ตอนที่ 670 ปฏิบัติการค้นหาขุมทรัพย์ ( 3 )
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
บัดนี้วัดฟูจื่อที่รายล้อมไปด้วยทัศนียภาพเขียวขจีในสายพระเนตรได้แปรสภาพเป็นภูเขาทองคำงามอร่ามตา !
สมบัติของราชวงศ์เฉินที่ในทุกราชวงศ์เฝ้าค้นหามาโดยตลอด บัดนี้ใกล้จะปรากฏต่อพระพักตร์ของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูแล้ว
เมื่อได้สมบัติมหาศาลเหล่านี้มาไว้ในครอบครองก็จะสามารถนำไปทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย พลังและอำนาจของราชวงศ์หยูก็จะไร้เทียมทานแบบที่มิเคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าวันที่จะมีพลังอำนาจเหนือแคว้นฝานและแคว้นอู๋ก็คงจะมาเยือนในอีกมิช้านี้ !
เมื่อปีกลาย ข้าได้ร่างนโยบายกว่ายี่สิบข้อ และคาดว่าจะสำเร็จภายในสามปีนี้เป็นอย่างต่ำ
ยุครุ่งโรจน์ของรัชสมัยไท่เหอได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ส่วนยุครุ่งโรจน์ของรัชสมัยเซวียนลี่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น !
ย่อมจะยิ่งใหญ่และโอ่อ่ากว่ารัชสมัยไท่เหออย่างแน่นอน และนามของข้าจะต้องถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ !
บัดนี้ฮ่องเต้ได้เหยียดพระวรกายขึ้นตรง ทรงยกพระหัตถ์เท้าสะเอวด้วยท่าทีตั้งมั่นราวกับจะกลืนกินฟ้าดิน
ฟู่เสี่ยวกวนเหล่สายตาไปมองฮ่องเต้หนึ่งครา ชายผู้นี้มีท่าทีจริงจังหนักแน่น เขาจึงถอยห่างไปสองก้าว แต่กลับไปชนเข้ากับด้านข้างของเสนาบดีต่งเข้าอย่างจัง
บัดนี้ต่งคังผิงกำลังวาดฝันสวยงามอยู่เช่นกัน จินตนาการว่าตนอาจจะได้เป็นเสนาบดีที่เคยจับต้องเงินทองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หยู
ทว่าภาพฝันต้องกระเจิงเพราะแรงชนจากฟู่เสี่ยวกวน ต่งคังผิงถลึงตาใส่เขาหนึ่งคราจากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความกังวลใจ “ภูเขาลูกนี้สามารถระเบิดได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ท่านพ่อตาโปรดวางใจ ภูเขานี้ย่อมระเบิดได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นแล้วทรัพย์สมบัติจะถูกระเบิดจนปลิวกระจัดกระจายหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะเล็กน้อยแล้วตอบว่า “เป็นไปมิได้ขอรับ สมบัติเหล่านั้นน่าจะถูกฝังไว้ข้างใต้ท้องภูเขา ข้าก็เพียงแค่เปิดส่วนบนสุดของภูเขาออกเพียงเท่านั้น”
ต่งคังผิงยังคงรู้สึกวิตกกังวลจึงพึมพำออกมาว่า “ขออย่าให้สมบัติถูกระเบิดจนปลิวว่อนเลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านพ่อตาคิดว่าภายในนั้นมีสมบัติฝังอยู่มากน้อยเพียงใด ? ”
“ว่ากันว่า…สามารถตีมูลค่าเป็นเงินตราได้หลายพันล้านตำลึงเลยทีเดียว ! ”
“มากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงงัน
ต่งคังผิงเหลือบมองเขาหนึ่งครา “เป็นสมบัติที่ราชวงศ์เฉินเก็บสะสมมานานถึง 500 ปี เกรงว่าจะมีมากกว่านั้นอีก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ปริปากเอ่ยอันใดอีกต่อไป รู้สึกเกิดความเสียดายขึ้นมาภายในใจ เพราะดูเหมือนว่าคนราชวงศ์เฉินจะโง่เขลาที่นำสมบัติมาฝังยังสถานที่เช่นนี้ สถานที่ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองจะเอาสมบัติออกมาก็ยังยาก !
หากอยากจะฉกฉวยสมบัติสักหน่อยก็ดูจะเป็นไปมิได้เสียแล้ว !
กลายเป็นฮ่องเต้ที่ได้เปรียบเพราะได้ครอบครองสมบัติมูลค่ามหาศาลโดยไร้ศัตรูมาแย่งชิง เฮ้อ…ยังดีที่ขอส่วนแบ่ง 20 ส่วนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่างน้อย ๆ ก็มิน่าจะต่ำกว่า 200 ล้านตำลึง !
เมื่อได้เงินก้อนนี้มาไว้ในมือ การจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในว่อเฟิงเต้าย่อมง่ายดายมากยิ่งขึ้น
อืม…100 ล้านเอาใช้ทำถนน เหลืออีก 100 ล้านเอาไว้สร้างสถานศึกษาและจ้างเหล่าอาจารย์ !
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังโลดแล่นอยู่ในจินตนาการ ฮั่วหวยจิ่นก็ได้ลอยลงมาจากท้องนภา
“ระวัง ! ชนวนถูกจุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ! ”
ฮ่องเต้รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทหารราชองครักษ์กว่าพันนายได้มาคุ้มกัน ณ ที่นี่เรียบร้อยแล้ว
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังกลั้นหายใจ…สมบัติหลายพันล้านเชียว !
แม้จะยังรู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก แต่ทว่าได้เห็นกับตาของตนเองสักหน่อยก็ยังดี
เวลาผ่านไปมินาน แต่บัดนี้เหมือนล่วงเลยมานานแสนนาน
ณ ที่แห่งนี้มีผู้คนเบียดเสียดกันจนแออัด แต่ก็เงียบเสียจนไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด ๆ
และแล้ว…
‘ตู้ม… ! ’ เสียงดังสนั่นพื้นพิภพ จากนั้นวัดฟูจื่อก็ได้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจัดกระจาย ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าผืนปฐพีกำลังสั่นสะเทือน
ผู้คนมากมายที่รอชมกำลังหน้าถอดสี เพราะมิเคยเผชิญกับภาพเหตุการณ์เยี่ยงนี้มาก่อน พวกเขายังมิทันรวบรวมสติกลับมาได้ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘ตู้มตู้มตู้มตู้ม… ! ’ ติดกันสี่คราดังสนั่นหวั่นไหว
บ้างก็ตกใจเสียจนสะอื้นไห้
บ้างก็ตกใจเสียจนปัสสาวะราด
บางส่วนก็ตกใจเสียจนกระโดดลงแม่น้ำฉินหวาย
ฮ่องเต้รู้สึกว่าดวงหทัยกำลังสั่นสะเทือน ท่าทีที่แสดงให้เห็นเมื่อครู่มิมีหลงเหลืออีกต่อไป พระองค์รีบกดตัวฟู่เสี่ยวกวนลง
“หมอบลง ! ระวังก้อนหิน ! ”
วัดฟูจื่อมีควันปกคลุมไปทั่วบริเวณ ก้อนหินดินทรายปลิวว่อนกลางท้องนภาราวกับเป็นวันสิ้นโลก
เสียงระเบิดห้าครานี้ดังสนั่นไปทั่วทั้งเมืองจินหลิง ในเวลานั้นเหล่าราษฎรของเมืองจินหลิงก็ยังคงมิเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ สีหน้าของแต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนก
ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นมาคุ้มกันศีรษะของตนแล้วเงยหน้าขึ้นมองวัดฟูจื่อ
ฮ่องเต้หมอบลงกับพื้นและหันไปทอดพระเนตรวัดฟูจื่อด้วยเช่นกัน
“สำเร็จแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“น่าจะสำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเรามิไปดูกันสักหน่อยหรือ ? ”
“ฝ่าบาท ทรงรออีกประเดี๋ยวเถิด เพราะก้อนหินยังร่วงลงมาจากท้องนภาอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามิอยากรออีกต่อไปแล้ว”
“กระหม่อมเองก็รีบร้อนเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่ทว่าชีวิตนั้นสำคัญยิ่งกว่า”
สิ่งที่เขาเอ่ยนั้นมีเหตุผลจึงทำให้ฝ่าบาทปิดพระโอษฐ์เงียบมิตรัสสิ่งใดออกมาอีก
เหตุการณ์ดำเนินอยู่เช่นนี้ครู่หนึ่ง จนกลุ่มหมอกควันที่ปกคลุมวัดฟูจื่อได้อันตรธานหายไปจนสิ้น ฮ่องเต้และฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ขึ้นไปบนภูเขาอย่างรีบร้อนภายใต้การอารักขาที่แน่นหนา
เหล่าเสนาบดีเดินตามอยู่ด้านหลัง ฮั่วหวยจิ่นเหลือราชองครักษ์กว่าหนึ่งพันนาย ประจำการอยู่ที่ทางขึ้นภูเขา
เมื่อฝ่าบาทและฟู่เสี่ยวกวนมาถึงกลางเขา…
บนที่แห่งนี้ทุกสิ่งได้แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง !
ต้นพุทราต้นนั้นมิอาจหลีกหนีจากแรงระเบิดได้ และตรงที่แห่งนี้ก็ถูกระเบิดจนเป็นรูกว้างขนาดใหญ่ !
ฟู่เสี่ยวกวนชะโงกหน้าไปดูพบว่าที่แห่งนั้นเป็นท้องภูเขา แต่มืดสนิทจนมองมิเห็นสิ่งใด
“รีบนำโคมไฟมา ข้าจะลงไปดู ! ”
ไม่นานนักก็มีโคมไฟสว่างขึ้นมาและมีบันใดยาวพาดไปยังปากถ้ำ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ทูลฝ่าบาท พระวรกายทรงมีค่ามากยิ่งนัก โปรดให้กระหม่อมลงไปสำรวจแล้วกลับมารายงานฝ่าบาทในภายหลังดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ข้าเคยเคยฝึกวรยุทธมาก่อน และอยากเห็นขุมทรัพย์เหล่านี้ด้วยตาของตนเอง ! ”
เอาเถิด เจ้าเป็นฮ่องเต้ เจ้าใหญ่สุดอยู่แล้วนี่
ฟู่เสี่ยวกวนให้ฮั่วหวยจิ่นนำเชือกยาวผูกไว้ที่เอวของฝ่าบาท เช่นนี้ก็มิต้องกังวลว่าพระองค์จะตกลงไปแล้ว
เยี่ยนเป่ยซีเองก็ตามขึ้นมาในสภาพหอบแฮก เมื่อมาถึงจุดที่ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ก็ได้ชะโงกหน้าไปดู จากนั้นก็แสดงสีหน้าปลื้มปีติออกมา “สวรรค์ช่วยปกปักรักษาราชวงศ์หยูของเราด้วยเถิด สวรรค์ช่วยปกปักรักษาราชวงศ์หยูของเราด้วย ! ”
เขาตื่นเต้นจนมิเป็นตัวของตัวเอง จนเผลอคว้าพระหัตถ์ของฝ่าบาทมาแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หากได้สมบัติเมื่อใด ฝ่าบาทต้องเสด็จไปไหว้บรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยวเพื่อตรัสกับฮ่องเต้องค์ก่อน ๆ ว่าเราได้พบขุมทรัพย์ของราชวงศ์เฉินแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮ่องเต้ตกพระทัย ตาเฒ่านี่ ข้าจะลงไป เจ้ารีบปล่อยมือข้าประเดี๋ยวนี้นะ !
ราชองครักษ์เดินนำทางลงไปก่อนซึ่งอยู่ภายใต้การนำของฮั่วหวยจิ่น ฟู่เสี่ยวกวนจับบันใดแน่นและก้าวลงไปด้านล่างทีละขั้น แต่ทว่าฝ่าบาทที่แสนรีบร้อนก็ยังมิสามารถตามมาได้ !
“เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าปล่อยมือข้าเถิด ข้าจะไปไหว้บรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยวอย่างแน่นอน ! ”
แต่ทว่าเยี่ยนเป่ยซีก็ยังมิยอมปล่อยพระหัตถ์ และตอนนี้ก็ได้ร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบแก้ม “ฝ่าบาท มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้นถือเป็นความสุขของเหล่าพสกนิกร เป็นความสุขของราษฎรแห่งราชวงศ์หยู ฝ่าบาทยังต้องเสด็จไปสักการะฟ้าดินเพื่อแสดงการขอบคุณต่อสรวงสวรรค์ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ได้ได้ได้ ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่างเลย ครานี้ให้ข้าลงไปดูได้หรือยัง ? ” ฮ่องเต้แทบทรงพระกันแสงออกมา ครานี้เยี่ยนเป่ยซียอมปล่อยพระหัตถ์ให้เป็นอิสระ ด้านฝ่าบาทจึงรีบจับบันได้แล้วดำเนินลงไปทันที
กลุ่มคนที่คอยอยู่ด้านบนนับร้อยได้ชะโงกหน้าลงไปมอง ส่วนคนกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงไป
ฟู่เสี่ยวกวนใช้คบไฟในมือสำรวจไปยังบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด
บริเวณโดยรอบนั้นเป็นกำแพงหินจากฝีมือของมนุษย์ ภูเขาทั้งลูกถูกขุดเจาะทั้งหมด นี่มิใช่งานที่ง่ายเลยจริง ๆ
เขาทอดสายตามองไปยังเบื้องล่าง พบว่ายังคงมืดสนิทดังเดิม ส่วนท้องของภูเขานั้นอยู่ลึกมากยิ่งนัก หรือว่าขุมทรัพย์จะอยู่ใต้ท้องภูเขานี้กัน ?
สถานการณ์ดำเนินไปเยี่ยงนี้จนเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม
ทุกคนได้ลงมาถึงด้านล่างกันเกือบหมดแล้ว
ที่แห่งนี้เป็นพื้นโล่งว่างขนาดใหญ่ พื้นถูกปูด้วยบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายแผ่นหิน ผนังหินโดยรอบมีตะเกียงน้ำมันแห้ง ๆ แขวนเอาไว้อยู่
ฟู่เสี่ยวกวนนำคบไฟแกว่งไปด้านหน้าแล้วกวาดสายตามองโดยรอบ…ไหนเล่าสมบัติทั้งหลาย ?
เขารู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาในใจ หลังจากนั้นก็เห็นช่องตรงแผ่นหินส่องแสงประกายระยับวับวาวออกมา
เขาถือคบไฟแล้วเดินเข้าไป จากนั้นก็ได้ดึงเจ้าสิ่งนั้นออกมาสำรวจ พบว่ามันคืออัญมณีเรืองแสงขนาดเท่าหัวแม่มือ
เขาขมวดคิ้วมุ่น และบัดนี้ฮ่องเต้ก็ได้เสด็จมาถึงด้านล้างพร้อมกวาดสายพระเนตรไปโดยรอบแล้วเช่นกัน…
“ขุมทรัพย์ของข้าอยู่ที่ใด ? ”