภายใต้แสงดวงดารา นางได้ซุกซ่อนใบหน้าที่เขินอายไว้ที่หน้าอกของเขา
จากนั้นก็ปรากฏภาพเรือลำหนึ่งกำลังแล่นอยู่บนแม่น้ำฉินหวายอย่างช้า ๆ โดยมีเพียงโคมไฟส่องสว่างอยู่ด้านบน ที่โคมไฟนั้นมีตัวอักษรสามตัวเขียนเอาไว้ว่า ‘หงซิ่วจาว ! ’
มีสตรีนางหนึ่งถือฉินนั่งอยู่บริเวณหัวเรือ ทันใดนั้นนางก็เริ่มบรรเลงทำนองและขับร้องออกมา
‘อย่าใส่ใจเสียงพิรุณที่โปรยปรายใส่ใบไม้ในป่าทึบยามที่ก้าวผ่าน ไฉนจึงมิร้องเพลงและเดินเล่นช้า ๆ
ไม้ไผ่หนึ่งกำรองเท้าฟางหนึ่งคู่ยังว่องไวเสียยิ่งกว่าควบอาชา ใยต้องกลัว ?
…สวมใส่เสื้อฟางกันฝนท่ามกลางหมอกและพิรุณ’
เสียงเพลงนั้น ทำให้คนทั้งคู่ที่อยู่บนฝั่งรู้สึกตัวขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนสัมผัสเส้นผมของสวี่ซินเหยียนแล้วกระซิบที่ข้างหูของนาง “มิต้องกังวลหรอก มีข้าอยู่ ฟ้าย่อมมิถล่มลงมา”
“อืม”
“เรากลับกันเถิด”
สวี่ซินเหยียนหันไปมองเรือนั้นอีกครา “อืม… เรากลับกันเถิด”
……
……
กลางดึกนี้จวนติ้งอันป๋อสงบมากยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวนแต่ก็มิได้เข้านอนในทันที ทว่าเขากลับนำพู่กันและหมึกไปที่ศาลาเถาหราน
เขาเริ่มเขียนจดหมาย
เขียนจดหมายถึงไป๋ยู่เหลียน ถึงซิ่วเอ๋อร์ และเขียนถึงบิดาอ้วนที่ราชวงศ์อู๋
เขาใช้เวลาในการเขียนจดหมายด่วนเพียง 1 ชั่วยามเท่านั้น หลังจากเขียนเสร็จก็วาดแผนที่ลงไปในกระดาษโดยใช้แท่งถ่าน
สวี่ซินเหยียนนั่งอยู่ข้าง ๆ เฝ้ามองอย่างสงบ นางรู้สึกเหมือนตนเป็นคู่สามีภรรยากับเขา แล้วเมื่อใดตนจะได้สั่งสอนบุตรบ้างกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังวาดภาพเรือรบ เรือลำนี้สูงราว 3 ชั้น มีเสากระโดงเรืออยู่บริเวณหัวเรือของทั้งสามชั้น หลังจากครุ่นคิดอีกชั่วครู่ เขาก็ได้วาดอาคารบนเรือขึ้นมา
หัวเรือเป็นรูปสามเหลี่ยมที่แหลมและด้านหลังเรือเป็นอาคารขนาดใหญ่
บนชั้นสองของเรือรบลำนี้ เขาได้ทำเครื่องหมายป้อมปืนทั้งหมด 20 ป้อม ตามข่าวจากศูนย์วิจัยซีซาน ปืนใหญ่รุ่นที่สองสามารถติดตั้งบนเรือได้โดยวิธีการปรับแต่งแบบมิยุ่งยาก
เขาใช้เวลาอีก 1 ชั่วยามในการแก้ไขภาพวาดนี้ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบยิ่ง สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือแรงขับเคลื่อน
เทคโนโลยีกังหันไอน้ำยังอยู่ระหว่างการวิจัยและต้องใช้เวลาสักหน่อย เพราะมีหลายกระบวนการยิ่ง ตั้งแต่ทฤษฎี ปฏิบัติ ไปจนถึงการนำไปประยุกต์ใช้
เมื่อวาดเสร็จ เขาก็วางแท่งถ่านลงแล้วขยับเอวบิดขี้เกียจเล็กน้อย สวี่ซินเหยียนไปทำขนมทังหยวนที่ห้องครัวให้เขา
“ใกล้จะเช้าแล้ว รีบทานตอนยังร้อน ๆ แล้วค่อยไปพักสักหน่อยเถิด วันนี้มีสอบเอินเคอมิใช่หรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบขนมทังหยวนขึ้นมา ยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “อืม… พักผ่อนนั้นช่างมันเถิด พอกินขนมทังหยวนนี่เสร็จแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิเพื่อฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางสักหน่อย ช่างประจวบเหมาะเสียจริง…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สวี่ซินเหยียนก็เหลือบมองเขาเล็กน้อย “หลักสำคัญคือความเพียรพยายาม ท่านงานยุ่งถึงเพียงนี้จึงทำให้การฝึกมิปะติดปะต่อ ข้าว่าช่างมันเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้อดีนั้นยังพอมีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ยังมีกำลังวังชา อ้อ ! อีกประเดี๋ยวเรียกซูซูมาพบข้าที”
“อืม…”
ศิษย์พี่ใหญ่มิอยู่ที่นี่ ดังนั้นการส่งจดหมายนี้ต้องลำบากซูซูแล้ว
เมื่อกินขนมทังหยวนหมดแล้วท้องนภาก็เริ่มสว่างขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นแล้วเดินไปรอบ ๆ มองไปทางทะเลสาบซวนอู่ที่กว้างใหญ่และเงียบสงบ จ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่าจนกระทั่งซูซูเดินเข้ามาพร้อมกับทำปากมุ่ย
“เฮ้ ๆ ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการปลุกผู้อื่นให้ตื่นจากความฝันถือเป็นการมิมีมารยาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าแล้วกล่าวว่า “ฝันถึงของอร่อยใช่หรือไม่ ? ”
ซูซูเหลือบมองเขาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “มิใช่ ! ข้าฝันถึงท่านพ่อและท่านแม่ของข้าต่างหาก”
“…นี่ ข้าขออภัยด้วย ! ”
ซูซูเดินไปนั่งตรงเก้าอี้โดยยกแขนวางเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็โน้มกายนอนทับแขน แล้วมองไปทางทะเลสาบซวนอู่ “ท่านแม่บอกว่า… ข้าอายุมิน้อยแล้วสมควรเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ! ”
“……”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินไปนั่งลงที่ข้างกายของนาง แล้วเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าพบเจอผู้ที่เหมาะสมแล้วหรือยัง ? ข้าจะเป็นพ่อสื่อให้เจ้าเอง”
ซูซูมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา หลังจากนั้นมินานนางก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “รีบเอ่ยมา เรียกข้ามาแต่เช้าตรู่มีเรื่องอันใดกันแน่ ? จะต้องเป็นเรื่องที่มิดีเป็นแน่เลย ! ”
“ช่วยไปภูเขาซีซานแทนข้าหน่อยสิ”
ซูซูขมวดคิ้ว ทำแก้มพองลมแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเรื่องเดินทาง ! ” นางรีบกระซิบถาม
“เป็นเรื่องสำคัญมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“สำคัญมาก มิเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าไปแทนข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หึหึ…” ซูซูแค่นหัวเราะออกมา “เอ่ยเยี่ยงนี้แสดงว่าข้าสำคัญต่อเจ้ามากใช่หรือไม่ ? ”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว คนแรกที่ข้านึกถึงก็คือเจ้า ! ”
ซูซูรู้สึกมีความสุขทันทีที่ได้ยิน “ส่งมาเถิด…”
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นจดหมาย 2 ฉบับให้กับซูซูอย่างระมัดระวังแล้วกำชับว่า “หนึ่งฉบับให้ซิ่วเอ๋อร์และอีกหนึ่งฉบับให้ไป๋ยู่เหลียน”
“ได้…ไหนล่ะเงิน ? หรือเจ้าจะให้ข้าเดินไปโดยมิให้เงินเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
……
……
ผู้คนในจวนติ้งอันป๋อทยอยตื่นจากการหลับใหล
พวกบ่าวรับใช้เริ่มทำงานประจำวัน มีควันลอยโขมงขึ้นมาจากห้องครัว และมีเสียงกรอบแกรบดังมาจากลานบ้าน
ฟู่เสี่ยวกวนอาบน้ำและเปลี่ยนชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่เฝ้ารบกวนจิตใจและความกังวลของเมื่อวาน ในตอนนี้ได้เลิกคิดและได้โยนมันทิ้งไปไกลสุดขอบฟ้าแล้ว
วันใหม่ก็ควรเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ
มิมีปัญหาอันใดที่แก้ไขมิได้ สุริยายังขึ้นใหม่อีกคราในยามเช้าเสมอ !
เขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าต่อไป
สวี่ซินเหยียนต้มน้ำชาให้เขาแล้วเหลือบมอง เมื่อเห็นเขามีความสุข นางเองก็มีความสุขมากยิ่งนัก
นางชื่นชอบที่ท่าทางของเขาที่ไร้ซึ่งความกลัว และกลับมาเคร่งขรึมน่าเคารพดังเดิม
ฟู่เสี่ยวกวนดื่มชาไป 2 จอก จากนั้นก็มองไปยังแสงสีแดงตรงปลายขอบฟ้า เหมือนสุริยากำลังจะโพล่พ้นแนวเส้นขอบฟ้าขึ้นมา ทันใดนั้นก็หยิบพู่กันที่เต็มไปด้วยน้ำหมึกขึ้นมาเขียนบางอย่างลงบนกระดาษ
‘มองผ่านม่านครึ่งผืนเห็นไผ่เขียว มีเพียงหัวใจของข้าที่บริสุทธิ์ดุจสายน้ำ
ความมั่งคั่งเปรียบดั่งฝัน ทุกสิ่งล้วนเป็นภาพมายา มิว่าเยี่ยงไรโลกก็ยังไร้ความปรานี’
“ซินเหยียน พวกเราไปที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยกันเถิด”
“อืม…”
ทั้งสองเดินย่ำอยู่ท่ามกลางแสงอรุณรุ่งของยามเช้า เดินทางออกไปจากจวนติ้งอันป๋อ ต่งชูหลานที่ตื่นนอนแล้วก็ได้เดินมาที่ศาลาเถาหราน
น้ำชายังร้อนอยู่ ตัวอักษรที่เขียนลงไปก็ยังมิแห้งดี อืม…
ต่งชูหลานมองบทความนี้ สามีเป็นผู้เขียนขึ้นมาเยี่ยงนั้นหรือ แต่ว่า…นางเกิดข้อสงสัยขึ้นมาจึงได้นั่งลงแล้วอ่านทั้งสองประโยคนี้อย่างตั้งใจ จากนั้นก็ทำหน้าสงสัยหนักกว่าเดิม
ด้วยสัญชาตญาณของนางจึงรู้สึกว่าเหมือนสามีกำลังมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ
ตัวอักษรนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ทว่าเมื่ออยู่บนกระดาษกลับเหมือนรูปวาด
มิว่าเยี่ยงไรโลกก็ยังไร้ความปรานี… จะเกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?
ต่งชูหลานเก็บกระดาษเหล่านั้นเอาไว้ จากนั้นก็กลับไปยังลานบ้านแล้วทำเหมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น