ตอนที่ 694 อำเภอหลานหลิง
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่ห้า เดือนเจ็ด
การเดินทางครานี้ของฟู่เสี่ยวกวนและคณะใช้เวลา 10 วันเต็ม พวกเขาย่ำเข้าสู่เขตพื้นที่ศูนย์กลางเยี่ยงอำเภอหลานหลิงเมื่อวันที่ห้าเดือนเจ็ด
หากอิงตามเกณฑ์การแบ่งอาณาเขตของว่อเฟิงเต้าในตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะนำพื้นที่ศูนย์กลางของอำเภอหลานหลิงมาไว้ในขอบเขตของการบริหารจัดการแห่งว่อเฟิงเต้า
เขาอยากได้อำเภอหลานหลิงเพราะอยากให้อำเภอที่เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารแปรสภาพเป็นศูนย์กลางรวบรวมและกระจายสินค้า
ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำการยกระดับพื้นที่หลานหลิงให้เป็นอำเภอหลานหลิงและให้อยู่ภายใต้การบริหารของเมืองชิงโจว…อำเภอหลานหลิงอดีตเคยเป็นพื้นที่ป้อมปราการทางทหาร เมื่อเผชิญหน้ากับการคุกคามของแคว้นอี๋จึงทำให้ที่แห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลแต่กลับมีราษฎรอยู่บางตา
ณ ปัจจุบัน ที่แห่งนี้ไร้การคุกคาม อีกทั้งทำเลที่ตั้งยังเป็นดั่งทำเลทอง
เบื้องหลังของเขาเป็นที่ราบหลานหลิงที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และเบื้องหน้ามีภูมิประเทศเป็นเนินเขา อีกทั้งยังมีแม่น้ำสีหม่าซึ่งไหลมาจากที่ราบสีหม่าอีกด้วย แม่น้ำคดเคี้ยวอ้อมหลานหลิงแล้วผ่านไปยังที่ราบหลานหลิง จากนั้นก็มิรู้แล้วว่าไหลไปยังแห่งหนใด
นายอำเภอหลานหลิงคนปัจจุบันคือเหอเชิงอัน ผู้สอบเอินเคอได้ลำดับที่สอง บัดนี้เขามิได้อยู่ในที่ว่าการอำเภอหลานหลิงแต่อยู่ที่กวนซานจี้
มีผู้คนมากมายนั่งอยู่ที่ลานจวนของตระกูลกวนแห่งกวนซานจี้
บัดนี้พวกเขากำลังจดจ้องไปยังนายอำเภอที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมาหมาด ๆ ภายในสายตาเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ… ช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน !
ในมุมมองของพวกเขานั้น นายอำเภอควรมีรูปลักษณ์สูงส่งน่าเคารพนับถือและดูสูงอายุ แต่ทว่าท่านผู้นี้เพิ่งได้สอบผ่านมิถึงครึ่งเดือนก็วิ่งแจ้นมารับตำแหน่งนายอำเภอเสียแล้ว แม้แต่หนวดเคราก็ยังงอกได้มิเต็มที่เลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าแม้แต่ผู้อาวุโสของตระกูลกวนก็มิอาจกล่าวแย้งได้ เนื่องจากพื้นที่ยากจนข้นแค้นเยี่ยงกวนซานจี้นั้นยังมิเคยมีนายอำเภอเข้ามาบริหารแม้แต่คนเดียว
และในตอนนี้ นอกจากเสียงของเหอเชิงอันแล้วก็มีแต่เสียงจั๊กจั่นและเสียงนกดังแว่วมาเท่านั้น
เหอเชิงอันยกแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็ยกถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดื่มอึกใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“ตั้งแต่บัดนี้สืบไปกวนซานจี้จะมิประสบภัยทางสงครามอีกเพราะกวนซานจี้จะกลับมาฟื้นฟูในภาคการผลิต วันนี้ข้ามาเพื่อประกาศให้ทุกท่านได้ทราบว่าตามนโนบายของติ้งอันป๋อแล้ว พื้นที่ว่างรกร้างทั้งหมดของกวนซานจี้จะถูกทางอำเภอหลานหลิงทำรังวัดแล้วจัดแบ่งใหม่ทั้งหมด
นี่เป็นนโยบายแห่งราชอาณาจักร !
มิว่าจะเป็นกวนซานจี้ ฮวาซี หรือแม้แต่หลินเจียผู่ พื้นที่ทั้งหมดของว่อเฟิงเต้าจะถูกรังวัดใหม่ทั้งหมดแล้วใช้นโยบายแบ่งพื้นที่ให้แต่ละครัวเรือนตามสัดส่วน
แบ่งให้แต่ละครัวเรือนตามสัดส่วนหมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ? ข้าจะอธิบายให้เข้าใจโดยง่าย
หมายความว่าแบ่งที่ดินให้แต่ละครัวเรือนตามสัดส่วนของจำนวนสมาชิกในครัวเรือนนั้น ๆ
การขาดแคลนประชากรของอำเภอหลานหลิงอยู่ในขั้นวิกฤตซึ่งมีผลพวงมาจากประวัติศาสตร์ แต่ทว่าหลังจากมีการรวบรวมพื้นที่รกร้างเสร็จแล้ว ก็จะมีการเคลื่อนย้ายประชากรเข้ามาตามความเหมาะสม
ทุกท่าน ข้าหวังว่าผู้ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาใหม่ในครานี้ จะได้รับการปฏิบัติจากทุกท่านอย่างเสมอภาค !
เหตุเพราะอำเภอหลานหลิงต้องการเรียกบรรดาพ่อค้าเข้ามาลงทุนด้วยเช่นกัน และบัดนี้มีผู้ค้าขายเข้ามาหารือกับข้าแล้วด้วย
โรงงานมากมายนั้นจะถูกสร้างขึ้นที่นี่ แน่นอนว่าโรงงานต้องการคนจำนวนมหาศาลและพวกท่านรวมถึงผู้ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาก็จะได้รับผลประโยชน์จากโรงงานเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
ลองทบทวนดูว่าหากกวนซานจี้มีจำนวนประชากรเฉกเช่นทุกวันนี้…แล้วผู้ใดจะกล้ามาลงทุนกัน ?
ท่านผู้อาวุโสตระกูลกวน หากท่านเป็นพ่อค้า ท่านจะเลือกพื้นที่ไร้ประชากรเพื่อก่อสร้างโรงงานหรือไม่ ? ”
กลุ่มคนที่อยู่เบื้องล่างหัวเราะร่าออกมา ผู้อาวุโสตระกูลกวนจึงค้ำไม้เท้าแล้วยืนขึ้น จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับกลุ่มคนด้านหลังว่า
“พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้หัวเราะไป ! สิ่งที่ใต้เท้าเอ่ยนั้นเป็นความจริงอย่างหาที่สุดมิได้ กวนซานจี้ของพวกเรายากจนข้นแค้นมากว่าศตวรรษ และบัดนี้โอกาสเข้ามาเยือนแล้ว ข้าจึงขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่าผู้ย้ายเข้ามายังกวนซานจี้ทั้งหมดต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคดุจญาติมิตร !
ผู้ใดกล้าทรยศหักหลังคำเอ่ยของข้า ข้าจะเรียกประชุมวงศ์ตระกูลแล้วขับไล่มันผู้นั้นออกไป ! แน่นอนว่าจะลบชื่อออกจากสมุดรายชื่อของตระกูลด้วย ! ”
เมื่อผู้อาวุโสประจำตระกูลกวนเอ่ยเช่นนี้ ผู้ที่อยู่เบื้องล่างก็มีท่าทีจริงจังขึ้นมาในทันใด
เหอเชิงอันยกยิ้มด้วยความเข้าใจ การจัดการกับชาวบ้านนั้น ขอเพียงคว้าใจผู้อาวุโสประจำท้องที่นั้น ๆ ได้ก็เพียงพอแล้ว
“สิ่งที่ท่านผู้อาวุโสแห่งตระกูลกวนเอ่ยมานั้นมิได้มีเจตนาข่มขู่ให้พวกท่านหวาดกลัว หากมีผู้ใดประสงค์ก่อความวุ่นวาย ข้าย่อมมิอาจสั่งให้ท่านอาวุโสเปลี่ยนใจได้ !
เพื่อให้ความร่วมมือต่อการปฏิรูปคราใหญ่นี้ ที่นี่จึงได้รับอนุญาตจากติ้งอันป๋อให้ยกระดับกวนซานจี้เป็นตำบลและต่อจากนี้สืบไป จะถูกเรียกว่าตำบลกวนซานจี้ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รักษาการตำบลคนแรกคือกวนเฉิงยู่ บุตรชายคนโตของผู้อาวุโสตระกูลกวน ข้าจะรายงานเรื่องนี้แก่ติ้งอันป๋อเพื่อให้พิจารณาต่อไป…”
เมื่อสิ้นเสียงของเหอเชิงอัน ที่ลานแห่งนั้นก็ได้ปรากฏที่ปรึกษาอาวุโสผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาสาวเท้าก้าวขึ้นมาบนแท่นแล้วเอ่ยขัดจังหวะการประกาศของเหอเชิงอัน
“รายงานใต้เท้า ติ้งอันป๋อมาถึงแล้วขอรับ”
เหอเชิงอันผงะ “ติ้งอันป๋ออยู่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อยู่ที่ว่าการอำเภอขอรับ”
“อืม… พวกเรารีบกลับกันเถิด ! ”
เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยกับเหล่าชาวบ้านอีกหนึ่งประโยคว่า “ติ้งอันป๋อ เต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้าได้เดินทางมาถึงอำเภอหลานหลิงแล้ว อนาคตที่สดใสของพวกท่านจะมาเยือนในมิช้า การปฏิรูปที่ดินและการจัดสรรที่ดินแก่ทุกครัวเรือนนั้น…ภายในสองวันให้หลังนับจากนี้ข้าจะส่งคนมาและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพวกท่าน”
เอ่ยจบเขาก็รีบประสานมือคำนับแล้วเดินลงจากแท่นอย่างรีบร้อนโดยที่ผู้คนทั้งหลายมิทันได้มีปฏิกิริยาใด ๆ
“ติ้งอันป๋อเยี่ยงนั้นหรือ ? เขาก็มาด้วยหรือ ? ”
“แน่นอนสิ เขาเป็นถึงผู้ตรวจการณ์แห่งว่อเฟิงเต้าเชียวนะ ! ”
“จะว่าไปแล้ว…ครานี้คงเป็นการปฏิรูปคราใหญ่อย่างแท้จริงแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้าเอ่ยเยี่ยงนี้มิไร้สาระเกินไปหน่อยหรือ ? ติ้งอันป๋อเป็นคนระดับใดกัน ? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้เป็นบุญหูว่าท่านนายอำเภอผู้นี้คือผู้ที่ติ้งอันป๋อคัดเลือกมาเองกับมือ ! ”
“อ่า…มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงแตกต่างกับนายอำเภอในบทละครงิ้วเสียมากโข”
“จะว่าไปแล้วอนาคตที่สดใสคงมาถึงแล้วจริง ๆ ! ”
ชาวบ้านมิได้รู้อันใดเกี่ยวกับติ้งอันป๋อมากนัก แต่ทว่าพวกเขาก็เคยได้ยินกิตติศัพท์มากมายของอีกฝ่ายมาจากปากของผู้อพยพที่ผ่านมาทางนี้
ผู้อพยพเหล่านั้นเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลนับพันลี้ เพียงเพราะชื่อเสียงของติ้งอันป๋อ !
สิ่งที่ทำให้ผู้อาศัยดั้งเดิมที่กวนซานจี้ยากจะจินตนาการถึงคือเหล่าพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย คนพวกนั้นก็กระโจนเข้าหาชื่อเสียงของติ้งอันป๋อเช่นเดียวกัน
เหล่าผู้อพยพทั้งหลายบอกว่าที่แห่งนี้จะกลายเป็นบ้านแห่งใหม่ เป็นแดนสวรรค์ของพวกเขา
และพวกชนชั้นพ่อค้าเหล่านั้นก็ยังเอ่ยอีกว่า ที่แห่งนี้จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง !
พวกตนมิอาจรู้ได้ว่าแดนสวรรค์นั้นเป็นเยี่ยงไร และมิอาจรู้ได้ถึงคำว่าเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด แต่ทว่าย่อมเข้าใจสัจธรรมอยู่หนึ่งข้อซึ่งนั่นก็คือการย้ายถิ่นฐาน เพื่อหลบหนีภยันตรายและกลุ่มพ่อค้าล้วนมาเพื่อตักตวงผลประโยชน์กันทั้งสิ้น !
ในเมื่อผู้คนเหล่านี้แห่ย้ายมาที่ว่อเฟิงเต้า เช่นนั้นแล้วว่อเฟิงเต้าก็จะกลายเป็นสถานที่หลบภัยของพวกคนอพยพและเป็นสนามกอบโกยผลกำไรของบรรดาพ่อค้า
เช่นนั้นสิ่งที่นายอำเภอเอ่ยออกมาย่อมเป็นความจริงทั้งสิ้น !
เนื่องจากติ้งอันป๋อผู้เลื่องนามได้มาเยือนแล้วอย่างแท้จริง !
……
……
ณ ลานด้านหลังของที่ว่าการอำเภอหลานหลิง
ต้นผักเลือด1ต้นใหญ่ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาหนาทึบบดบังแสงสุริยา การนั่งอยู่ในศาลาพักร้อนใต้ต้นไม้นี้สามารถช่วยคลายความร้อนได้พอสมควร
บัดนี้จางปู๋ฟู้ ผู้ช่วยนายอำเภอหลานหลิงได้นั่งอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่นระริก เขากำลังต้มชาแต่ทว่าสมองรู้สึกทึ่งอยู่มิน้อย
จางปู๋ฟู้คือผู้ที่สอบเอินเคอได้ในลำดับที่ 623 และได้รับหนังสือว่าจ้างจากติ้งอันป๋อที่ห้องประชุมใหญ่ของสำนักศึกษาจี้เซี่ยเช่นกัน
แต่ทว่าเขาเคยเห็นติ้งอันป๋อจากระยะไกลเท่านั้น มิได้เป็นดั่งเช่นตอนนี้ที่ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงแค่ 3 ฉื่อเท่านั้น
“เหอเชิงอันทำงานได้ยอดเยี่ยมนัก ! ” ฟู่เสี่ยวกวนเลิกแขนเสื้อขึ้นมาเพื่อเช็ดเหงื่อ เมื่อหยุนซีเหยียนเห็นดังนั้นจึงรีบร้อนนำพัดมาพัดให้เขา เขายืนอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนและในจังหวะที่กำลังโบกพัดให้ติ้งอันป๋ออยู่นั่นเอง เขาก็ถูกติ้งอันป๋อแย่งพัดไปจากมือทั้งอย่างนั้น
“ในฐานะขุนนางคนหนึ่งย่อมมีมือมีเท้า อย่างเช่นการโบกพัดหรือกางร่มพวกนี้ก็ต้องทำด้วยตนเองทั้งสิ้น”
“ข้าจงเกลียดจงชังท่าทีโอหังของขุนนางเสียเหลือเกิน ขุนนางเยี่ยงนั้นทำได้เพียงแค่เลียแข้งเลียขาเจ้านายเพื่อเอาเปรียบลูกน้อง เป็นพวกทำอันใดได้เพียงชั่วครู่และมิอาจทำงานอย่างขยันขันแข็งได้แม้แต่น้อย ! ”
1ต้นผักเลือด เป็นพืชในสกุล Ficus ใบอ่อนเป็นสีแดงหรือชมพูเข้ม ผลรับประทานได้ ยอดและใบอ่อนนำมาทำอาหารหรือทานเป็นผักสด