ตอนที่ 636 หยุนซีเหยียน
ตรอกจิ่วเยวี่ยอยู่ห่างออกไปมิน้อยเพราะอยู่ในเขตรอบนอกของเมืองจินหลิง
สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมิคาดคิดก็คือตรอกแห่งนี้ครึกครื้นมากยิ่งนัก !
ท้องนภาเริ่มมืดแล้ว โคมไฟสีแดงในตรอกจิ่วเยวี่ยก็เริ่มสว่างโร่ขึ้น ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร กลิ่นหอมของอาหารหลากชนิดลอยมาตามสายลมยามราตรี มีเสียงโห่ร้องดังลั่นจากนั้นก็หายไป ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายก็มีสถานที่ให้ชมทิวทัศน์ได้
“พี่ฟู่ น้องซือหม่า ในแต่ละเมืองมีอาหารรสชาติที่มิเหมือนกัน อีกทั้งรสชาติอาหารแบบนั้นก็มิได้อยู่ในร้านอาหารชื่อดังแต่กลับอยู่ในสถานที่แบบนี้ ใต้หล้านี้มีอาหารมากมายแต่มีเพียงมิกี่คนที่ได้ลิ้มรสมันจริง ๆ เพราะพวกเขาไร้สายตาแหลมคมจึงมิสามารถค้นพบรสชาติอาหารดี ๆ เยี่ยงข้าได้ ! ”
ทั้งสี่คนลงมาจากรถม้า สวี่ซินเหยียนมองไปที่ฝูงชนแล้วขมวดคิ้วมุ่น
นางเดินไปด้านหน้าฟู่เสี่ยวกวนแล้วคอยระวังฝูงชนเอาไว้ โดยมือขวาของนางจับด้ามกระบี่ที่คาดอยู่ตรงเอวเอาไว้
“พี่หยุนค้นพบสถานที่แห่งนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
“เฮ้ ๆ พี่ฟู่ นี่ก็คือประสบการณ์การเดินทางหลายพันลี้ อาหารพื้นบ้าน ได้รับการถ่ายทอดมาจากตระกูล พวกเขามิมีเงินทุนที่จะเปิดร้านอาหารหรูหราใหญ่โตได้ และอาหารของพวกเขาก็ค่อนข้างเรียบง่ายมิเหมาะที่จะเปิดเป็นร้านอาหารหรูหรา ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกมาเปิดที่ท่าเรือนอกเมืองแทน ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลเพราะส่วนใหญ่ค่าเช่ามิแพง”
“สหายฟู่เชิญดูเถิด…”
หยุนซีเหยียนชี้ไปที่ร้านข้าง ๆ “ร้านนี้มีชื่อว่าร้านโต้วฮัวหยูขายอาหารเพียงชนิดเดียว แต่ดูกิจการสิ จุ๊ ๆ ๆ ” เขาส่ายศีรษะไปมา “เถ้าแก่กล่าวว่าขายได้ถึง 300 ชั่งโดยเฉลี่ยทุกวัน ! เต้าหู้ปลาหนึ่งหม้อใช้ปลาถึง 6 ชั่ง เขาขายได้ 100 หม้อต่อวัน ในร้านมีโต๊ะเพียง 5 โต๊ะเท่านั้น”
“เต้าหู้ปลา 100 หม้อนี้คิดเป็นเงินได้เท่าใด ? ”
หยุนซีเหยียนชูฝ่ามือแสดงนิ้วทั้งห้านิ้วขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน “500 ตำลึงเชียวหรือ ? ”
หยุนซีเหยียนเองก็ตื่นตกใจมากเช่นกัน “พี่ฟู่ แบบนั้นคือการปล้นแล้วล่ะ ! เต้าหู้ปลา 1 หม้อราคายังมิถึง 1 ตำลึงเลยด้วยซ้ำ ! ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะร่าออกมา ถูจมูกไปมาด้วยความเขินอาย “ได้เงิน 5 ตำลึงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่ ! ได้เงิน 25 ตำลึงต่างหากเล่า ! ”
“ที่เจ้าชูฝ่ามือขึ้นนั้นหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“พี่ฟู่คงมิทันสังเกตเห็น ข้านั้นแกว่งมือไป 5 รอบ ! ”
“……”
ทำแบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ ?
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็พบว่าบุรุษผู้นี้น่าสนใจยิ่ง เขาเป็นคนมีความสามารถ แต่มิรู้ว่าจะเขียนบทความนั้นออกมาเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?
ในขณะที่ทั้งห้าคนเดินตรงไปที่ร้านหม้อไฟ หยุนซีเหยียนก็เอ่ยจ้อไม่หยุด “นี่คือร้านที่ได้รับความนิยมที่สุดในเมืองหลวง ดังนั้นเต้าหู้ปลาของเขาสามารถทำรายได้ถึง 25 ตำลึงต่อวันซึ่งถือว่าได้กำไรค่อนข้างดี แต่ว่า…”
“ในสถานที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หรงโย่วเต้าและกวนซีเต้าก็มีเต้าหู้ปลาชนิดเดียวกันวางขาย แต่ทว่าทำเงินได้มากสุดเพียงวันละสองหรือสามตำลึงเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับที่จินหลิงแล้วที่นี่ทำเงินได้ประมาณสิบเท่าของสถานที่สองแห่งนั้น ! ”
“ในทำนองเดียวกันก็สามารถเอ่ยได้ว่ารายได้ต่อหัวของจินหลิงมากถึงสิบเท่าของรายได้ต่อหัวของสถานที่ทั้งสองแห่งนั้น ! ”
หยุนซีเหยียนกล่าวเสร็จก็เอ่ยถามออกมาอย่างสุขุม
“พี่ฟู่รู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
อยู่ ๆ หยุนซีเหยียนก็เอ่ยถามออกมาทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกงุนงงมิน้อย…
ซือหม่าเช่อขมวดคิ้วและเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน
นางมิรู้จะตอบว่าเยี่ยงไรดี แต่นางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนรู้คำตอบ
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวออกมาอย่างระมัดระวังว่า “นี่หมายความว่าสถานที่ทั้งสองแห่งนั้นมีศักยภาพมากกว่าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ครานี้หยุนซีเหยียนถึงกับสะดุ้งโหยง “คำตอบของพี่ฟู่ทำให้ข้ากระจ่าง…”
“ท่านกำลังคิดอันใดอยู่กัน ? ”
“อ่า…เดิมทีข้าคิดว่าจะหาเงินในจินหลิงแล้วค่อยไปใช้จ่ายในสถานที่ทั้งสองแห่งนั้น เพราะจะสามารถกินเต้าหู้ปลาได้เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่าในราคาเดียวกันกับที่จินหลิง”
“……”
เขาเป็นนักกินเยี่ยงนั้นหรือ !
“แต่ที่พี่ฟู่ตอบมานั้นค่อนข้างน่าสนใจ แต่น่าเสียดายยิ่ง ถ้าพี่ฟู่ใช้วิธีการนี้มาตอบคำถามในหัวข้อจะปัดกวาดใต้หล้าได้เยี่ยงไร ? เมื่อเศรษฐกิจท้องถิ่นถูกกระตุ้น ศักยภาพของตลาดก็จะถูกขุดค้นเพื่อยกระดับการใช้จ่ายจนเกิดความมั่งคั่งของผู้คนไปทั่วทุกแห่งหน… น่าเสียดาย น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง เพราะประเด็นนี้ต้องเข้าตาติ้งอันป๋อเป็นแน่ ! ”
หยุนซีเหยียนส่ายศีรษะแล้วกล่าวคำว่า น่าเสียดาย ออกมาสามคราติดต่อกัน ซือหม่าเช่อเมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมองหยุนซีเหยียนสองรอบแล้วถอนหายใจยาว “เฮ้อ… ถ้ารู้จักนักเดินทางเยี่ยงพี่หยุนเร็วกว่านี้ บางทีข้าอาจจะทำการสอบออกมาได้ดีกว่านี้ ช่างเถิด ช่างเถิด เพราะนี่คือเรื่องของโชคชะตา ! ”
“พี่ฟู่อย่าได้ดูถูกดูแคลนตนเองไปเลย ข้ายังยืนยันตามเดิมว่า ต้องลุกขึ้นสู้อีกคราแล้วพี่ฟู่จะมีชื่ออยู่บนบัญชีทองอย่างแน่นอน ! ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะลองเชื่อพี่หยุนดูสักครา ! ”
ทันใดนั้นก็มีกลิ่นหอมปนเผ็ดร้อนลอยมากับสายลม หยุนซีเหยียนสูดดมเข้าไป ยกยิ้มขึ้นแล้วผายมือออกมา “ที่นี่แหละ ! ”
ทั้งห้าคนเดินเข้าไปในร้านหม้อไฟซุนถัวเป้ย (ร้านหม้อไฟซุนหลังค่อม) พบว่าด้านในมีคนนั่งอยู่ราว 3 โต๊ะ
มีบุรุษคนหนึ่งเดินมาพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “นายท่าน เชิญด้านในเถิดขอรับ นายท่านต้องการนั่งที่ห้องโถงหรือว่าที่ห้องส่วนตัวชั้นบนขอรับ ? ”
“ห้องโถง ! ”
“ห้องส่วนตัว ! ”
หยุนซีเหยียนหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน “พี่ฟู่ ห้องส่วนตัวต้องเพิ่มเงินอีก 20 อีแปะ ! ”
“เอาห้องส่วนตัวเถิด”
“…เช่นนั้นก็ห้องส่วนตัว ! ”
เสี่ยวเอ้อตะโกนแจ้งฝ่ายต้อนรับในร้าน “นายท่านทั้งห้าคน…ห้องภูเขาชิงเฉิง ! ”
“รับทราบขอรับ ภูเขาชิงเฉิงรับแขก ! ”
นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?
“ห้องส่วนตัวนั้นถูกเรียกว่าภูเขาชิงเฉิง… พี่ฟู่ น้องซือหม่า เชิญ ! ”
“พี่หยุนเชิญ ! ”
ทั้งห้าคนเดินขึ้นไปชั้นบน พบว่าชั้นนี้มีห้องส่วนตัวอยู่ 4 ห้อง ทั้งสี่ห้องนั้นมีหนึ่งห้องที่แขวนป้ายเอาไว้ว่า ‘ภูเขาชิงเฉิง’ ฟู่เสี่ยวกวนมองประตูถัดไปที่เขียนไว้ว่า… ภูเขาเอ๋อเหมย
“เถ้าแก่ร้านนี้เป็นคนเมืองสู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“จะมิใช่ได้เยี่ยงไร ? มิเยี่ยงนั้นจะสามารถทำหม้อไฟรสชาติต้นตำรับออกมาได้หรือ… ทุกท่านเชิญนั่งก่อนเถิด เสี่ยวเอ้อ…เรียกซุนถัวเป้ยมาพบข้าที”
“ได้ขอรับ คุณชายหยุนโปรดรอสักครู่ ! ”
เสี่ยวเอ้อกล่าวเสร็จก็เดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยถามออกมาว่า “ท่านมาบ่อยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เคยมาสองสามครา เจ้าของร้านเป็นคนอัธยาศัยดี พอนานวันเข้าจึงคุ้นเคยกัน”
มินานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ปรากฏภาพชายอ้วนคนหนึ่งอายุราว 20 ปีเดินเข้ามา
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มทำให้ฟู่เสียวกวนมองมิเห็นดวงตาของอีกฝ่าย
“คุณชายหยุน ท่านเรียกข้ามามีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ซุนถัวเป้ย วันนี้ข้ามีสหายมาด้วยดังนั้นเจ้าต้องไปสั่งการด้วยตนเอง สำหรับอาหารนั้นต้องสดใหม่ ส่วนสุรา…”
“คุณชายหยุน ข้าน้อยมีสุราซีชานเทียนฉุนอยู่ 1 ไห”
“…” หยุนซีเหยียนถอนหายใจ “ยกให้ข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“คุณชายหยุนโปรดเห็นใจข้าน้อยเถิด ตั้งแต่หงซิ่วจาวถูกเผา สุราเทียนเซียงก็แทบมิหลงเหลืออยู่เลย ส่วนสุราซีชานเทียนฉุนนั้นหายากมากยิ่งนัก จึงจำต้องขายในราคา 1 ตำลึง ! ”
เหตุใดซุนถัวเป้ยถึงได้ตระหนี่เยี่ยงนี้กัน ? ข้าจะมีเงินมากมายถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไร !
อยู่ ๆ หยุนซีเหยียนก็กระแอมไอออกมาสองครา เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นดังนั้นก็ลอบยิ้มออกมา “นำสุราซีชานเทียนฉุนมาเถิด ! ”
หยุนซีเหยียนตื่นตกใจเสียจนสะดุ้งโหยง รู้สึกว่าเหงื่อเย็น ๆ กำลังผุดออกมาบนใบหน้าแล้วกำลังจะไหลลงไป ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ตบบ่าเขาไปหนึ่งคราแล้วเอ่ยว่า “พบเจอกันเป็นเรื่องของวาสนา มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง ! ”
หยุนซีเหยียนหัวเราะร่า “ถ้าเช่นนั้น…ข้ามิเกรงใจแล้ว !
ทันใดนั้นซุนถัวเป้ยก็ถอยหลังแล้วเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างสงสัย “บุรุษผู้นี้… มิได้หลังค่อมนี่ ! ”
“ร้านของเขาชื่อซุนถัวเป้ยก็จริง แต่มิได้หมายความว่าเจ้าของร้านจะต้องหลังค่อมจริง ๆ เสียหน่อย”
บ้าเอ้ย ! แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ ? พวกเขาใช้ชีวิตได้น่าสับสนยิ่งนัก !