ตอนที่ 686 ออกเดินทาง
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบห้า เดือนหก ยามนี้ท้องนภาเริ่มปรากฏแสงสุริยาให้เห็นบ้างแล้ว
ประตูจูหงแห่งจวนติ้งอันป๋อค่อย ๆ เปิดออก ด้านหน้าประตูจวนมีรถม้าจอดอยู่กว่ายี่สิบคัน
เจี่ยหนานซิงยืนรออยู่ด้านหน้าประตูในขณะเดียวกันก็เอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าแสนจริงจังว่า
“การเดินทางในครานี้เกินความคาดหมายของกระหม่อมเหลือเกิน เพราะในบางเรื่องเกรงว่าคนของยุทธภพจะมิพอใจพระองค์ ดังนั้นกระหม่อมจึงจัดกำลังพลไว้ 300 นาย แล้วให้ซุยเยว่หมิงรับผิดชอบดูแลและจัดการเรื่องการเดินทางของพระองค์ให้ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นเขาจึงเดินทางล่วงหน้าไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลังจากเดินทางไปถึงว่อเฟิงเต้าแล้ว ซุยเยว่หมิงจะกลายเป็นกำลังหลักของที่นั่นและทำตามคำสั่งของพระองค์โดยตรง กระหม่อมชรามากแล้วจึงขออยู่รอพระองค์กลับมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้ารับ “ท่านก็ดูแลสุขภาพด้วย เพราะท่านยังต้องไปเป็นคนเฝ้าประตูให้ข้าที่เมืองกวนหยุน ! ”
เจี่ยหนานซิงยิ้มกว้างและผายมือออก “กระหม่อมจะพยายามอยู่ให้ได้ถึง 20 ปี เช่นนั้นพระองค์ถึงจะได้สมปรารถนาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หลังจากสนทนาเรื่องนี้เสร็จแล้วเจี่ยหนานซิงก็ได้หันหลังเดินกลับเข้าไปในประตูใหญ่ เขานอนอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าจมูกแสบ ๆ จึงขยี้ตาเบา ๆ ภายในใจคิดว่าตนนั้นแก่ชราขึ้นแล้วจริง ๆ
หยูเวิ่นหวินอุ้มลูกน้อยไว้แนบอก…เด็กน้อยคนนี้มีนามว่า ฟู่อี้อัน !
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้บอกผู้ใด ว่าชื่อนี้ท่านลุงสี่เป็นคนตั้งให้
เด็กน้อยกำลังนอนหลับปุ๋ย ฟู่เสี่ยวกวนก้มศีรษะลงไปแล้วจูบใบหน้าอมชมพูนั้นพลางเอ่ยว่า “เจ้ายังมิได้อยู่ไฟ รีบกลับเข้าจวนไปเถิด อย่าออกมารับความเย็นนี้เลย”
“อืม…ท่านห้ามลืมเชียวว่าชูหลานและเสี่ยวโหลวจะคลอดในเดือนสิบ หากท่านกลับมาได้คงเป็นการดีที่สุด แต่หากมิสามารถกลับมาได้…ก็ให้น้องตงเซวี๋ยกลับมาก่อน”
“เจ้ากลายเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ”
หยูเวิ่นหวินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถลึงตาใส่เขาทันที “เพราะข้ากังวลว่าท่านจะยุ่งจนลืมต่างหากเล่า ! ”
ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวแบกท้องโย้แล้วหัวเราะชอบใจ ต่งชูหลานมองไปยังสี่สาวงามที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน นางจึงกล่าวลอย ๆ ออกมาว่า “หากว่า…พวกเจ้าก็มีเช่นกัน อย่าลืมกลับมาบำรุงครรภ์ที่จวนล่ะ ! ”
สวี่ซินเหยียน ซูซู จางเพ่ยเอ๋อร์ และหนานกงตงเซวี๋ยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที โชคดีที่บัดนี้ท้องนภายังค่อนข้างมืดอยู่ จึงทำให้มองเห็นสีหน้าของพวกนางได้ไม่ชัดเจน
“นี่มิใช่คำเอ่ยที่พี่สาวต้องการหยอกล้อพวกเจ้า แต่มันคือคำเอ่ยจากใจของพี่สาวคนนี้ ท่านพี่ไปทำงานที่ว่อเฟิงเต้า เรื่องชีวิตความเป็นอยู่และความปลอดภัยของเขา…คงต้องไหว้วานน้องสาวทั้งสี่คนแล้ว ! ”
ระหว่างที่เอ่ย ต่งชูหลานยังไม่ลืมโค้งคำนับให้กับสตรีทั้งสี่
พวกสวี่ซินเหยียนรีบโค้งกายคำนับตอบอย่างรวดเร็ว “พี่สาวมิต้องกังวลเพราะพวกข้ารับรองว่า…จะดูแลเขาเป็นอย่างดี ! ”
ทุกคนสนทนากันชั่วครู่ สุดท้ายจึงจำใจอำลาต่อกัน
เสียงเกือกม้าบดขยี้แผ่นหินสีน้ำเงินบนพื้นถนน จากนั้นก็วิ่งทะยานออกไปหลังจากนั้นไม่นานขบวนรถม้าก็ค่อย ๆ หายลับไปจากสายตาของพวกนางทั้งสาม
“กลับเข้าจวนกันเถิด”
“อืม”
“เอาล่ะ… หมู่บ้านเสี้ยชุนเป็นของท่านพี่ ดังนั้นการก่อสร้างสถานที่แห่งนั้นต้องเข้าสู่วาระการประชุมในทันที” ต่งชูหลานหันไปสนทนากับหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลว ความผิดหวังบนใบหน้าได้สลายหายไปแล้ว “หากยึดตามแผนการของท่านพี่ ทั้งหมู่บ้านเสี้ยชุนจะถูกสร้างเป็นวังหลังใหญ่ และต้องอาศัยหมู่บ้านเสี้ยชุนเพื่อขยายถนนไปยังท่าเรือที่เขตเหยาด้วย”
“ภายในเวลาสามปีนี้พวกเราต้องก่อสร้างหมู่บ้านเสี้ยชุนให้เสร็จ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจว่าหลังจากคลอดบุตรและอยู่ไฟเสร็จแล้ว ข้าจะออกเดินทางไปภูเขาซีซานพร้อมกับเสี่ยวโหลว ส่วนเรื่องทองคำที่จะขนย้ายไปยังธนาคารซื่อทงก็ให้ยึดตามแบบวาดของท่านพี่ ตั๋วเงินที่จะออกในเดือนเจ็ดนี้ พวกเราต้องหาโรงพิมพ์ที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการปลอมแปลงขึ้นมา นี่คือเรื่องที่ท่านพี่กำชับไว้เป็นพิเศษ”
“ส่วนพื้นที่เมืองเก่า บรรดาโฉนดที่ดินทั้งหมดอยู่ในมือพวกเราแล้ว ความคิดของท่านพี่คือรอให้ถึงปีหน้าค่อยปรับปรุงที่ดินเหล่านั้น ข้าคิดว่าค่อยเริ่มสร้างตอนช่วงปีใหม่เพราะพื้นที่ขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้น หากยึดตามแบบร่างของท่านพี่ ภายในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบสาม พวกเราจะต้องทำให้ทุกอย่างที่สร้างขึ้นใหม่ถูกขายทอดออกไปจนหมด มิเช่นนั้น…มันต้องพังด้วยมือของพวกเราเองอย่างแน่นอน”
ต่งชูหลานสนทนาเกี่ยวกับแผนการที่จะต้องดำเนินการในไม่ช้าเพราะหนึ่งคือเรื่องนี้ต้องถูกกล่าวถึงในวาระการประชุมที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สองคือหากพวกนางมีงานให้คิดหรือทำ จะได้มิต้องมีเวลาว่างมาคิดถึงเขา
“ตอนนี้พวกเรามิสะดวกจะออกไปไหนมาไหน ดังนั้นพวกเราสามารถเชิญลุงหลี่มาที่จวนเพื่อสนทนารายละเอียดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ภูเขาซีซานได้ ข้าจะให้เสี่ยวเสวี่ยไปจัดการเรื่องนี้เอง ส่วนเจ้าของร้านใหญ่ทั้งสี่ที่ท่านพี่ให้กระจายตัวไปนั้นได้มีการส่งข่าวกลับมาแล้วว่า ร้านค้าแต่ละแห่งในสี่พื้นที่ใหญ่เริ่มทยอยเปิดตัวอย่างเป็นระบบระเบียบแล้ว อีกทั้งยังเริ่มมีการประชุมหารือเกี่ยวกับการลงทุนแล้ว
ตามที่ข้าคิดไว้อย่างช้าที่สุดอุตสาหกรรมเหล่านั้นจะเริ่มต้นกิจการในต้นปีหน้า พวกเรามีเวลาผลิตและขายออกภายในช่วงสองปีนี้
รอจนถึงต้นรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบสอง พวกเราค่อยแยกแหล่งทอผ้าทั้ง 4 พื้นที่ใหญ่ออกมาจากแหล่งอุตสาหกรรมภูเขาซีซาน จากนั้นก็ให้แยกรายการที่จะขายทอดตลาดพร้อมประกาศในช่วงต้นปีรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบสาม…จึงจะขายทุกอุตสาหกรรมจนหมดได้”
ต่งชูหลานมองไปยังหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่กำลังทำหน้าตกตะลึง จากนั้นก็ได้กล่าวอย่างจริงจังว่า “แผนการนี้มีเพียงแค่พวกเรา 3 คนเท่านั้นที่รู้ พวกเราต้องปิดปากเงียบเพื่อครอบครัวของตนเอง ! ”
……
ความคิดสุดลึกล้ำของต่งชูหลานอยู่เหนือความคาดหมายของฟู่เสี่ยวกวนไปไกลโข !
เขามิได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เดิมทีคือคิดจะยกสมบัติทั้งหมดนี้ให้ฮ่องเต้หลังจากจากราชวงศ์หยูไปแล้ว แต่คาดมิถึงเลยว่าสามปีให้หลังจากนี้ต่งชูหลานจะขายสมบัติออกไป ถือเป็นเรื่องที่แสนตื่นตะลึงสำหรับเขาเลยก็ว่าได้ !
แต่ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องในอนาคต
ในเวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งอยู่ในรถม้า
รถม้าคันนี้เป็นคันที่องค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินใช้เดินทางไปที่ราชวงศ์อู๋เมื่อปีที่แล้ว
ภายในทั้งกว้างใหญ่และสะดวกสบาย
มันสบายมากจริง ๆ เพราะภายในรถม้ามีคนนั่งอยู่ถึง 5 คน !
หนึ่งบุรุษ…สี่สตรี จะมิสบายได้เยี่ยงไรกันเล่า !
เพียงแต่ในยามนี้สตรีทั้งสี่ต่างรู้สึกเขินอาย ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งแยกจากภรรยาทั้งสามมาเป็นคราแรกจึงยังมิสามารถพาตนเองออกมาจากความรู้สึกคนึงหาอย่างหดหู่ใจได้
ส่วนหยุนซีเหยียนที่นั่งอยู่ในรถม้าคันหน้ากลับรู้สึกสำราญใจยิ่งกว่าผู้ใด
เพราะเดิมทีเขากำลังเป็นกังวลว่าติ้งอันป๋อจะลืมกันไปแล้ว คาดมิถึงว่าเมื่อวานยามสุริยาคล้อยต่ำ ติ้งอันป๋อจะเรียกหาเขา
ติ้งอันป๋อให้เขาก่อตั้งสำนักงานเลขาธิการขึ้นที่ว่อเฟิงเต้า… งานนี้ถือเป็นงานใหม่สำหรับเขาเพราะอย่างน้อยเท่าที่หยุนซีเหยียนรู้มาคือยังมิมีแคว้นใดที่ก่อตั้งสำนักงานนี้มาก่อน
สำนักงานเลขาธิการมีหน้าที่คอยให้คำปรึกษาติ้งอันป๋อ เหมือนหน้าที่ของผู้ช่วยกองบัญชาการแต่ทว่ามิได้ง่ายดายเช่นนั้น
สำนักงานเลขายังมีหน้าที่รับผิดชอบสำรวจศักยภาพการบริหารงานของเขตต่าง ๆ ในว่อเฟิงเต้า และยังต้องคอยสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎร เพื่อรายงานให้ทางราชสำนักรับทราบอีกด้วย
หากใช้คำเอ่ยของติ้งอันป๋อมาเปรียบเปรยแล้วสำนักเลขาธิการและสำนักตรวจการแผ่นดินเปรียบเสมือนดวงตาและแขนขา !
ต้องมีความเชื่อใจมากถึงเพียงใดกัน !
อาหารที่งานเลี้ยงในวันนั้นช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน ! ไอหยา…ติ้งอันป๋อยังเป็นผู้จ่ายค่าอาหารในมื้อนั้นอีกด้วย
ในที่สุดบทความทั้งยี่สิบฉบับนั้นก็ได้ดลจิตดลใจติ้งอันป๋อเข้าแล้ว ติ้งอันป๋อตบรางวัลให้ตนรับตำแหน่งขุนนางแห่งสำนักงานเลขาธิการคนแรกของว่อเฟิงเต้า
ที่ติ้งอันป๋อกล่าวมานั้นคือเริ่มต้นจากขุนนางระดับสี่เชียวนะ !
เทียบเท่ากับตำแหน่งขุนนางระดับสูงจือโจวเชียว !
หรือมีควันลอยออกมาจากหลุมศพบรรพบุรุษของข้ากัน ถึงได้เกิดเรื่องดีเช่นนี้ขึ้น ?
มิได้การ ! เมื่อไปถึงว่อเฟิงเต้าคงต้องเขียนจดหมายส่งกลับไปให้ท่านพ่อท่านแม่ว่าช่วยไปดูที่บริเวณหลุมศพของบรรพบุรุษเสียหน่อย จากนั้นก็ช่วยเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ท่านบรรพบุรุษด้วย