ตอนที่ 649 ไปตรวจสอบให้ข้า
ในงานเลี้ยงภายในครอบครัวนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้ปลูกฝังแนวคิดที่ว่าสตรีสามารถช่วยฮ่องเต้แบกผืนฟ้านี้ได้
ความคิดเช่นนี้ทำให้พระสนมหนิงและหยูชิงหลานรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก !
สตรีสามารถเป็นข้าราชการได้ด้วยหรือ ?
สตรีดูแลการค้าขายได้หรือไม่ ?
สิ่งที่บุรุษทำได้ สตรีก็สามารถทำได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
สตรีควรดูแลสามี สั่งสอนบุตรและดูแลความเรียบร้อยภายในจวนเท่านั้นมิใช่หรือ ?
ทันทีที่แนวคิดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ก็ได้พลิกหลักคำสอนของสตรีและได้ลบล้างการปฏิบัติตนของสตรีที่มีมานานนับพันปีไปโดยสิ้นเชิง
หากสตรีในใต้หล้าสามารถปลดพันธนาการเหล่านั้นออกได้จริง แล้วสามารถเข้าร่วมการสอบขุนนางเฉกเช่นบุรุษได้ หากสตรีสามารถเดินท่ามกลางแสงสุริยาได้เท่าเทียมกับบุรุษ สุดท้ายแล้วผืนปฐพีนี้จะกลายเป็นเยี่ยงไรกัน ?
นับเป็นเรื่องยากสำหรับพวกนางที่จะจินตนาการถึงได้ แม้ว่าฮองเฮาซั่งจะมองการณ์ไกลอยู่เสมอ แต่แท้ที่จริงแล้วในใจของนางก็มิอาจให้คำตอบได้เช่นกัน
ท้ายที่สุดฮ่องเต้จึงมีพระประสงค์ที่จะทำการทดลองที่ว่อเฟิงเต้าก่อน… จากมุมมองของพระองค์เห็นว่าเรื่องนี้อาจจะส่งผลกระทบมิต่างจากนโยบายใหม่ของราชวงศ์หยู ดังนั้นควรเฝ้าดูอย่างรอบคอบ !
หากสตรีพากันไปค้าขายและเป็นข้าราชการเสียหมด แล้วผู้ใดจะมารับหน้าที่ให้กำเนิดบุตรเล่า ?
พระองค์รู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก จึงปฏิเสธแนวทางของฟู่เสี่ยวกวนที่จะใช้วิธีการนี้กับทุกเมืองในราชวงศ์อยู่ และออกพระราชโองการเฉพาะที่ว่อเฟิงเต้าแทน
ในมุมมองของฟู่เสี่ยวกวน เขาถือว่าเรื่องนี้ได้บรรลุจุดประสงค์แล้ว
ขอเพียงเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ที่ว่อเฟิงเต้า ขอเพียงแค่ซือหม่าเช่อสามารถสร้างความสำเร็จที่ว่อเฟิงเต้าได้ นางก็จะสามารถเป็นแบบอย่างให้แก่สตรีในใต้หล้านี้ได้อย่างแน่นอน
พลังของแบบอย่างนั้น ไร้ที่สิ้นสุด และฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งกว่าผู้ใด
ถ้าเช่นนั้นก็ให้สิทธิของสตรีค่อย ๆ เจริญงอกงามขึ้นมาเถิด
หลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญแล้ว เขาก็ได้เดินทางออกมาจากวังเตี๋ยอี๋ แต่ทว่าก่อนจะจากไป เขาได้ทิ้งเครื่องหมายเอาไว้ให้ขันทีเจี่ย
ฟู่เสี่ยวกวนต้องการให้ฝูงมดไปตรวจสอบบางสิ่งให้แก่ตน อย่างเช่น…เรื่องขององค์หญิงใหญ่และต้นเหมยในสวนดอกไม้ในตำหนักขององค์หญิงใหญ่
……
ศาลาเถาหราน ณ จวนฟู่
ในยามที่ชาหยี่ซือต้มเสร็จแล้วนั้น ขันทีเจี่ยก็มาถึงศาลาพอดี
“กระหม่อมขอคารวะองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
“มิต้องมากพิธี…เชิญท่านนั่งลงเถิด ! ”
“ขอบพระทัยองค์ชาย”
ขันทีเจี่ยนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน เขารินน้ำชาให้ชายชราหนึ่งถ้วยแล้วเอ่ยถามออกมาว่า “องค์หญิงใหญ่เป็นคนเยี่ยงไรหรือ ? ”
ขันทีเจี่ยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน “องค์หญิงใหญ่หยูซูหรงปีนี้ก็อายุ 32 ชันษาแล้ว ยังมิได้อภิเษกสมรสแต่อย่างใด นับตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ นางก็ได้รับหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับพ่อค้าหลวงของราชวงศ์หยู แน่นอนว่าการซื้อขายทั้งหมดภายในราชวงศ์นี้มีนางเป็นผู้จัดการ… นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฮองเฮาซั่งค่อนข้างดีเลยทีเดียว เพราะฮองเฮาซั่งถึงขั้นยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งหมดให้นางดูแล นับว่าเป็นสตรีที่ฉลาดมากยิ่งนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามต่ออีกว่า “นางมิมีบุรุษที่ชื่นชอบหรือ ? อาทิเช่น…หนิงหยู่ชุน”
“คือว่า… หนิงหยู่ชุนมีบุตร 2 คนแล้ว หากจะกล่าวถึงเรื่องความรักขององค์หญิงใหญ่ เมื่อก่อนนั้นก็เคยมีข่าวลืออยู่บ้าง ลือกันว่านางตกหลุมรักบัณฑิตจากสำนักศึกษา เขาผู้นั้นมีภูมิหลังตระกูลเป็นเพียงแค่ชนชั้นธรรมดา แต่บุคลิกกลับโดดเด่นยิ่งและอีกทั้งยังมีความสามารถเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้วอดีตฮ่องเต้มิเห็นด้วย จึงมีบัญชาให้สังหารบัณฑิตผู้นั้นเสีย”
ขันทีเจี่ยหยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อว่า “ตั้งแต่นั้นมาอุปนิสัยขององค์หญิงใหญ่ก็เปลี่ยนไป ลือกันว่าสิ่งที่นางชื่นชอบก็เปลี่ยนไปด้วย บ้างก็เล่าลือกันว่านางชอบ…สตรี ! ดังนั้นนางจึงยังมิแต่งงาน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงงัน นี่…เป็นเรื่องที่น่าตื่นตกใจอย่างแท้จริง !
ประมาณว่าชอบเพศเดียวกันใช่หรือไม่ ?
“เหตุใดองค์ชายถึงได้สนใจเรื่องขององค์หญิงใหญ่ขึ้นมากันพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบโบกมือ “ข้ามิได้สนใจหรอก เพียงแค่อยากรู้ว่านางได้ติดต่อกับคนของลัทธิจันทราบ้างหรือไม่ ? ”
“มิมีส่วนเกี่ยวข้องจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วสงสัย “มีต้นเหมยอยู่ที่อารามซุ่ยเยว่ 1 ต้น เมื่อตอนที่อยู่ในสงครามชายแดนตะวันตกเฉียงใต้นั้น ข้าจับตัวปู้เนี่ยนชือไท่ไว้ได้แต่นางก็ถูกปรมาจารย์สังหารเสียก่อน ก่อนสิ้นลมนางได้กล่าวถึงต้นเหมยที่อารามซุ่ยเยว่ พอกลับมาถึงเมืองหลวงข้าได้ไปตรวจสอบดูที่อารามซุ่ยเยว่ แต่ทว่าต้นเหมยที่ลานนั้นได้หายไปแล้ว…”
ฟู่เสี่ยวกวนโน้มตัวลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปที่ตำหนักขององค์หญิงใหญ่จึงพบว่ามีต้นเหมยที่คล้ายคลึงกับต้นที่อยู่ในอารามซุ่ยเยว่ที่หายไปอยู่ในสวนดอกไม้ที่ตำหนักของนาง”
“มีความลับซ่อนอยู่ในต้นเหมยและมีส่วนเกี่ยวข้องกับเช่อเหมินแห่งลัทธิจันทรา บัดนี้ลัทธิจันทราแทบจะมิหลงเหลืออยู่แล้ว แต่ก็มิมีผู้ใดรู้เช่นกันว่าเช่อเหมินแฝงตัวอยู่ในใต้หล้านี้กี่คน”
ขันทีเจี่ยตื่นตกใจเสียจนต้องชะงัก ฝูงมดให้ความสำคัญกับลัทธิจันทราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไทเฮาซี
สำหรับเช่อเหมินนั้นฝูงมดก็กำลังสืบหาอยู่เช่นกัน ขันทีเจี่ยรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาตอนนี้ เขากลับไม่เคยรู้มาก่อนเลย
“…กระหม่อมจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“มิต้องรีบร้อน เพราะนอกจากนี้… ข้ายังมีอีกสองเรื่องให้ท่านจัดการ”
“องค์ชายโปรดรับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ลำดับขั้นปรมาจารย์ในใต้หน้านี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าบัดนี้หลงเหลือผู้ใดอยู่บ้าง ? ”
ขันทีเจี่ยขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ทูลองค์ชาย มีซ่งชิงเถียนเจ้าสำนักภูเขาดาบ และ…นอกจากนี้ก็มีเพียงปรมาจารย์สำนักเต๋าขององค์ชาย อาจารย์ท่านนั้นแซ่ซู นามฉางเซิง”
“ปรมาจารย์เหลืออยู่เพียงเท่านี้หรือ ? ”
ขันทีเจี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็ส่ายศีรษะไปมา “กระหม่อมรู้เกี่ยวกับปรมาจารย์เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนี้มิมีอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองจันทราที่สว่างกระจ่างตาบนท้องนภา ประการแรกควรตัดอาจารย์ที่มิเคยพบเจอกันออกก่อน แล้วเหลือไว้เพียงซ่งชิงเถียนเจ้าสำนักภูเขาดาบ
“ท่านรู้จักซ่งชิงเถียนมากน้อยเพียงใด ? ”
“บัดนี้… เขามีอายุ 52 ปีแล้ว ตอนที่เขาอายุ 33 ปี เขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ที่น้ำตกว่านจางข้างภูเขาดาบ จนถึงบัดนี้ก็ผ่านมาแล้ว 19 ปี เขามีวินัยสูงและหมกมุ่นอยู่แต่กับดาบ มิประสงค์ที่จะแต่งงานไปชั่วชีวิต บัดนี้ก็ผ่านไปแล้วถึง 3 ปีที่เขามิออกมาจากภูเขาดาบเลย กล่าวว่าเขากำลังฝึกวิชาทลายนภา… มีลางสังหรณ์ว่าจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกจึงมิได้ออกจากภูเขาดาบเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสงสัยว่าผู้ที่หลงใหลในเรื่องดาบเช่นนี้ จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งเช่อเหมินได้หรือไม่ ?
“ส่งคนไปจับตาดูเขาไว้”
“…น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ขันทีเจี่ยมิเข้าใจในเรื่องนี้สักเท่าใดนัก จะให้เฝ้าดูผู้ที่มีฝีมือระดับปรมาจารย์นั้นค่อนข้างยาก…ถือเป็นการเอาศีรษะของตนไปเสี่ยงชัด ๆ เลยมิใช่หรือ ?
“องค์หญิงใหญ่และซ่งชิงเถียนคือเป้าหมายหลักที่ต้องจับตาดูเอาไว้ อีกเรื่องคือสอบสวนเรื่องของหวงจ้งแห่งฝ่ายลงทัณฑ์ให้ถึงที่สุด ครานี้…เขาต้องถูกขังไว้ในขุมนรกสิบแปดชั้น ! ”
ขันทีเจี่ยหัวเราะออกมา “ย่อมได้ตามที่พระองค์ปรารถนาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“คนผู้นั้นมีจุดอ่อนหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“ถึงแม้มิมีจุดอ่อน กระหม่อมก็จะทำให้เขามีจุดอ่อนและมิมีวันหันหลังกลับได้อีก องค์ชายโปรดวางพระทัย”
เมื่อสั่งการไปแล้วสามเรื่อง ฟู่เสี่ยวกวนและขันทีเจี่ยก็ได้เปลี่ยนมาสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องของราชวงศ์อู๋แทน
“บิดาข้า…เจ้าอ้วนนั่น ตอนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ทูลองค์ชาย ฝ่าบาททรงพระปรีชามากยิ่งนัก บัดนี้พระองค์ได้กว้านซื้อที่ดินมากมายในราชวงศ์อู๋ให้แก่องค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจ เรื่องนี้บิดาอ้วนได้เขียนไว้ในจดหมายแล้ว แต่เขามิได้สนใจเพราะราชวงศ์อู๋ทั้งหมดก็เป็นของเขาอยู่แล้ว เรื่องการซื้อที่ดินจึงมิน่าสนใจสักเท่าใดนัก
“เขาซื้อจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิเพียงซื้อเท่านั้น ฝ่าบาททรงซื้อจำนวนมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าเป็นการดีที่องค์ชายจะทราบเรื่องนี้เอาไว้”
เศรษฐีที่ดินรายใหญ่ช่างมีนิสัยเดิมที่ยากจะเปลี่ยนแปลง อนาคตเศรษฐีที่ดินรายเล็กเยี่ยงข้าคงได้แต่นอนนับเงินอย่างเดียวแล้ว
“ตอนนี้หลิงเอ๋อร์เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ตอนนี้นางสบายดีพ่ะย่ะค่ะ นางคิดถึงและเป็นห่วงองค์ชายเป็นอย่างมาก ช่วงนี้ฝ่าบาทมิอนุญาตให้นางออกไปข้างนอกชั่วคราว กล่าวว่ารอให้องค์ชายน้อยอายุครบ 1 ปีเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“อาการบาดเจ็บของนาง…จะทิ้งโรคร้ายติดกายไว้ภายหลังหรือไม่ ? ”
“มีสุ่ยหยุนเจียนคอยปรุงโอสถถวายด้วยตนเอง คาดว่าคงจะไร้ปัญหาอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
อยู่ ๆ ขันทีเจี่ยก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาทำความเคารพฟู่เสี่ยวกวน ยกยิ้มขึ้นแล้วทูลว่า “นอกจากนี้ตอนที่องค์ชายได้เข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋นั้น ไทเฮาซีเคยให้สัญญาเรื่องการแต่งงานของพระองค์เอาไว้ สตรีนางนั้นเป็นหลานสาวของหนานกงอี้หยู่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมีนามว่าหนานกงตงเซวี๋ยพ่ะย่ะค่ะ ! ”