ตอนที่ 685 สมปรารถนาทุกประการ
ฟู่เสี่ยวกวนที่ได้รับการขนานนามจากราษฎรทั่วทั้งเมืองหลวงว่าเป็นหัตถ์เทวะนรีเวช ในตลอดหลายวันมานี้ได้ไปพักอยู่ในวังหลวง จึงทำให้ความลำบากตกอยู่ที่หยุนซีเหยียนผู้มีรายชื่อติดอันดับหนึ่งของการสอบเอินเคอ
แน่นอนว่าเขาย่อมได้รับหนังสือแต่งตั้งของวันที่ 15 เดือน 5 เช่นเดียวกัน
แต่ทว่าหนังสือแต่งตั้งของเขาแตกต่างจากหนังสือแต่งตั้งของผู้อื่น !
ผู้อื่นล้วนถูกแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งขุุนนางประจำเมืองหรือเขตต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ซือหม่าเช่อ ในหนังสือแต่งตั้งของนางได้ระบุไว้เยี่ยงนี้ว่า
‘หนังสือแต่งตั้งขุนนางประจำว่อเฟิงเต้า
ซือหม่าเช่อ
หลังการหารือกันภายในราชสำนักจึงได้เห็นพ้องต้องกันว่า แต่งตั้งให้เจ้าดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาประจำการ ณ ว่อเฟิงเต้า เขตหนิงซาน เมืองชิงโจว เริ่มรับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 เดือน 7 รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ ไปจนถึงวันที่ 30 เดือน 6 รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด ให้ดำรงตำแหน่ง 1 ปี หลังจากพ้นกำหนดแล้วให้คอยติดตามผลการประเมินของว่อเฟิงเต้า หากผ่านการประเมินจะมีการออกหนังสือแต่งตั้ง 3 ปีหลังการตกลงของทั้งสองฝ่าย
แจ้งเพื่อทราบ
เต้าถายประจำว่อเฟิงเต้า: ฟู่เสี่ยวกวน
ลงวันที่ 15 เดือน 5 รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ ’
หนังสือแต่งตั้งของผู้อื่นล้วนมีเนื้อความในทำนองนี้ แต่ทว่ามีเพียงหยุนซีเหยียนเท่านั้นที่แตกต่างออกไป !
หนังสือแต่งตั้งของเขาระบุเอาไว้ดังนี้
‘หยุนซีเหยียน
ประจำการรออยู่ในเมืองจินหลิง รอทางการแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมในภายหลัง !
เต้าถายประจำว่อเฟิงเต้า: ฟู่เสี่ยวกวน
ลงวันที่ 15 เดือน 5 รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ’
แจ้งให้ทราบเพิ่มเติม…หมายความว่าเยี่ยงไร ?
ราวกับนึกถึงค่ำคืนที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันนั้น ในตอนที่ตาเฒ่าซุนหลังค่อมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงหม้อไฟปัญญาชนอีก 9 คนที่เหลือ ตอนนั้นเหอเชิงอันกล่าวว่านี่คือเรื่องที่ดี !
“เจ้าลองคิดดูเถิดว่าสอบได้อันดับหนึ่งเชียว ! จากลำดับคะแนนของเจ้าอย่างน้อยก็ต้องได้เป็นผู้พิพากษาประจำเขตสักเขตอย่างแน่นอน แต่ทว่าติ้งอันป๋อให้เจ้าอยู่ที่เมืองจินหลิง เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาจะต้องใช้งานเจ้าเป็นแน่ ! ”
ส่วนสหายปัญญาชนที่เหลือต่างก็คิดว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แม้แต่ซือหม่าเช่อก็ยังเห็นด้วย
ทว่าการอยู่ครานี้…ทำให้เขาต้องรอมาจนถึงปัจจุบัน !
ทุกวันนี้เขาเฝ้ารอการเรียกพบจากติ้งอันป๋อ ถึงขนาดที่ขังตนเองไว้ในห้องแล้วเขียนระบายความในใจออกมาได้มากถึง 20 หน้ากระดาษ !
รอแล้วรอเล่าก็มิมีวี่แววว่าติ้งอันป๋อจะเรียกพบ ตรงกันข้ามกลายเป็นข่าวที่ว่าติ้งอันป๋อมีฉายาใหม่ว่าหัตถ์เทวะนรีเวชก็ได้เล่าลือมาจนถึงหูของเขา…
แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะภรรยาของติ้งอันป๋อกำลังให้กำเนิดบุตรอยู่นี่เอง อีกทั้งยังเกิดภาวะคลอดยาก มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดติ้งอันป๋อถึงมิมีเวลา
หลังจากที่เขาทราบข่าวนี้แล้วจิตใจก็พลันสงบลงมามาก แต่ทว่าสุดท้ายเขาก็ต้องมาตกใจกับข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ราษฎรทั่วทั้งเมืองหลวงต่างสนทนาหัวข้อเกี่ยวกับติ้งอันป๋อ ล้วนเล่าขานกันว่าติ้งอันป๋อเปรียบประดุจเทพยดามาจุติ !
หยุนซีเหยียนมิเคยเชื่อเรื่องเทพเจ้ามาก่อน เขารู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก ที่ติ้งอันป๋อสามารถช่วยองค์หญิงเก้าที่มีพระประสูติกาลยากจนเกือบได้ไปเยือนยังประตูผีกลับมาได้… คนผู้นั้นทำได้ทุกเรื่องอย่างแท้จริง !
ราษฎรในเมืองหลวงย่อมมิกล้าเอ่ยเรื่องแบบนี้โดยไร้มูลเหตุอย่างแน่นอน
เมื่อข่าวลือได้แพร่สะพัดออกมาและหาได้มีคนจากราชสำนักออกมาห้ามปรามไม่ อย่างน้อยก็พอจะอธิบายได้แล้วว่าภรรยาและลูกของติ้งอันป๋อปลอดภัยดี
ดังนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้ ติ้งอันป๋อจึงมีฉายาใหม่ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วบ้านทั่วเมืองถึง 3 ฉายา
เศรษฐีที่ดินอายุน้อยในเมืองหลินเจียง !
เทพแห่งวรรณกรรมของใต้หล้า !
หัตถ์เทวะนรีเวช…แต่เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าฉายานี้มันช่างพิลึกยิ่ง ?
หยุนซีเหยียนรู้ว่าความเก่งกาจที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่ยุทธศาสตร์ทางการทหารและการขจัดปัดเป่าทุกข์ภัยให้กับราษฎร !
คนผู้นี้ช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้ว !
แต่ทว่าหลังจากผ่านไปอีก 5 วัน บรรดาสหายร่วมรับราชการของเขาก็ใกล้จะไปถึงที่หมายในว่อเฟิงเต้ากันแล้ว… หรือว่า ติ้งอันป๋อ ท่านลืมข้าแล้วใช่หรือไม่ ?
……
ในความเป็นจริงฟู่เสี่ยวกวนหาได้ลืมเลือนที่จะแต่งตั้งตำแหน่งให้กับหยุนซีเหยียนไม่ เพียงแต่ในช่วงนี้เขายุ่งเสียเหลือเกิน ถึงขนาดที่มิมีเวลาเรียกหาหยุนซีเหยียนมาสนทนากัน
ในยามนี้เขายังคงอยู่ที่วังเตี๋ยอี๋ แต่ทว่ามิได้อยู่ข้างกายคอยดูแลหยูเวิ่นหวิน แต่กลับมานั่งอยู่ในศาลาซิ่วชุนในสวนดอกไม้หลังตำหนักแทน
ในเวลานี้มีเพียงแค่เขาและฮองเฮาซั่ง 2 คนเท่านั้น ถึงแม้ว่าแสงสุริยาในยามนี้จะสดใสเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ทว่าบรรยากาศกลับเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด
ความเยือกเย็นที่ว่านี้ราวกับแผ่ออกมาจากพระวรกายของฮองเฮาซั่ง แม้ในยามนี้นางจะประทับอยู่ภายใต้แสงสุริยาก็ตาม
“วาจาของมนุษย์ช่างน่ากลัวมากยิ่งนัก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ข่าวลือนั้นสามารถหยุดได้ที่ผู้ทรงปัญญา… แต่หากไร้ซึ่งปัญญาก็ให้สังหารเสียพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“สำนักมือปราบหกประตูน่าจะร่วมมือกันกับหอซี่หยู่ แต่ตอนนี้พวกเราได้สังหารคนของยุทธภพไปกว่าหกร้อยคนแล้ว”
“ในความคิดของกระหม่อมนั้น จำนวนนี้ยังมิเพียงพอพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้าจะให้ซูเจวี๋ยสังหารพวกเขาเท่าใดถึงจะพอ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกชาขึ้นจิบแล้วกล่าวด้วยใบหน้าแสนเย็นชาว่า “สังหารจนกว่าแม่น้ำจะเปลี่ยนเป็นสีเลือดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮองเฮาซั่งยังคงทอดพระเนตรไปที่หน้าต่างโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอยู่เนิ่นนาน…สังหารจนกว่าแม่น้ำจะเปลี่ยนเป็นสีเลือด เช่นนั้นต้องเข่นฆ่าผู้คนมากมายถึงเพียงใดกัน ?
นางสูดลมหายใจเข้า ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกบนกายก็ได้มลายหายไปจนสิ้น
นางหันหลังมาแล้วเดินไปที่หน้าโต๊ะชาพร้อมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวนก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ที่ผ่านมาข้านึกว่าเจ้ามีใจเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมาโดยตลอด”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้กับฮองเฮาซั่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “กระหม่อมขอบพระทัยสำหรับคำชมพ่ะย่ะค่ะ”
“แท้ที่จริงควรเป็นข้าต่างหากที่จะต้องขอบคุณเจ้า”
“นี่คือสิ่งที่กระหม่อมควรทำพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาซั่งเพ่งมองบุรุษหนุ่มตรงหน้า ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่นอีกครา
“แต่ทว่าเรื่องเหล่านี้หาใช่ข่าวลือไม่ เพราะข้าคือรองเช่อเหมินจริง ๆ ! ”
มือของฟู่เสี่ยวกวนที่จับถ้วยชาอยู่พลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที หลังจากเวลาผ่านไปราวสองช่วงลมหายใจ เขาถึงได้วางถ้วยชาลงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สำหรับกระหม่อมแล้ว พระองค์เป็นเพียงแค่แม่ยายของกระหม่อมเท่านั้น”
เมื่อฮองเฮาซั่งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “เจ้ามิรู้สึกสงสัยจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ความสงสัยสามารถสังหารแมวได้พ่ะย่ะค่ะ….อ่า มิใช่สิ ! บิดาของกระหม่อมเคยกล่าวไว้ว่าพระองค์เป็นคนดี เรื่องนี้ต้องหยุดลงเพียงเท่านี้ ดังนั้นถ้าเราสังหารคนปล่อยข่าวลือจนสิ้นซาก เรื่องนี้ก็จะหยุดเพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาซั่งมิรู้ว่าคำที่เขาเอ่ยออกมาว่า ‘ความสงสัยสามารถสังหารแมวได้’ หมายความว่าเยี่ยงไร แต่หลังจากที่นางได้ฟังคำเอ่ยนี้ นางกลับมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างมีความนัย “ดูเหมือนว่าจวบจนบัดนี้ ผู้ที่พวกเรามิอาจประมาทได้คือชายอ้วนผู้นั้นสินะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก ฮองเฮาซั่งมิได้อธิบายต่อ แต่ทว่านางกลับชวนเขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “เมื่อผ่านพ้นช่วงเจ็ดวันนี้ไปแล้ว หากเวิ่นหวินมิป่วยไข้ก็หมายความว่านางปลอดภัยใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้ารับ “เดิมทีเวิ่นหวินมีสุขภาพแข็งแรง ตลอดหลายวันมานี้นางฟื้นตัวได้เร็วมากยิ่งนัก กระหม่อมคาดการณ์ไว้ว่าจะรับเวิ่นหวินกลับจวนในวันพรุ่งนี้และประมาณวันที่สิบห้าเดือนหก กระหม่อมตั้งใจจะออกเดินทางไปยังว่อเฟิงเต้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าจะไปแล้วหรือ…” ฮองเฮาซั่งทอดถอนพระทัยออกมา ทันใดนั้นนางก็ตรัสถามขึ้นมาอีกว่า “มิรอให้เหมืองทองที่ภูเขาหมินส่งทองคำชุดแรกมาก่อนหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงเจื่อน “แม้แต่เรื่องนี้ก็มิอาจรอดพ้นสายพระเนตรของพระองค์ได้…” ทันใดนั้นเขาก็เอนตัวไปหานางแล้วลดเสียงลง “พระองค์ยังมิได้ทูลต่อฝ่าบาทใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฮองเฮาซั่งยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้าลองเดาดูสิ”
“…กระหม่อมจะมอบส่วนแบ่งของธนาคารซื่อทงให้พระองค์หนึ่งส่วนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮองเฮาซั่งยกถ้วยชาขึ้นมาจิบไปหนึ่งคำก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าจะมิออกตั๋วเงินตามอำเภอใจอย่างแน่นอน และเจ้าต้องกลับไปยังราชวงศ์อู๋ในมิช้าก็เร็ว ข้าหวังว่าก่อนที่เจ้าจะจากไปนั้นจะทิ้งฉากแห่งความรุ่งเรืองของราชวงศ์หยูไว้เบื้องหลัง มิใช่…ฉากแห่งความยุ่งเหยิง”
ฟู่เสี่ยวกวนยืดตัวตรงแล้วยกกำปั้นขึ้นคำนับ “มิว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ใด กระหม่อมย่อมมองราชวงศ์หยูเสมือนเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของกระหม่อม ขอพระองค์ทรงวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปเถิด…ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”
“เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา ! ”
“อืม”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ส่วนฮองเฮาซั่งยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะชาดังเดิม
นางขมวดพระขนงในขณะที่จิบชาไปด้วย แต่ทว่ามิได้ลิ้มรสชาอย่างเพลิดเพลินแต่อย่างใด
ฟู่เสี่ยวกวนได้ถวายบัญชีรายชื่อเช่อเหมินให้แก่นาง และมันวางอยู่บนโต๊ะชามาตั้งแต่แรกแล้ว นางเพิ่งพลิกอ่านเอาในตอนนี้
เช่อเหมินแห่งลัทธิจันทรา : ซูฉางเซิง !
ทันใดนั้นนางก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็จุดไฟเผาบัญชีรายชื่อแล้วโยนลงไปในกระถางธูป
นางหยิบกุญแจออกมาจากแขนเสื้อและมองอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกจากศาลาซิ่วชุนเพื่อไปหยิบจอบและฝังกุญแจเอาไว้ใต้แปลงดอกไม้
นับตั้งแต่นี้ไปทุกสิ่งที่เป็นของลัทธิจันทราจะมิอาจฟื้นคืนมาได้อีก