ตอนที่ 642 ผู้สัญจร
“เกรงว่าบัดนี้ลัทธิจันทราใกล้จะถูกทำลายลงแล้ว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าส่งกองกำลังดาบเทวะไปยังเมืองซีหรง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “การมีอยู่ของลัทธิจันทรามิได้ส่งผลดีต่อแคว้นหรือราษฎรเลยแม้แต่น้อย ราชวงศ์หยูต้องการความสงบสุข หากว่าองค์ชายทรงก่อกบฏได้สำเร็จ คาดว่าจะมิต้องการให้ลัทธิจันทราดำรงอยู่เช่นกัน”
หยูเวิ่นชูหัวเราะร่าออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า มิแน่หรอก… เนื่องจากนักบุญสาวของลัทธิจันทราคือฮูหยินหนึ่งเดียวในชีวิตของข้า”
“จะว่าไปแล้วท่านเองก็อยู่ในเมืองซีหรงมาเป็นระยะเวลานาน ท่านเคยเดินทางไปยังศูนย์กลางของลัทธิจันทราหรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นชูพยักหน้า “เคย ! ข้ายังถูกพวกเขาขนานนามว่าพระบุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่เลย… พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เขาส่ายศีรษะไปมาแล้วเอ่ยต่อว่า “แท้ที่จริงลัทธิจันทราเหลือกำลังมิมากแล้ว เรื่องราวผ่านมานานกว่าสองร้อยกว่าปีแล้ว ยังจะมีอีกสักกี่คนกันที่ยังยึดติดกับการก่อกบฏ ? ปรารถนาจะต่อต้านราชวงศ์หยูเพื่อฟื้นคืนสู่ราชวงศ์เฉิน… ข้ามองว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องที่น่าขบขันเท่านั้น”
“ดังนั้นองค์ชายจึงหลอกใช้ลัทธิจันทราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พวกเขาเองก็หลอกใช้ข้ามิใช่หรือ ? ”
“ข้าจำได้ว่าลัทธิจันทรามีบุคคลสำคัญอยู่ 1 คน คนที่สามารถหลบหนีไปได้เมื่อตอนที่ข้าจับกุมที่จวนฮุ่ยชินอ๋อง เขามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“เฉินห้าวหนาน เขามีเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์เฉิน มีศักดิ์เป็นน้องชายของฮูหยินของข้าเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียจนสะดุ้งโหยง “เฉินห้าวหนาน ? ”
“อืม ! ก็แค่คนที่มิมีบทบาทสำคัญอันใด เจ้าตื่นเต้นอันใดกัน ? ”
“อ่า…มิมีอันใด เพียงแต่ชื่อนี้ฟังดูแล้วช่างน่าเกรงขามมากยิ่งนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ในใจว่า หลังจากที่จับเจ้าหมอนี่ได้จะต้องเค้นถามเสียหน่อยว่ารู้จักหัวหน้าของถงหลัววานหรือไม่ ?
อาหารบนโต๊ะถูกหยูเวิ่นชูกินจนเกลี้ยง สุราขวดนั้นก็ถูกเขาดื่มจนเกลี้ยงมิเหลือแม้แต่หยดเดียว
“เจ้าตั้งใจจะมอบตัวข้าให้ฝ่าบาทเมื่อใด ? ”
“คืนนี้นอนพักผ่อนให้สบายเถิด ค่อยเป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ข้าอยากให้ท่านนอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่มเพราะข้ามิรีบ”
เมื่อหยูเวิ่นชูกินจนอิ่มท้องแล้วก็ได้เอนกายพิงเก้าอี้ หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
ด้านนอกนั้นมีเรือสำราญหลายลำล่องลอยอยู่ในแม่น้ำฉินหวาย ดวงไฟสีแดงได้แต่งแต้มให้แม่น้ำฉินหวายแห่งนี้ดูงดงามมากยิ่งขึ้น
ความงดงามเช่นนี้เกรงว่าเขาจะได้เห็นเป็นคราสุดท้ายแล้ว จึงอดรู้สึกเสียดายมิได้
“องค์ชายยังมีเรื่องอันใดที่ยังมิได้จัดการหรือไม่ ? หากข้าสามารถจัดการแทนได้ ข้าจะช่วยท่านเอง”
หยูเวิ่นชูนิ่งเงียบไปชั่วครู่ อยู่ ๆ ก็นึกถึงความดูถูกเหยียดหยามที่ได้รับเมื่อคราที่หลบหนีอยู่ในหรงโจวขึ้นมาได้
“ที่ถนนเจี้ยนหนานซีมีขุนนางระดับสูงแห่งหรงโจวนามว่าถังหลิน เขาทุจริตบิดเบือนกฎหมายและข่มเหงชาวบ้าน ชาวบ้านเหล่านั้นให้ฉายาเขาว่าไอ้สวะถัง หากเจ้ามิกลัวว่ามือจะแปดเปื้อนก็ช่วยจัดการให้ข้าหน่อยเถิด มันมีบุตรชายคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่าคุณชายถังที่สาม ไอ้คนผู้นี้…เป็นคนสมควรตายอย่างแท้จริง”
ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจว่าเหตุใดหยูเวิ่นชูถึงได้เอ่ยคำร้องของ่าย ๆ เช่นนี้ออกมา เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความจริง ข้าย่อมจะทำตามที่พระองค์ต้องการ”
ถังหลินที่อยู่ห่างไกลไปหลายพันลี้จะไปรู้ได้เยี่ยงไรว่าลูกชายคนที่สามของตนเคยสั่งให้ลูกน้องใช้ไม้ทุบตีขอทานคนหนึ่ง แล้วจะกลายมาเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ !
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามว่า “ข้ารู้มาว่าองค์ชายมีบุตรีผู้หนึ่ง ประสงค์จะฝากฝังไว้กับข้าหรือไม่ ? ”
ในครานี้หยูเวิ่นชูนิ่งเงียบไปนานกว่าเดิม เขานึกถึงคำเอ่ยที่เฉินจั่วจวินสั่งเสียไว้ก่อนสิ้นลม และนึกถึงบุตรสาวหยูอี้ซีที่ว่านอนสอนง่าย อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าการที่ได้เป็นจิ่นชินอ๋องอยู่ในเมืองซีหรงอย่างสงบสุข และครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไปตลอดชีวิต คงจะเป็นภาพที่งดงามมิน้อย
อยู่ ๆ เขาก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นจริงจิตใจของเขาจะสงบนิ่งได้เยี่ยงนั้นหรือ ? เฮ้อ ! มนุษย์หนอ มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา มิเห็นการจากลาย่อมมิเห็นค่าของกันและกัน
เขาแย่งชิงบัลลังก์กับเสด็จพี่ใหญ่หยูเวิ่นเทียนมาสิบกว่าปี แล้วสุดท้ายเป็นเช่นไรเล่า ?
ในที่สุดน้องห้าผู้ที่มิได้แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด กลับได้รับผลประโยชน์ไปแต่เพียงผู้เดียว
ฮองเฮาซั่งมีวิธีการที่เด็ดขาดเสียจริง !
เขาดึงสติกลับคืนมาแล้วพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ “หากเจ้ามิกลัวลำบาก ข้าขอฝากอี้ซีด้วย เมื่อนางเติบโตขึ้นจงให้นางแต่งงานกับชายธรรมดาและอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้ากับมารดาให้นางฟัง”
“รับทราบ”
“เจ้าจงจำเอาไว้ว่าอี้ซีเกิดวันที่สิบห้า เดือนสิบสอง รัชสมัยเซวียนลี่ที่สาม ตอนนี้นางใกล้จะอายุครบ 7 ปีแล้ว แต่ทว่าข้ายังมิเคยจัดงานวันเกิดให้นางเลยสักครา”
“ข้าจะทำให้นางอย่างแน่นอน”
หยูเวิ่นชูเลื่อนสายตากลับมาแล้วยกยิ้มขึ้นอย่างเหม่อลอย “พวกเราสองคนนับว่าเป็นศัตรูกันหรือไม่ ? ”
“มิเชิง… แท้ที่จริงเดิมทีพวกเรานับเป็นสหายกันได้ เพียงแต่ว่าหนทางนี้มีทางแยกตั้งแต่เริ่มจึงได้ดำเนินมาถึงจุดนี้ หากท่านทำหน้าที่เป็นจิ่นชินอ๋องอย่างสงบ บางทีปลายทางอาจจะมาบรรจบกันได้ แต่ทว่าบัดนี้…”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้าไปมา “พวกเรามิใช่ศัตรูแต่ก็มิใช่สหายกัน”
“เป็นเพียงผู้สัญจรผ่านมาเท่านั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา “ใช่ ! เป็นเพียงผู้ที่สัญจรผ่านมาเท่านั้น”
“คาดมิถึงว่าหลังจากข้าจบชีวิตลงจะต้องมอบหมายให้ผู้สัญจรผู้หนึ่งช่วยจัดการ… หลังจากศีรษะของข้าถูกตัดออก เจ้าช่วยเก็บกลับมาได้หรือไม่ ? หากสามารถเย็บติดดังเดิมได้ก็ดี หากมิได้ก็มิเป็นไร แต่จงฝังข้าไว้ที่ภูเขาหนานซานเพราะตำแหน่งนั่นสามารถมองเห็นเรือนหนานซานได้อย่างพอดี”
“เสด็จย่าโปรดปรานเรือนหนานซานยิ่ง ข้าจะช่วยนางดูแลเรือนหนานซาน ต่อให้ทำได้เพียงแค่มองก็ยังดี”
“ที่แห่งนั้นกลายเป็นของข้าไปแล้ว ! ”
หยูเวิ่นชูหัวเราะร่าออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า เช่นนั้นยิ่งดีเข้าไปใหญ่ หากมีเจ้าคอยดูแลอยู่ก็คงมิมีผู้ใดกล้ายุ่งกับเรือนหนานซานแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองหยูเวิ่นชูตาเขม็ง ลอบนึกในใจว่าหากหยูเวิ่นชูคอยมองมาจากตรงนั้นคงน่ากลัวพิลึก
“พวกเรากลับมาสนทนาเรื่องจริงจังกันเถิด ลัทธิจันทรามีผู้มากความสามารถระดับปรมาจารย์อยู่คนหนึ่ง องค์ชายทราบหรือไม่ว่าคือผู้ใด ? ”
“ข้าเองก็มิรู้ ! เฉินจั่วจวินฮูหยินของข้าก็สิ้นใจภายใต้น้ำมือของมันเช่นกัน…”
หยูเวิ่นชูนิ่งเงียบไปชั่วครู่ พลางหวนนึกถึงภาพในค่ำคืนนั้น “หากข้าเดามิผิดน่าจะเป็นผู้อาวุโสของเช่อเหมิน”
อยู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “กุญแจน่าจะอยู่ในมือของผู้อาวุโสเช่อเหมิน”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่นแล้วกระซิบถามว่า “ก่อนสิ้นใจเฉินจั่วจวินมิได้บอกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นางยังมิทันได้บอก คำสุดท้ายที่นางเอ่ยออกมามีเพียงพยางค์เดียว”
“เอ่ยว่าเยี่ยงไร ? ”
“ซือ… ! ”
หยูเวิ่นชูกัดฟันแล้วส่งเสียงนี้ออกมา ส่งผลให้ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแน่นและทำหน้ามุ่ย “เท่านี้หรือ ? ”
“มีใบไม้ใบหนึ่งลอยมาตัดหลอดลมของนาง แล้วทุกอย่างก็จบสิ้นลง”
“แล้วศพของนางอยู่ที่ใดกัน ? ”
“หน้าผานอกฉางถิง”
ฟู่เสี่ยวกวนยืดหลังตรง หนึ่งพยางค์นั้นอาจจะเป็น ซือ ซัง หรือซ่ง ย่อมมีความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ทว่ามีอยู่หนึ่งอย่างที่แน่ชัดนั่นก็คือคนผู้นี้เป็นปรมาจารย์ !
คงต้องรบกวนท่านอาจารย์ช่วยสืบหาว่ามีปรมาจารย์ผู้ใดที่ชื่อขึ้นต้นด้วยพยางค์เหล่านี้บ้าง
เพราะนี่เป็นคลังสมบัติของราชวงศ์ก่อน !
อืม… หรือว่าข้าควรจะไประเบิดปากประตูเสียเลย ?
อยู่ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็ยกยิ้มขึ้น หวนนึกถึงจดหมายจากซีซานที่แจ้งมาว่าดินปืนดำได้ทำออกมาสำเร็จแล้ว
หากใช้เจ้าสิ่งนี้ในการระเบิดคาดว่าจะเปิดปากทางเข้าได้มิยากเท่าใดนัก
“คืนนี้องค์ชายพักผ่อนที่หงซิ่วจาวอย่างสบายอารมณ์เถิด ท่านสามารถวางใจได้เพราะที่นี่มีคนคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไร้ปัญหาอันใดอย่างแน่นอน พอรุ่งขึ้นข้าจะมารับท่านเข้าวัง”
หยูเวิ่นชูพยักหน้า “รอให้สุริยาขึ้นแล้วค่อยมารับข้า อีกอย่าง…ขอให้ข้าได้เดินทางไปอย่างสมเกียรติด้วย”
“…ตกลง ข้าจะนำอาภรณ์สำหรับเปลี่ยนมาให้ท่าน ส่วนป้ายหยกนี้จงเก็บเอาไว้เถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนส่งป้ายหยกคืนให้หยูเวิ่นชูแล้วมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก เขาลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ฟู่เสี่ยวกวนและสวี่ซินเหยียนก้าวเหยียบตรงท่าเรือแล้วมองไปทางวัดฟูจื่ออันมืดมิดก่อนจะหัวเราะออกมา “บนภูเขานั้นมีต้นพุทราอยู่หนึ่งต้น รอให้ลูกพุทราสุก ข้าจะพาเจ้าไปลิ้มรส ! ”
สวี่ซินเหยียนพยักหน้าด้วยอารามดีใจ ท่ามกลางความเงียบสงบได้ปรากฏรถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้าไปทางจวนติ้งอันป๋ออย่างเชื่องช้า