ตอนที่ 699 หอสุ่ยหยุน
“ขาย… ? ” หนิงหยู่ชุนเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตกใจ หยุนซีเหยียนเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน
“ก็ต้องขายอยู่แล้ว จงกระจายข่าวนี้ไปให้ทั่ว อ่า…ช่างเถิด ช่วงนี้เจ้างานล้นมือแล้ว เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของหยุนซีเหยียนก็แล้วกัน ! ”
หยุนซีเหยียนถึงกับอ้าปากเหวอ จากนั้นก็ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “หลังจากทำการนับจำนวนเสร็จสิ้นแล้วให้เผยแพร่ข่าวการประมูลซื้อบ้านที่ว่อเฟิงเต้าออกไปให้ทั่ว มิเพียงแต่ให้คนทั้งว่อเฟิงเต้ารู้เท่านั้น จะต้องกระจายไปอีก 13 มณฑลที่เหลือด้วย ! ”
“ยิ่งมีคนรู้มากเท่าใดก็ยิ่งดี พวกเจ้าเชื่อข้าเถิดว่าจะมีผู้คนแห่เข้ามาซื้อบ้านกันมากมายเลยล่ะ รอให้ผ่านไปอีก 3 เดือน ไม่สิ ! ช่วงเวลาที่เริ่มการประมูลให้กำหนดไว้ในวันที่หนึ่งเดือนสิบ ส่วนราคาเมื่อถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองหยุนซีเหยียนแล้วกำชับอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่า “เจ้าพึงจำเอาไว้เสมอว่าทุกคนที่จะซื้อบ้านในเมืองว่อเฟิงจำต้องส่งมอบเงินมัดจำล่วงหน้าหนึ่งก้อน แล้วให้ลงชื่อกำกับในหนังสือแสดงเจตจำนงด้วยหนึ่งฉบับ”
“ฮึ ๆ สิ่งนี้ต้องกลายเป็นนโยบายทางการบริหาร ในทุกแห่งหนของว่อเฟิงเต้าหากมีบ้านหลังใดว่างไร้ผู้อยู่อาศัย ก็จงใช้วิธีนี้เหมือนกันทั้งหมด”
เมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของฟู่เสี่ยวกวน หยุนซีเหยียนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยักหน้ารับคำสั่งอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ได้เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาหนึ่งประโยคว่า “รายได้จากการขายบ้านนั้นให้ส่งภาษีให้แก่กรมคลังตามกฎเกณฑ์…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ “เจ้าคิดอันใดอยู่กัน ? ข้ายากจนขัดสนเสียจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ดังนั้นเงินทุกตำลึงให้เก็บไว้ที่ว่อเฟิงเต้า มิมีกรมใดสามารถนำเงินออกไปได้แม้แต่กรมเดียว ! ”
จริงสิ ! เสนาบดีกรมคลังเป็นพ่อตาของท่านผู้นี้ หากเป็นเช่นนี้ก็ไร้สิ่งใดให้ยำเกรง !
……
……
ขบวนรถม้าหยุดอยู่เบื้องหน้าหอสุ่ยหยุน ฟู่เสี่ยวกวนและคนทั้งขบวนต่างก้าวลงจากรถม้า
เขาสนทนากับหนานกงตงเซวี๋ยและสตรีผู้เลอโฉมทั้งสามอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็หันไปสั่งการซุยเยว่หมิงให้จัดการนำกลุ่มฝูงมดทั้งหนึ่งร้อยนายมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ใหน ๆ ก็มีคนอาสาเป็นเจ้ามือแล้ว
พรรคพวกของจังเหวินฮุยทั้งสี่มายืนรอต้อนรับอยู่เนิ่นนานแล้ว เมื่อเหลือบไปเห็นสตรีผู้เลอโฉมทั้งสี่ต่างก็ตกตะลึงกันอยู่ครู่หนึ่ง…ท่านผู้นี้ช่างมีรสนิยมดีมากยิ่งนัก !
จะว่าไปแล้ว หากรสนิยมจืดชืดก็จะเป็นการใช้เวลาในช่วงวัยหนุ่มสาวไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่มิอาจล่วงรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วสตรีที่อยู่ด้านหลังของเขาคือบรรดาฮูหยินหรือไม่ ?
พวกของซุยเย่วหมิงถูกจัดให้นั่งรับประทานอาหารบนชั้นหนึ่งภายใต้การชี้นำของจังเหวินฮุย ฟู่เสี่ยวกวนนำสตรีทั้งสี่และหนิงหยู่ชุนขึ้นไปบนชั้นสอง
เนื่องจากมีคนเยอะ จึงมีการจัดโต๊ะนั่งเป็นสองโต๊ะ
สีฉวินเหมยนำหยุนซีเหยียน หนิงซือเหยียน และชืออีหมิงไปนั่งร่วมโต๊ะในห้องอาหารส่วนตัวที่อยู่ติดกัน ส่วนหนานกงตงเซวี๋ยและอีกสามนางหากจะไปร่วมโต๊ะเดียวกันกับพวกเขาด้วยก็คงจะมิสะดวกมากนัก ฟู่เสี่ยวกวนจึงจัดให้พวกนางนั่งร่วมโต๊ะกับตนเอง
ด้วยเหตุนี้โต๊ะแรกจึงมีคนนั่งด้วยกันทั้งหมดมากกว่าสิบคน
พวกของจังเหวินฮุยนั้นรู้อยู่แล้วว่า สตรีทั้งสี่นางนี้อาจจะมิใช่ฮูหยินของติ้งอันป๋อ แต่ทว่าความสัมพันธ์ของเขาและพวกนางย่อมมิตื้นเขินอย่างแน่นอน
มิอาจทำการประมาทได้เป็นอันขาด !
รอให้บุรุษผู้นี้จัดแจงที่อยู่อาศัยลงตัวเสียก่อน แล้วค่อยพาฮูหยินของพวกตนไปเที่ยวเล่นในจวนและทำความรู้จักกับสตรีทั้งสี่คนนี้ จากนั้นก็มอบเครื่องประดับอันวิจิตรประณีตที่ผลิตในแคว้นอี๋ให้แก่พวกนาง
เมื่อยึดมั่นแล้วว่าจะคิดการใหญ่ที่ว่อเฟิงเต้า เช่นนั้นก็มิควรตระหนี่ถี่เหนียวต่อการลงทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่เต้าถายท่านนี้
ฟ่านสือหลินแห่งเพียวเซียงหยวนเมื่อเห็นดังนั้น จึงคิดออกอุบายที่จะเชื้อเชิญฟู่เสี่ยวกวนไปยังเพียวเซียงหยวนของตน และเห็นทีจะเอ่ยชวนต่อหน้าสตรีทั้งสี่นี้มิได้
เมื่อทุกคนนั่งลงครบแล้ว แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนได้นั่งตรงตำแหน่งของเจ้ามือ ส่วนหนิงหยู่ชุนนั่งอยู่ทางซ้ายมือของเขา หลังจากมีการปฏิเสธอย่างถ่อมตนอยู่ยกใหญ่ ในที่สุดจังเหวินฮุยและพรรคพวกก็ได้นั่งตรงด้านขวามือของฟู่เสี่ยวกวนไล่เรียงตามลำดับ โดยมีซูซูนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน
“สุราในวันนี้เป็นสุราหมักซีซาน ข้าน้อยได้ยินมาว่าสุรานี้ถูกกลั่นขึ้นในปีที่ท่านติ้งอันป๋อยังอาศัยอยู่ที่ซีซาน ขอเอ่ยกับท่านอย่างมิปิดบังว่าสุราชนิดนี้มิมีขายที่เมืองว่อเฟิง ข้าน้อยจึงไหว้วานให้คนซื้อมาจากเมืองจินหลิง รสชาติช่างอร่อยล้ำเลิศ แต่ข้าน้อยทำใจดื่มมิลงเสมอมา ประจวบเหมาะกับที่ท่านมาเยือนจึงเห็นว่านี่คงเป็นลิขิตสวรรค์เสียแล้ว ! ”
จังเหวินฮุยเอ่ยพลางเปิดขวดสุราแล้วเริ่มรินให้จากฟู่เสี่ยวกวนไล่เรียงจนบรรจบครบทั้งวง
ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองจังเหวินฮุยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พ่อค้าท่านนี้ช่างปากหวานเสียจริง คิดว่าธุรกิจของเขาที่เมืองว่อเฟิงคงมีขนาดใหญ่เป็นแน่
“เมื่อเถ้าแก่จังเอ่ยเช่นนี้ เห็นทีว่าสุราหมักซีซานคงจะมีโอกาสขายออกที่เมืองว่อเฟิงใช่หรือไม่ ? ”
“อย่าว่าแต่ขายออกเลยขอรับ ข้าน้อยขอรับประกันเลยว่าหากโรงงานสุราของท่านติ้งอันป๋อมาตั้งที่เมืองว่อเฟิงแห่งนี้ สุรานี้…เกรงว่าจะหมดเร็วจนผลิตมิทันเลยล่ะขอรับ ! ”
“ช่างเป็นข่าวดีเสียเหลือเกิน” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองจางเพ่ยเอ๋อร์แล้วยิ้ม “พวกเราสร้างโรงงานผลิตสุราที่นี่ดีหรือไม่ ? ”
จางเพ่ยเอ๋อร์หวนนึกถึงตอนที่นางขโมยส่วนผสมสุราของเขาในตอนนั้น คาดมิถึงว่าจะขโมยเอาของปลอมมาแทน สีหน้าของนางพลันแดงเรื่อขึ้นมาด้วยความเขินอาย จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ออกไปว่า “ว่าเยี่ยงไรนะ ? ท่านกำลังเชิญข้าไปเป็นผู้จัดการโรงงานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิเพียงแต่ให้เป็นผู้จัดการเท่านั้น เพราะข้าจะให้เจ้าเป็นเจ้าของโรงงานเสียเลย ! ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาเช่นนี้ พวงแก้มของจางเพ่ยเอ๋อร์ก็ยิ่งแดงเรื่อเป็นทวีคูณ นางก้มหน้าลงส่วนหัวใจก็เต้นระรัวด้วยความเขินอาย
หนิงหยู่ชุนถอนหายใจ แล้วเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยอารามตกตะลึง เจ้าหมอนี่…หรือว่านกถูกปล่อยออกจากกรงทองเสียแล้ว เขากำลังจะบินสูงไปยังนภากว้างใหญ่หรือเยี่ยงไร ?
เขายังมีฮูหยินอีก 3 คนอยู่ที่จวน…
“อย่าคิดมาก” ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของหนิงหยู่ชุนแล้วประกาศต่อทุกคนอย่างแจ่มชัด “พวกนางทั้งสี่เป็นคู่หมั้นของข้าเอง ! ”
จังเหวินฮุยที่ถือขวดสุราอยู่ก็พลันตกตะลึงงันขึ้นมาทันใด จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังออกมา “ช่างเหมาะสมดั่งกิ่งทองกับใบหยก ติ้งอันป๋อเป็นแบบอย่างของข้าน้อยอย่างแท้จริง มาเถิด มาเถิด… ข้าน้อยขอดื่มให้แก่ท่านหญิงทั้งสี่ ! ”
จังเหวินฮุยยกจอกสุราขึ้นมา สวี่ซินเหยียนจึงยืนขึ้นแล้วประคองมือคารวะจังเหวินฮุย จากนั้นก็กระดกสุราจนหมดจอก
จังเหวินฮุยวิ่งเข้าไปรินสุราให้นางจนเต็มด้วยความกระตือรือร้น แล้วรินให้ตนเองอีกหนึ่งจอก จากนั้นก็ยกขึ้นกระดกอีกหนึ่งครา
ซูซูยืนขึ้นแล้วคารวะเช่นกัน จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้นมากระดกจนหมดจอก
ตามมาด้วยจางเพ่ยเอ๋อร์ที่ถอยร่นไปหนึ่งเก้าแล้วย่อตัวคารวะจังเหวินฮุย ทว่าทำให้จังเหวินฮุยตกใจจนสุดขีด
“มิจำเป็น มิจำเป็นอย่างยิ่ง ข้าน้อยมิคู่ควรต่อกิริยาสุภาพนอบน้อมของท่านหญิงเลยสักนิด ! ”
จางเพ่ยเอ๋อร์ยกจอกสุราขึ้นแล้วเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เพราะประโยคนี้ของเถ้าแก่จัง ข้าน้อยจำต้องคารวะเช่นนี้ เถ้าแก่จังเชิญดื่ม ! ”
จังเหวินฮุยมิเข้าใจในความหมายแต่ก็รีบตอบรับกลับไป “ท่านหญิงเชิญดื่ม ! ”
ตามมาด้วยหนานกงตงเซวี๋ยซึ่งย่อตัวคารวะจังเหวินฮุยด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม นางมิรีรอให้จังเหวินฮุยได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางชิงตัดบทเสียก่อนว่า “ต้องขอบคุณการต้อนรับอย่างดีของเถ้าแก่จัง แท้ที่จริงแล้วข้าน้อยมิเก่งเรื่องดื่มสุรามากเท่าใดนัก แต่ทว่าจอกนี้ข้าน้อยต้องดื่มให้หมด”
จังเหวินฮุยลอบชายตามองฟู่เสี่ยวกวนคราหนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังมองมาทางนี้อยู่พอดี สีหน้าของเขามิได้เผยความมิพอใจใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย
จังเหวินฮุยจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา จากนั้นจึงรีบกลับไปข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยรู้สึกตื่นเต้นเสียเหลือเกิน ข้าน้อยคู่ควรกับความสุภาพของท่านหญิงทั้งสี่เสียที่ใดเล่า ข้าน้อยจะลงโทษตนเองด้วยการดื่มสามจอก ขอท่านติ้งอันป๋อโปรดอย่าเก็บไปใส่ใจ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคว้ามือของเขามากุมเอาไว้ “พวกท่านทั้งหลายช่างมิเข้าใจในตัวข้าเสียจริง เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน คิดเสียว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายของท่านในตอนนี้มิใช่ติ้งอันป๋ออันใดนั่น แต่ทว่าเป็นเพียงแค่นายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง”
“พวกเราได้ร่วมดื่มสุราและรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกันถือเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต”
“พวกท่านลองคิดดูเถิด เดิมทีข้าอาศัยอยู่ในเมืองหลินเจียงที่ห่างไกลราวพันลี้ ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าวันหนึ่งจะสามารถมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเยี่ยงนี้ได้ ? ”
“ดังนั้น…นี่คือสิ่งที่เรียกว่ามีวาสนาต่อกัน เช่นนั้นทุกท่านจงรักและทะนุถนอมช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ให้ดี จงอย่าเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเลย ดื่มสุราเพื่อกระชับความสัมพันธ์ พวกท่านทั้งหลายมิได้ดูหมิ่นดูแคลนนายน้อยเศรษฐีที่ดินเยี่ยงข้า อีกทั้งยังเลี้ยงอาหารต้อนรับข้าอีกด้วย ข้าชอบใจมากยิ่งนักแต่ทว่าหากทำเหมือนต้องการประจบประแจงข้าเยี่ยงนี้…”
ฟู่เสี่ยวกวนยกจอกสุราขึ้นมา “พวกท่านก็จำต้องดื่มอย่างมีข้อจำกัด ส่วนข้าก็ต้องดื่มอย่างลำบากใจ รสชาติหอมหวานของสุราจะพลันจืดชืดไปเสียหมด”
“ทุกท่าน ข้าขอใช้สุราจอกนี้ของเถ้าแก่จังเพื่อดื่มให้กับพวกท่านทั้งหลาย ขอให้การค้าขายของทุกท่านเจริญรุ่งเรือง ขอให้เงินทองไหลมาเทมาในทุกวัน ! ”