ตอนที่ 689 ถือดาบมุ่งหน้าตามแสงจันทรา
ในราตรีนี้ฟู่เสี่ยวกวนนอนพลิกไปพลิกมาอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับได้
ราตรีเดียวกันนี้บนถนนสายที่ต้องผ่านจากเมืองจินหลิงไปยังว่อเฟิงเต้ามีเขตเล็ก ๆ นามว่าเขตเทียนซุ่ย ในเขตนี้มีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘โรงเตี๊ยมเสี่ยวจิ่ว’ บัดนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ภายในนั้น
เบื้องหน้าของเขามีสุราหกขวดและถั่วลิสงหนึ่งจาน
พบว่าสุราถูกดื่มจนหมดเกลี้ยงไปถึง 5 ขวดแล้ว แต่ทว่าถั่วลิสงหายไปเพียงแค่ 5 เม็ดเท่านั้น !
เขาทานถั่วลิสง 1 เม็ดแล้วดื่มสุราตามถึง 1 ขวด
ขวดสุราแต่ละขวดมีความแรงอยู่ที่ 32 ดีกรี ถึงแม้ว่ามันจะมิใช่สุราที่มีความแรงมากนักแต่ก็ทำให้ผู้คนเมามายได้เช่นเดียวกัน
แต่ทว่าคนผู้นี้มิได้เมามายแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามยิ่งดื่มมากเท่าใด ดวงตาของเขาก็ยิ่งเป็นประกายมากขึ้นเท่านั้น !
พฤติกรรมของเขาทำให้เถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เกิดความรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ดังนั้นนางจึงหยิบขวดสุราขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งข้างชายหนุ่มผู้นั้น
“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ซ่งจง”
“…ซ่งจงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ข้าซ่งจง”
เถ้าแก่เนี้ยมองไปยังดาบเล่มยาวที่ถูกห่อไว้ด้วยผ้าสีดำซึ่งวางอยู่ข้างกายของชายหนุ่มผู้นี้ จากนั้นก็มองไปที่มือของเขาซึ่งกำลังกำตะเกียบเอาไว้แน่น ทันใดนั้นนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าดื่มหนักถึงเพียงนี้แต่ทว่ามือยังมั่นคง เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าคือยอดฝีมือดาบ”
ซ่งจงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามิชอบเสวนากับผู้คนโดยเฉพาะคนแปลกหน้า
ดังนั้นเขาจึงมิได้เอ่ยถามชื่อแซ่ของเถ้าแก่เนี้ยแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเขามองไปยังใบหน้าของนางเพียงครู่เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ละสายตาไปมองที่ด้านนอกประตู
ที่ด้านนอกประตูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสว่างสดใสปรากฏให้เห็นแสงไฟสีแดงสลัวขึ้นมา แต่ในสายตาของซ่งจงมันราวกับแสงสีของโลหิต… โลหิตบนภูเขาดาบในคืนนั้นแดงฉานเสียยิ่งกว่าโคมไฟของที่นี่เสียอีก !
ในตอนนั้นปรมาจารย์สำนักเต๋าถือกระบี่เข้าไปในภูเขาดาบ ใช้เวลามินานผู้คนกว่า 623 คนที่อยู่ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนต้องจบชีวิตลงไปทั้งอย่างนั้น !
รวมถึงคนของภูเขาดาบอีก 632 คน ที่ถูกส่งไปยังภูเขาชิงหยุนต่างมิมีผู้ใดรอดชีวิตเช่นเดียวกัน
ภูเขาดาบทางตอนใต้ที่เคยรุ่งโรจน์ บัดนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังรอดชีวิต !
แน่นอนว่ามิได้นับรวมผู้ที่ออกไปจากภูเขาเพื่อค้นหาเส้นทางในอนาคตของตน อย่างไป๋ยู่เหลียนที่ช่วยคนชั่วช้ากระทำความชั่ว !
ซ่งจงรู้ดีว่าในยามนี้ตนมีฝีมืออยู่ในระดับแนวหน้าก็จริง แต่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋าผู้นั้น แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะฟู่เสี่ยวกวนอีกทั้งมันยังเป็นศิษย์ก้นกุฏิของคนผู้นั้นอีกด้วย
เช่นนั้นแล้ว…ในเมื่อมิอาจสังหารซูฉางเซิงได้และมิอาจสังหารซูเจวี๋ยได้ เรียกได้ว่าเขามิสามารถสังหารกลุ่มปรมาจารย์เหล่านั้นได้เลย ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้คือสังหารฟู่เสี่ยวกวนเสีย…ไอ้ชาติสุนัขผู้นั้น ! รวมถึงสำนักมือปราบหกประตูก็คือสิ่งที่ไอ้ชาติสุนัขผู้นั้นเสนอขึ้นมา !
ในยามนี้สำนักมือปราบหกประตูภายใต้การนำของซูเจวี๋ยเปรียบประดุจหมาบ้าที่ไล่เข่นฆ่าผู้คนไปทั่ว
พวกมันสังหารชาวยุทธจำนวนมากที่มิยอมจำนน พวกมันกล่าวว่า…ผู้ใดก็ตามที่กล้าเผยแพร่ข่าวลือของฮองเฮาซั่ง กระบี่ของพวกมันก็จะทำให้คนผู้นั้นต้องปิดปากเงียบไปตลอดกาล !
พวกมันไล่เข่นฆ่าผู้คนนานกว่า 10 วัน จนกระทั่งยุทธภพที่เคยยิ่งใหญ่แห่งนี้ค่อย ๆ ตกสู่ความเงียบงัน
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือจดหมายที่ถูกเขียนโดยลายมือของบิดาของเขา…อีกทั้งยังถูกแปะเอาไว้ทั่วหัวเมืองใหญ่
ลายมือนั้นเป็นของบิดาจริง ๆ แต่ทว่าเนื้อหาภายใน… กลับเป็นคำสารภาพ !
สารภาพว่าท่านได้กระทำผิดต่อฮองเฮาซั่ง สารภาพว่าทำไปเพราะผลประโยชน์บังตา ท่านจึงคิดวางแผนให้ฮองเฮาซั่งถูกครหาอย่างมิชอบธรรม
ตะเกียบของซ่งจงหาได้จิ้มลงไปที่ถั่วลิสงไม่ เขาวางมันลงแล้วยกสุราขวดสุดท้ายขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด
ตอนนี้บิดาของเขา ซ่งชิงเถียน ตกอยู่ในกำมือของราชวงศ์หยู เกรงว่าจะทรมานมิต่างอันใดกับคนตาย
เขามิมีความคิดที่จะไปชิงตัวบิดาออกมาจากค่ายทหารนั้น และมิคิดจะไปขอร้องอ้อนวอนฟู่เสี่ยวกวนให้ทูลฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูว่าให้สั่งปล่อยตัวบิดาของตน เพราะต่อให้ท่านถูกปล่อยตัวออกมาและหนีไปไกลสุดขอบฟ้า เจ้าพวกหมาบ้าแห่งสำนักเต๋าคงมิวายไล่กัดท่านไปตลอดเส้นทาง พวกมันจะไล่กัดเช่นนี้จนกว่าบิดาของเขาจะตาย !
หากต้องให้บิดามาตกตายแบบนั้น มิสู้กำจัดตัวการก่อกรรมเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนเสียมิดีกว่าหรือ เพราะอย่างน้อยข้าก็ยังพอทิ้งชื่อเสียงไว้ในยุทธภพได้บ้าง
“ข้ามีนามว่าชิงชิง ที่หมายถึงสีเขียวขจีของทุ่งหญ้า…”
หลังจากที่เถ้าแก่เนี้ยดื่มสุราไปหนึ่งอึก นางก็ได้ยกมือขึ้นเช็ดปากแล้วเอ่ยกับซ่งจงด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว โรงเตี๊ยมของข้าควรปิดทำการได้แล้ว หากคุณชายซ่งต้องการพักที่นี่…ชั้นบนของเรายังมีห้องว่างอีก 2 ห้อง แต่ถ้าคุณชายซ่งมิต้องการพัก ข้าต้องขอคิดเงินค่าสุราพวกนี้ก่อน”
ซ่งจงใช้มือคลำบริเวณเอวของตน แต่คลำเยี่ยงไรก็หาถุงเงินมิพบ
เขาจึงก้มลงไปดู พบว่าถุงเงินที่เคยเหน็บอยู่ตรงเอวหล่นหายไปที่ใดแล้วก็มิอาจรู้ได้ !
เขาตื่นตกใจเล็กน้อยแต่หลังจากนั้นใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมา
ชิงชิงชำเลืองมองเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่สดใสมากยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนว่า…คุณชายซ่งจะมิได้พกเงินมาสินะ”
“มิใช่เยี่ยงที่แม่นางคิด เดิมที…ข้ามีเงิน”
ชิงชิงลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วกล่าวว่า “ข้ามาเปิดโรงเตี๊ยมที่เขตเทียนซุ่ยตั้งแต่อายุ 18 ปี จวบจนตอนนี้ก็ผ่านมานานถึง 10 ปีแล้ว ในตลอด 10 ปีนี้ข้าพบเจอคนเยี่ยงคุณชายมานับมิถ้วน…”
ทันพลันสีหน้าของนางก็เย็นชาขึ้นมา “อย่าคิดว่าตนถือดาบแล้วข้าจะกลัว”
เมื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้ว ฝ่ามือของนางจึงค่อย ๆ จมลงไปบนโต๊ะ
“หากวันนี้ท่านมิสามารถจ่ายเงินได้ โปรดทิ้งดาบเอาไว้หรือรับปากว่าจะทำบางสิ่งให้ข้า”
ซ่งจงขมวดคิ้วแน่น จับจ้องไปยังมือที่ฝังอยู่บนโต๊ะเป็นเวลานานกว่าห้าลมหายใจ
แม่นางผู้นี้คือยอดฝีมือ !
ดาบคือชีวิตของเขา แน่นอนว่าเขามิอาจทิ้งมันไว้ที่นี่ได้
ซ่งจงเงยหน้าขึ้นมองชิงชิง “เรื่องอันใด ? ”
“ในเมื่อท่านมีนามว่าซ่งจง1 เช่นนั้นขอท่านช่วยข้าสังหารคนผู้หนึ่งเพื่อส่งเขาไปตายได้หรือไม่ ! ”
“ให้ข้าสังหารผู้ใด ? ”
“ฟู่เสี่ยวกวน ! ”
ซ่งจงชะงักไป “แม่นางมีความแค้นกับฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นี่มิใช่สิ่งที่ท่านควรถาม เพราะตามกฎของยุทธภพแล้วคุณชายซ่งควรจดจำเพียงแค่คำมั่นสัญญาของตนก็พอ”
“…ตกลง ! ”
“เมื่อจันทราส่องสว่าง ท่านจงถือดาบขึ้นมาแล้วทิ้งสุราขวดนี้ไปเสีย จากนั้นจงมุ่งหน้าไปที่สถานีหยู่เหอ หลังจากสังหารฟู่เสี่ยวกวนแล้วข้าจะต้มสุราให้ท่านดื่มเอง ! ”
ซ่งจงกำดาบไว้แน่นขณะเดินออกจากโรงเตี๊ยม เขาเงยหน้าขึ้นมองจันทราที่สว่างไสวบนท้องนภา พลางสะพายดาบยาวเอาไว้บนหลัง จากนั้นก็เดินทางออกจากเขตเทียนซุ่ยไป
ชิงชิงมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่ม ทันใดนั้นก็หัวเราะร่าขึ้นมาและในตอนนี้นี่เอง ก็ได้ปรากฏชายขาเป๋เดินกระเผลกเข้ามาในโรงเตี๊ยม เขายกสุราที่เหลือขึ้นดื่มจนหมดแล้วเอ่ยถามว่า “คนที่เท่าใดแล้ว ? ”
“คนที่ 18 แล้ว”
“หากนับรวมข้าก็คือคนที่ 19 แต่ทว่าเขาจะสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ชิงชิงเงียบอยู่นานก่อนจะตอบว่า “คาดว่ามิอาจสังหารได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้ามิสำเร็จก็รอให้ผู้อื่นทำอีกก็ยังมิสายนี่”
ชายขาเป๋ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม “หากเป็นเช่นนั้นจะทำเยี่ยงไร ? ”
“หากรวมข้าอีกคนก็เป็น 20 แค่นี้ก็น่าจะพอสังหารเขาได้แล้ว”
โรงเตี๊ยมหลังเล็กในเขตเทียนซุ่ยถูกปิดลง โคมไฟก็ถูกดับเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นบานประตูก็มิเคยเปิดต้อนรับแขกและโคมไฟเหล่านั้นก็มิได้ส่องสว่างขึ้นมาอีกเลย
……
ขบวนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางจากศาลาจางผิงมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก
ในวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนได้อธิบายความรู้ทางการแพทย์และตอบข้อสงสัยของหนานกงตงเซวี๋ยอย่างอดทน ส่วนเวลาที่เหลือก็หมดไปกับการสนทนากับสี่สาวงามบนรถม้า และเมื่อแวะพักก็มักจะสนทนากับหยุนซีเหยียนถึงแผนการต่อไป
บางคราเขาก็จะเงียบไปชั่วครู่ แต่ทว่ามิได้คิดถึงเรื่องบทกวีอำลาเคมบริดจ์ที่ผู้อาวุโสท่านนั้นทิ้งเอาไว้ แต่กำลังนึกถึงมาตรการแก้ปัญหารายละเอียดปลีกย่อยในว่อเฟิงเต้า
ยกตัวอย่างเช่น สัญญาครัวเรือน
หรืออย่างเช่นเกษตรกรรมเพื่อสร้างระบบนิเวศสีเขียวขึ้นมา เรื่องการปลูกหม่อนและเพาะเลี้ยงตัวไหมในโรงเรือน
หรือการจัดเตรียมและการวางแผนเขตวิจัยเทคโนโลยีชั้นสูง เป็นต้น
ขบวนรถม้าใช้เวลาเดินทางเช่นนี้มานานกว่า 10 วัน ในแต่ละวันเหตุการณ์ยังคงสงบเงียบ ปัญหาที่ขันทีเจี่ยเคยกังวลจวบจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ยามเว่ย ของวันที่ 25 เดือน 6 รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ
ในยามนี้เมฆเคลื่อนตัวคล้อยต่ำลง อากาศร้อนอบอ้าว เมื่อขบวนรถม้ามาถึงสถานีหยู่เหอ พายุฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็กระหน่ำเทลงมาจนมองมิเห็นภาพเบื้องหน้า
“ช่างเป็นฉากที่เหมือนสวรรค์สรรสร้างขึ้นมาอย่างแท้จริง”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่บนชั้นสองของสถานี ทอดมองเม็ดฝนที่ตกกระทบบนใบไม้ ในใจกำลังครุ่นคิดว่าฝนตกได้ถูกช่วงเวลาเสียเหลือเกิน
1ซ่งจง พ้องเสียงกับคำว่า ‘ซ่งจง’ ที่แปลว่า ‘ส่งไปตาย’ ได้ด้วย