ตอนที่ 692 กลัดกลุ้มสิ่งที่ยังมิเกิด
ฝนเทกระหน่ำมิมีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยสักนิด
ท่ามกลางฝนห่าใหญ่นี้ ซุยเยว่หมิงได้ควบม้าเร็วฝ่าฝนเข้ามา… เขาควบม้ามาจากสถานีถัดไปเนื่องจากสถานีหยู่เหอแห่งนี้มิได้เป็นจุดที่ติ้งอันป๋อจะหยุดพักแต่แรก
เขามิคาดคิดว่าพายุฝนที่โหมเข้ามาโดยมิทันตั้งตัวจะเป็นเหตุให้ติ้งอันป๋อต้องหลบฝนอยู่ที่สถานีหยู่เหอก่อน และยิ่งคิดมิถึงว่าพวกคนร้ายได้อาจหาญมุ่งร้ายต่อติ้งอันป๋อเช่นนี้
และตอนที่เขารู้ข่าวนี้ก็ตื่นตกใจจนแทบจะล้มลงในทันที !
นั่นเป็นถึงองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ !
ว่าที่องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ !
ถ้าหากว่าเขามีอันเป็นไป ณ สถานีหยู่เหอ… ซุยเยว่หมิงคงจะสิ้นใจเสียในจังหวะนั้น
เขาได้นำฝูงมดขี่ม้าเร็วมาหนึ่งร้อยนาย จากนั้นก็ทะยานไปท่ามกลางพายุฝน พวกเขาพุ่งเข้าไปยังสถานีหยู่เหออย่างบ้าคลั่งดังเช่นคันศรของธนู
“องค์ชายอยู่ที่ใด ? ”
“เรียนใต้เท้า องค์ชายอยู่…” มดทหารนายหนึ่งชี้นิ้วไป ซุยเยว่หมิงจึงหันไปมอง
ริมสระบัวแห่งนั้นมีร่มที่ทำจากกระดาษน้ำมันอยู่ 7 คัน !
“องค์ชายตรัสว่าการชมดอกบัวท่ามกลางสายฝนนั้นช่างได้อรรถรสยิ่ง”
จิตใจที่แสนพะว้าพะวังของซุยเยว่หมิงพลันสงบลงในทันใด ใบหน้าที่มีหยาดฝนไหลท่วมทุกอณูได้เผยรอยยิ้มออกมาในที่สุด
เขาเช็ดหยาดฝนที่ไหลอาบใบหน้าของตน ครานี้จึงหันไปเอ่ยถามกับมดทหารผู้นั้นว่า “ผู้ร้ายมีทั้งหมดกี่คน ? ”
“เรียนใต้เท้า 20 คนขอรับ”
ซุยเยว่หมิงขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยถามต่อว่า “ตายหรือหนีไปได้ ? ”
“ตกตายจนหมดสิ้นขอรับ อ่า…จริงสิ ยังมีอีก 1 คนที่ถูกแขวนไว้กับลำไม้ไผ่…ติ้งอันป๋อและคนอื่น ๆ ได้สังหารบนศาลานั้นทั้งสิ้น 13 คน” มดทหารนายนั้นเอ่ยด้วยท่าทีที่ยากเกินจะเชื่อ จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “ปืนนั้นช่างสุดยอดเสียจริง ! ยิงหนึ่งคราก็คร่าชีวิตได้หนึ่งชีวิตแล้ว”
ซุยเยว่หมิงเงยหน้าขึ้นดู เห็นเงาคนที่น่าอดสูถูกมัดเข้ากับเสาไม้ไผ่ปักไว้บนรถม้าอย่างเลือนราง เจ้าหมอนั่น…มันสมควรตาย !
“พึงระวังและเตรียมอาวุธให้พร้อม ที่สำคัญอย่าได้รบกวนการชมดอกบัวขององค์ชาย ! ”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง ! ”
ซุยเยว่หมิงถอนหายยาว ๆ ออกมาหนึ่งครา คิดตรึตรองอยู่ในใจ เกรงว่าจะไร้ผู้ใดใจกว้างดั่งผืนพสุธาเฉกเช่นองค์ชายอีกแล้ว
ฝนโหมกระหน่ำเช่นนี้และเมื่อครู่ก็เพิ่งประจันศึกกับพวกศัตรู หากเป็นคนทั่วไปคงมิมีกระจิตกระใจมาชมความงามของดอกบัวเช่นนี้เป็นแน่ !
เขาสาวเท้าก้าวตากฝนออกไป มุ่งตรงไปทางฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังชมดอกบัวอยู่จริง ๆ
เพียงแต่สีหน้าที่กำลังชมดอกบัวอยู่นั้นช่างเคร่งขรึมยิ่ง แม้แต่ช่วงระหว่างคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น
ติ้งอันป๋อกำลังคิดอันใดระหว่างชื่นชมทิวทัศน์ตระการตาเช่นนี้กัน ?
หรือว่าเขากำลังประพันธ์บทกวี ?
หยุนซีเหยียนรู้สึกเศร้าหมองมิน้อย ท่านวีรบุรุษของข้า อาภรณ์ของข้าเปียกโชกไปทั้งตัวแล้ว พวกเราเข้าไปในห้องแล้วดื่มชาคลายหนาวกันมิดีกว่าหรือ ?
ร่มกระดาษนี้มันกันฝนได้ที่ไหนกันเล่า !
หยุนซีเยียนมิค่อยสนอกสนใจในเรื่องของการชมความงามของดอกบัว เขาเข้ามิถึงสุนทรียะในการสัมผัสธรรมชาติของฤดูใบไม้ผลิมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ปัญญาชนผู้ทึกทักเอาว่าตนมีความรู้ล้นหลามแสร้งทำให้ดูสง่างามก็เท่านั้น หากให้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาก็คือทำเกินไปนั่นเอง !
เขามิคิดเลยว่าติ้งอันป๋อผู้มีความสามารถเป็นเลิศ ก็มีความคิดที่จะชมดอกบัวท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำ… ชมจากชั้นสองมิดีกว่าหรือ ?
จำต้องมาชมถึงริมสระบัวด้วยหรือ !
แต่ทว่าก็มิกล้าปริปากคัดค้านใด ๆ ในเมื่อติ้งอันป๋อกระทำไปแล้ว ตนในฐานะหัวหน้าเลขานุการของติ้งอันป๋อก็จำต้องติดตามไปด้วยเช่นกัน
เขาเหลือบมองสีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งยังคงความเคร่งขรึมเอาไว้ดังเดิม… การชมดอกบัวนี่มิใช่เพื่อทำให้จิตใจรู้สึกเบิกบานหรอกหรือ ? แล้วเหตุใดท่านผู้นี้ถึงยิ่งชมยิ่งเหมือนไร้ความสุขกัน ?
แท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนมิได้ชมดอกบัวเสียด้วยซ้ำ แต่กำลังจ้องมองเส้นระดับน้ำ
ตั้งแต่เคลื่อนตัวมานั่งที่บริเวณริมสระบัวจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปเพียงสองเค่อเท่านั้น แต่ทว่าเส้นระดับน้ำกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยหนึ่งชุ่น หากอิงจากการพยากรณ์อากาศภายในครึ่งชั่วยามปริมาณน้ำฝนก็จะสูงขึ้นมากถึงหนึ่งชุ่น… นี่ถือว่าเป็นฝนตกในระดับที่หนักมาก!
ฝนตกในระดับหนักมากเช่นนี้จะกระจายวงกว้างถึงเพียงใด ?
เส้นทางสองฟากฝั่งของแม่น้ำแยงซี ลุ่มแม่น้ำฮัน รวมไปถึงเส้นทางสองฟากฝั่งของแม่น้ำฮวงโหจะมีฝนตกหนักเช่นนี้ด้วยหรือไม่ ?
ก่อนจะออกเดินทาง เขาได้หารือกับซุ่ยจึชีขุนนางกรมน้ำซึ่งพบพานกันที่กรมการค้า และได้ร่วมเสวนากันตลอดทั้งยามเว่ย
ซุ่ยจึชีแสดงความเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในข้อคิดเห็นเรื่องการจัดการอุทกภัยสองฝั่งแม่น้ำฮวงโห อีกทั้งยังแสดงความเป็นห่วงไปยังสถานการณ์ของสองฝั่งแม่น้ำแยงซีอีกด้วย
“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีแต่อุทกภัยที่เกิดขึ้นจากแม่น้ำฮวงโห ไร้อุทกภัยที่เกิดขึ้นจากแม่น้ำแยงซีเลยสักครา แต่ทว่าครานี้สถานการณ์สองฝั่งของแม่น้ำแยงซีลงมาจนถึงช่วงลานตะพักลําน้ำจิงเจียงนั้นเหมือนจะมีปัญหา”
“ป่าไม้ทางด้านบนของแม่น้ำมีร่องรอยของการถูกตัดอีกทั้งทะเลสาบหยุนเมิ่งตรงลานตะพักลําน้ำจิงเจียงตอนเหนือมีปริมาณน้ำลดลงถึง 1 จั้ง”
“ทะเลสาบผู่หยางที่มีผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาลกับทะเลสาบต้งถิงที่กว้างใหญ่ราว 8 ลี้… หากอิงจากคำเอ่ยของพวกเกษตรกร พวกเขาล้วนบอกว่าอาณาเขตลดลงกว่าเดิมมาก”
“หลายปีที่ผ่านมานี้มิเคยเกิดอุทกภัยที่แม่น้ำแยงซีเลยแม้แต่คราเดียว อีกทั้งปริมาณของแม่น้ำก็ยังมีแนวโน้มว่าจะลดน้อยลงไปอีกด้วย เป็นเหตุให้เขื่อนกั้นน้ำของทั้งสองฝั่งถูกละเลยการดูแล”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงเขื่อนใหญ่ของลานตะพักลําน้ำจิงเจียง ในสมัยโบราณนั้นมีคำกล่าวว่าเมืองจิงโจวมิหวั่นกลัวอาวุธสงคราม แต่กลัวเหลือเกินว่าเขื่อนใหญ่นั้นจะทำให้ฝันร้ายกลายเป็นจริงขึ้นมา หากเกิดปัญหาใดขึ้นกับเขื่อนยักษ์…เกรงว่าทั้งผืนปฐพีแห่งนี้จะกลายสภาพเป็นทะเลสาบพันลี้”
สำหรับปัญหาที่ถูกซ่อนไว้ใต้พรมของแม่น้ำแยงซีนั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิมีเวลาไปสำรวจในสถานที่จริง แต่ก็เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าคำเอ่ยของซุ่ยจึชีมิได้มีไว้ขู่ให้เขากลัวอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงพาซุ่ยจึชีไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อทูลถวายรายงานเรื่องที่น่าเป็นกังวลนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ
แต่ทว่าฮ่องเต้มิได้ให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย พระองค์มีพระราชดำรัสว่าปัญหาที่แม่น้ำฮวงโหนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าแม่น้ำแยงซีมากนัก…ซึ่งก็เป็นความจริง ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงแต่งตั้งซุ่ยจึชีให้เป็นผู้กำกับดูแลแม่น้ำฮวงโหพร้อมส่งไปประจำการยังแม่น้ำฮวงโหเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์
เช่นนั้นแล้วแม่น้ำแยงซีเล่า ?
แม้ทางกรมน้ำจะส่งขุนนางเข้าไป แต่ถ้าขุนนางท้องถิ่นมิได้ให้ความสำคัญมากพอ เช่นนั้นแล้วขุนนางจากกรมน้ำก็จะจนปัญญาไปโดยปริยาย
เฉกเช่นวันนี้ที่ฝนตกหนัก หากว่าบริเวณแม่น้ำแยงซีและลุ่มแม่น้ำฮันมีฝนตกติดต่อกันนานสองถึงสามวัน… หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะคิดมากไปเองเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครา จากนั้นจึงรู้สึกตัวว่าได้เปียกโชกไปทั้งร่างแล้ว
“ฝนนี้…มีทั้งความสุขและทุกข์ปนเปกันไป ! ”
การอุทานครานี้ของติ้งอันป๋อทำให้ทั้งหยุนซีเหยียนและซุยเยว่หมิงผงะ มิเข้าใจว่าเหตุใดท่านผู้นี้ถึงถอนหายใจออกมา
“ไปเถิด กลับเข้าไปในศาลา”
คนทั้งคณะจึงเดินกลับไปยังศาลาและกลับไปยังห้องของตนเพื่อเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ แล้วค่อยไปรวมตัวกันที่ห้องของฟู่เสี่ยวกวนอีกครา
ทันใดนั้นหนานกงตงเซวี๋ยก็โพล่งถามขึ้นมาว่า “เมื่อครู่นี้ท่านมองสายฝนแต่มิได้ชมดอกบัวใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เขาคั้นน้ำผลไม้ส่งให้นางแล้วตอบว่า “หากจำนวนน้ำมีพอประมาณก็จะนำความสุขมาสู่หมู่ราษฎร แต่ถ้ากลายเป็นอุทกภัยเสีย…เช่นนั้นคงขโมยดวงวิญญาณไปนับมิถ้วน ทำให้หลายชีวิตต้องบ้านแตกสาแหรกขาดต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน”
“ท่านเป็นกังวลว่าฝนนี้จะทำให้เกิดอุทกภัยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าหวังว่าข้าจะกังวลมากจนเกินไป มาเถิด ดื่มสิ่งนี้เข้าไป…ราชวงศ์อู๋มีแม่น้ำใดบ้าง ? ”
หนานกงตงเซวี๋ยรับน้ำผลไม้มาแล้วเอ่ยว่า “แม่น้ำแยงซีนั้นไหลผ่านเพียงแค่ช่วงชายแดนของราชวงศ์อู๋เท่านั้นและภายในราชอาณาจักรมีแม่น้ำทั้งสิ้น 4 สาย ทางเหนือไหลลงใต้คือแม่น้ำชิงเจียงและแม่น้ำหนานชาง ทางตะวันออกไหลไปตะวันตกนั้นมีแม่น้ำต้าหลิงและแม่น้ำเฮยหลง”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า “แปดรัฐแห่งหนานชางนั้นตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของเขตลุ่มแม่น้ำหนานชางและชิงเจียง เทือกเขาหนานชางได้สกัดลมหนาวเย็นที่พัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทำให้ที่แห่งนั้นเหมาะแก่การอยู่อาศัย ทั้งสี่ฤดูจะอบอุ่นเฉกเช่นฤดูใบไม้ผลิ ว่ากันว่าเป็นพื้นที่ที่สวรรค์ประทานให้แก่ราชอาณาจักรมาช้านาน”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจสิ่งที่นางเอ่ยในทันที… บิดาอ้วนกว้านซื้อที่ดินในพื้นที่แปดรัฐแห่งหนานชางจนกระทั่งวันนี้ก็ยังมิหยุดซื้อ…สรุปว่าเขากำลังจะทำสิ่งใดกันแน่ ?
จริงสิ ! ฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าต้องนำเมล็ดพันธุ์รุ่นที่สามและมันเทศบางส่วนไปยังแปดรัฐแห่งหนานชาง
บิดาอ้วนเอ่ยถูกว่าเมล็ดพันธุ์ของตนก็ควรปลูกบนที่ดินของตน เช่นนี้จึงค่อยมีมาดของเศรษฐีที่ดินขึ้นมาหน่อย