ตอนที่ 652 ขายหนังสือ ณ หลานถิงจี๋
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หยั่งรู้เลยว่าภรรยาทั้งสามกำลังวางแผนเรื่องความสำราญทางเพศให้แก่ตนอยู่ บัดนี้เขาอยู่ที่พระตำหนักเฉิงเทียน ซ่างกวนเหวินซิ่วได้รับพระราชโองการให้เป็นผู้ติดประกาศรายชื่อของบัณทิตที่ได้รับคัดเลือกจากการสอบเอินเคอไว้ที่หลานถิงจี๋
นอกจากนี้ยังให้ขันทีเจี่ยติดตามซ่างกวนเหวินซิ่วไปด้วย เนื่องจากฝ่าบาทยังมีอีกหนึ่งพระราชโองการซึ่งนั่นก็คือรายชื่อสิบอันดับแรกของการสอบเอินเคอจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย
ข่าวการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสอบเอินเคอในวันนี้ได้แพร่สะพัดมาระยะหนึ่งแล้ว
ซือหม่าเช่อกลับมาแต่งกายเป็นบุรษอีกครา
“เสี่ยวซิงเอ๋อร์ ครั้งนี้เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นธรรมชาติมากกว่าคราก่อนหรือไม่ ? ”
เสี่ยวซิงเอ๋อร์เบ้ปาก “คุณหนู ท่านคิดให้ถี่ถ้วนอีกคราเถิด ถ้าหากมิถูกคัดเลือกย่อมเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากถูกคัดเลือกขึ้นมาจริง ๆ ท่านต้องปลอมตัวเป็นบุรุษไปอีกนานแสนนานเลยนะเจ้าคะ ! ”
“อย่าเอาแต่บ่นเลย ข้ารู้ดี…เจ้าเป็นเพียงแค่สาวใช้จะไปรู้เรื่องรู้ราวอันใดกัน ครานี้ข้าต้องถูกคัดเลือกอย่างแน่นอน ! ฮ่า ๆ รอให้คุณหนูผู้นี้ได้แสดงความสามารถที่ว่อเฟิงเต้าเสียก่อนเถิด เมื่อถึงตอนนั้นข้าต้องร่ำรวยเงินทองมากเป็นแน่ เมื่อกลับบ้านเกิดอีกคราอาจจะทำให้ท่านปู่ตื่นตกใจเสียจนเป็นลมเลยก็ได้นะ ! ”
เสี่ยวซิงเอ๋อร์ชายตามองซือหม่าเช่อหนึ่งครา ลอบคิดในใจว่าหญิงสาววัยเท่านางควรจะออกเรือนได้แล้ว แต่ทว่านางกลับอยากรับราชการเป็นขุนนาง !
หากเป็นขุนนางอยู่สามถึงห้าปีแล้วต่อจากนี้จะหาคู่ครองได้เยี่ยงไร !
ทว่าซือหม่าเช่อกลับมิได้คิดมากเช่นสาวใช้ “ไปไปไป ไปดูประกาศผลที่หลานถิงจี๋ คุณหนูของเจ้าจะต้องเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกเป็นแน่ ! ”
คุณหนูและสาวใช้ลงจากเรือนไปพร้อมกัน บังเอิญได้พบกับซือหม่าจือที่กำลังเดินสวนมาพอดี
ซือหม่าจือเห็นซือหม่าเช่อแต่งตัวเช่นนั้นจึงหลุดหัวเราะออกมา ส่งผลให้นางมีโทสะจนต้องทุบหมัดไปที่แขนของเขา “เจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้าเยี่ยงนั้นหรือ ! เจ้าหัวเราะมาอีกสิ ! ข้าจะตีเจ้าให้ตายไปเลย ! ”
นั่นจึงทำให้ซือหม่าจือหัวเราะเข้าไปใหญ่ เขาหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล
“ข้าว่า… ข้าว่านะท่านพี่หญิง พวกเรามาอยู่กันแบบสงบสุขมิดีกว่าหรือ ? ท่านพ่อบอกว่าท่านไปสอบขุนนาง เดิมทีข้ามิเชื่อ แต่ทว่าบัดนี้ข้าเชื่อแล้ว ท่านอยากเป็นขุนนางประจำอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซือหม่าเช่อถลึงตาทั้งสองข้างใส่น้องชาย “มาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะโกหกเจ้าไปเพื่ออันใดกัน ? ”
“เอาเถิด เอาเถิด ! ท่านพ่อสั่งให้ข้าไปดูผลสอบกับท่าน ท่านพ่อบอกว่าหากท่านถูกคัดเลือกย่อมเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนี้จะต้องแจ้งให้ท่านปู่ทราบ”
“มิได้เด็ดขาด หากท่านปู่ทราบแล้วข้าจะไปรับราชการได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“ขึ้นรถม้าเถิด ขึ้นมาก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน ! ”
ทั้งสามจึงขึ้นรถม้าแล้วเดินทางตรงไปยังหลานถิงจี๋ทันที
“ท่านพี่หญิง ข้านับถือท่านจากใจจริง ! ” ซือหม่าจือประกบสองมือคำนับเพื่อแกล้งให้ซือหม่าเช่อกระหยิ่มยิ้มย่อง “เฮอะ ตอนนี้ยังมิถึงเวลาที่เจ้าจะมาแสดงความนับถือต่อพี่สาวผู้นี้ รอให้ข้าได้เป็นผู้ปกครองระดับอำเภอแล้วทำผลงานไต่เต้าจนได้เป็นผู้ปกครองเขตเสียก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยนับถือข้าก็ยังมิสาย”
ซือหม่าจือหัวเราะด้วยความขมขื่น “แต่ท่านพี่หญิง ท่านเป็นสตรีมิใช่บุรุษ ! ปีนี้ท่านก็อายุ 19 ปีแล้ว ! หากรอให้ท่านเป็นผู้ปกครองเขตแล้ว… ท่านจะยังแต่งงานได้อยู่อีกหรือ ? หรือท่านคิดว่าติ้งอันป๋อจะชอบหญิงสาวที่มีอายุยี่สิบหรือสามสิบปีกัน ? ”
ซือหม่าเช่อเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการผงะ ส่วนญาติผู้น้องก็ยังเอ่ยต่อไปอีกว่า “ติ้งอันป๋อนั้นเป็นผู้ใดกัน ? ถ้าหากท่านชอบเขาจริง ๆ ข้าย่อมสนับสนุนให้ท่านไปที่ว่อเฟิงเต้า อาจจะไปเป็นผู้ปกครองตำบลก็ย่อมได้ แต่ทว่าท่านอย่าได้ลืมเลือนจุดประสงค์ของตนที่ว่าจะต้องทำให้เขาเกิดความประทับใจอย่างลึกซึ้ง แล้วหาโอกาสเข้าใกล้เขา เพื่อเป็นสตรีของเขาเสีย”
“ติ้งอันป๋อมิได้ต้องการให้ท่านมีความสามารถมากมายหรือต่อให้ท่านมีความสามารถล้นฟ้า เยี่ยงไรเสียท่านก็มิอาจเอาชนะเขาได้ ! เช่นนั้นติ้งอันป๋อต้องการคนแบบใดกัน ? สิ่งที่เขาต้องการคือความห่วงหาอาทรจากท่านในรูปแบบของสตรีต่างหาก เพราะเยี่ยงไรเสีย เขาก็เป็นบุรุษ”
สีหน้าของซือหม่าเช่อขึ้นสีแดงระเรื่อ นางหันไปมองซือหม่าจือแล้วทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคำเอ่ยของเขาช่างมีเหตุผลมากยิ่งนัก
วันนั้นที่หอซื่อฟาง นางได้ส่งแรงปรารถนาที่มีให้ฟู่เสี่ยวกวนได้ประจักษ์ เมื่อไปถึงว่อเฟิงเต้าแล้ว ย่อมต้องทำผลงานด้านการปกครองให้เป็นที่สะดุดตาได้ภายในหนึ่งปี เช่นนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็จะสามารถจดจำนางได้
แท้ที่จริงเรื่องนี้มิอาจปิดบังท่านปู่ได้หรอก เพราะหากนางถูกคัดเลือกจริง ๆ ก็จำเป็นต้องมีแรงสนับสนุนจากท่านปู่
อีกสักครู่หากทราบผลการจัดลำดับแล้ว ก็จำเป็นต้องเขียนจดหมายเรียนให้ท่านปู่ได้รับทราบโดยเร็ว
ในขณะเดียวกันนั้น หยุนซีเหยียนก็ได้จ้างรถม้าเพื่อบรรทุกหีบห่ออันแสนหนักอึ้งไปยังหลานถิงจี๋
ในหีบห่อนี้ได้บรรจุหนังสือรวมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้นับร้อยเล่ม
หนังสือรวมบทกวีเหล่านี้ถูกตีพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มที่วิจิตรงดงาม ต้นทุนทั้งหมดคือ 2 ตำลึงต่อหนึ่งเล่ม ดังนั้นเขาจึงวางแผนกำหนดราคาที่เล่มละ 10 ตำลึง และมีขายเพียงแค่ 100 เล่มเท่านั้น
ที่นี่คือเมืองจินหลิง ผู้คนในเมืองหลวงล้วนมีเงินทองกันทั้งสิ้น ! เช่นนี้แล้วหนังสือรวมบทกวีจะต้องเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงอย่างแน่นอน
การวางจำหน่ายเพียง 100 เล่มมีผลดีคือ ขายหมดเร็ว หากเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยย่อมมิส่งผลกระทบอันใดต่อติ้งอันป๋ออย่างแน่นอน
เมื่อหาเงินได้ 800 ตำลึงก็จะต้องเลี้ยงหม้อไฟคุณชายฟู่และคุณชายซือหม่าสักครา เพื่อมิให้ติดค้างทางสินน้ำใจต่อกัน
คุณชายฟู่ท่านนั้นดูเหมือนจะสอบมิผ่าน แต่เขาก็มิได้คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอันใด เมื่อจากกันแล้ว การที่จะได้หวนกลับมาพบกันอีกครานั้นยากมากยิ่งนัก
คุณชายฟู่เป็นคนตรงไปตรงมา วาจามิหยาบคาย มีมารยาท ฐานะทางครอบครัวดีแต่น่าเสียดายที่มิอาจได้ไปร่วมรับราชการด้วยกัน
แต่ทว่าคุณชายซือหม่าท่านนั้นสิ คนของตระกูลซือหม่าทั้งมีเงินทองและมีความสามารถ น้องซือหม่าท่านนั้นจะต้องเป็นห้าอันดับแรกและได้รับการคัดเลือกอย่างแน่นอน
หากเขามีตระกูลซือหม่าคอยหนุนหลัง การจะไปทำงานที่ว่อเฟิงเต้าย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย
การไปว่อเฟิงเต้าครานี้มีสหายเพิ่มขึ้นมา 1 คน หนทางก็มากขึ้นอีกหนึ่งทาง เขายังมิรู้ว่าตนเองจะถูกส่งไปยังเมืองใด ถ้าเกิดต้องการความช่วยเหลือเล็กน้อยจากคุณชายซือหม่า การจุดธูปขอความช่วยเหลือจากเขาย่อมมีผลดียิ่งกว่าการจุดธูปบนบานองค์พระพุทธรูปเสียอีก
เขานั่งคิดอยู่เช่นนั้นมาตลอดทาง แล้วก็เดินทางมาถึงทะเลสาบเว่ยยางในที่สุด เขาแบกหีบห่อบรรจุหนังสือรวมบทกวีขึ้นบ่าจากนั้นก็เปลี่ยนมาโดยสารเรืออูเผิงที่อัดแน่นและเบียดเสียดจนมาถึงหลานถิงจี๋
บัดนี้ยังเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ คาดว่าการติดประกาศคงจะมาถึงอีกหนึ่งชั่วยามข้างหน้า
แค่หนึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้วสำหรับการขายหนังสือรวมบทกวี 100 เล่มให้หมด เพราะหลานถิงจี๋ในตอนนี้ ก็ได้มีผู้คนมารอกันอย่างเนืองแน่นแล้ว
หยุนซีเหยียนตรงดิ่งไปยังลานกว้าง จากนั้นก็นำผ้าไหมสีแดงออกมาจากหีบห่อแล้วปูไว้บนพื้น จากนั้นก็นำหนังสือรวมบทกวีมาจัดเรียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
สิ่งที่เขาทำสามารถดึงดูดสายตาของเหล่าปัญญาชนมากมายและมีผู้คนมามุงดูด้วยความสงสัย เขานำกระถางธูปออกมาจากหีบจากนั้นก็ทำการจุดธูป
เขายืนอยู่ด้านหน้าแผงขายหนังสือของตนเอง จากนั้นก็ก้มลงคำนับหนังสือเหล่านั้นอยู่สามครา แล้วก็ปักธูปลงไปในกระถาง
การที่เขาทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ดึงดูดผู้คนได้มากยิ่งขึ้น ไม่นานนักตรงบริเวณนั้นก็มีผู้คนเบียดเสียดอัดแน่นกันจนแทบจะหายใจมิออก
“ท่านบัณฑิตทั้งหลาย ต่อไปข้าจะขอใช้ทำเลทองแห่งนี้ มาขายหนังสือรวบรวมบทกวีของติ้งอันป๋อให้ทุกท่านด้วยใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง ! ”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น เหล่าบัณทิตต่างก็ส่งเสียงฮือฮาออกมา
เขายกสองมือขึ้นคำนับอย่างมีมารยาท “ติ้งอันป๋อคือผู้เป็นเลิศด้านงานประพันธ์เหนือผู้ใดในใต้หล้า กิตติศัพท์ของท่าน ตัวข้าคงมิจำเป็นต้องเท้าความให้ยืดเยื้อ ครานี้หนังสือรวมบทกวีที่นำมาขายมีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยเล่ม ทุกท่านอย่าทำชุลมุน เพราะหนึ่งเล่ม…” เขาเหลือบมองผู้คนที่มาออกันอยู่ด้านหน้าอย่างแน่นหนา จึงตัดสินใจที่จะปรับราคาขึ้นไปอีก
“หนึ่งเล่มราคา 30 ตำลึง โปรดเข้าแถวเรียงกันมาทีละคน หากขายหมดแล้วก็หมดเลย มิหลอกลวงอย่างแน่นอน ! 1 คนสามารถซื้อได้เพียง 1 เล่มเท่านั้น ! ”
“ไอหยา…หนังสือรวมบทกวีของติ้งอันป๋อมีขายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ติ้งอันป๋อประพันธ์บทกวีไว้ตั้งมากมาย ตัวข้าต้องครอบครองสักเล่มแล้ว… ! ”
“อย่าเบียดกัน ข้าขอก่อน เอาให้ข้า 1 เล่ม ! ”
“ท่านผู้นี้หากท่านมิซื้อก็โปรดหลีกทางให้ข้าเถิด ! ”
“หนังสือรวมบทกวีของติ้งอันป๋อเป็นดั่งสมบัติตกทอดของวงศ์ตระกูล ข้าจะซื้อด้วย 1 เล่ม ! ”
“ผู้ใดบังอาจผลักข้า ? ”
“ไอ้หยา… ด้านหลังอย่าเบียดกันสิ ! ”
“บ้าเอ้ย ! เฮ้เฮ้เฮ้… ข้าจ่ายเงินไปแล้วก็เอาหนังสือมาให้ข้าสิ ! ”
“…”
หยุนซีเหยียนคาดมิถึงจริง ๆ ว่าจะได้รับความสนใจมากมายถึงเพียงนี้ ธูปก้านนั้นถูกเผาไหม้ยังมิถึงหนึ่งข้อนิ้วเลยด้วยซ้ำหนังสือรวมบทกวี 100 เล่มก็ถูกจับจองจนหมดแล้ว !
หยุนซีเหยียนอาศัยช่วงที่เกิดความชุลมุนเก็บหีบห่อ แล้วย่องออกไปท่ามกลางฝูงชน ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลอาบใบหน้าแล้วคิดว่าติ้งอันป๋อเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างแท้จริง !
ในจังหวะนั้นเองซือหม่าเช่อก็เดินทางมาถึงพอดี เมื่อเห็นหยุนซีเหยียนจึงแกล้งขู่ขึ้นมาว่า “เจ้าคนหลอกลวง ! จงนำเงินมาแบ่งข้าครึ่งหนึ่ง มิเช่นนั้น…ข้าจะไปฟ้องติ้งอันป๋อประเดี๋ยวนี้แหละ ! ”