ตอนที่ 706 บันทึกหนานเคอ
‘ท่านพ่อ ! …
ข้าจากไปอย่างเงียบ ๆ
เฉกเช่นที่ข้ามาเยือนอย่างเงียบ ๆ
ข้าโบกมือลาอย่างเชื่องช้า
อำลาเมฆทิศประจิม
……
ผมครุ่นคิดไปมาและท้ายที่สุดก็คิดถึงแต่คุณ
ฝีมือการแสดงของคุณช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ แม้ว่าผมมีโอกาสอยู่ข้างกายคุณไม่นานเท่าใดนัก แต่คุณก็ไม่เคยเผยจุดน่าสงสัยอันใดให้ผมเห็นเลย
อย่างไรก็ตามคุณยังเป็นพ่อของผม แต่ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าคุณเดินทางข้ามเวลามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
คุณย่อมรู้ทุกบทกวีและทุกบทความที่ผมประพันธ์ออกมา ในเมื่อคุณเขียนบทกวีอำลาเคมบริดจ์บทนี้ออกมาได้ แล้วทำไมถึงไม่ประพันธ์บทกวีบนโลกใบนี้ให้มากกว่านี้ล่ะ ?
หากคุณทิ้งร่องรอยหลงเหลือเอาไว้บ้าง ผมคงถ่อมตัวมากกว่านี้และคงควบคุมตนเองมากกว่านี้
พวกเรามาเปิดอกคุยกันได้ไหม ?
ประเทศสหรัฐอเมริกามีคนแซ่หม่า1อยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ใกล้ออกจากโลกไปอยู่บนดาวอังคารเต็มทีแล้ว แต่เกรงว่าคุณคงไม่รู้จักเขา เพราะหากดูตามเวลาที่คุณมาถึงอย่างน้อยก็น่าจะยี่สิบกว่าปีแล้ว ประเทศจีนของเรานั้นมีคนดังที่แซ่หม่าอยู่ 2 คน ราวกับว่าคนที่มีแซ่หม่าจะเก่งไม่เบา แล้วทำไมคุณถึงเลือกแซ่ฟู่กันล่ะ ?
คุณอยากรู้ไหมว่าตั้งแต่คุณจากประเทศจีนมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนได้เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นมาบ้าง ?
ถ้าอยากรู้ก็บอกผมสักคำ แล้วผมจะเล่าให้คุณฟังอย่างละเอียดเอง
หากคุณแสดงความจริงใจออกมาให้ผมเห็นสักหน่อย ลายมือนั้นผมเคยนำไปเปรียบเทียบอย่างละเอียดแล้ว พบว่าอักษรที่สลักอยู่บนผนังหินไม่ใช่ลายมือของคุณ เหตุผลที่สามารถอธิบายได้ก็คือคุณได้ปิดบังลายมือที่แท้จริงมาเนิ่นนานแล้ว
ตอนที่ตอบกลับจดหมายขอให้ใช้ลายมือแบบที่สลักบนผนังได้ไหมครับ ?
เพราะมันสวยกว่าลายมือของคุณในตอนนี้มากนัก…’
ฟู่ต้ากวนยิ้มอยู่คนเดียวแล้วเอ่ยพึมพำ “ลูกเอ๋ย…ก็พ่อเขียนลายมือแบบนั้นมิได้จริง ๆ นี่ ! ”
ในตอนนั้นเองก็ได้ปรากฏร่างหนึ่งลอยลงมาจากท้องนภา
ฟู่ต้ากวนเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นจึงหยิบจอกสุราขึ้นมาเพื่อรินใส่จอกสองจอก
“ศิษย์น้องผ่ายผอมลงมากนัก ! ”
“ศิษย์พี่เอ๋ย จะมิให้ข้าผอมลงได้เยี่ยงไรเล่า ? ขอเชิญศิษย์พี่นั่งลงก่อนเถิด มาจิบสุราชมจันทราด้วยกัน ! ”
ผู้ที่มาเยือนคือซูฉางเซิงแห่งสำนักเต๋า !
ศิษย์พี่เละศิษย์น้องชนจอกสุราด้วยกัน จากนั้นซูฉางเซิงก็ได้คว้าขวดสุรามารินไปพลางแล้วเอ่ยไปพลางว่า “ศิษย์น้อง ข้ากำจัดสำนักป่ากระบี่และภูเขาดาบจนสิ้นแล้ว”
“ด้วยกำลังของศิษย์พี่แล้วนั้น… เมื่อสิบปีก่อนข้าเคยบอกท่านให้กำจัดสองสำนักนี้เสียให้สิ้น แต่ทว่าตอนนั้นท่านยังมิเห็นด้วยมิใช่หรือ ? ”
“บัดนี้มันมิเหมือนกัน” ซูฉางเซิงถอนหายใจยาวหนึ่งคราแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดมิถึงว่าจะมีรายละเอียดเหมือนกับในบันทึกหนานเคอและปืนเหล่านั้นก็เกิดขึ้นมาจริง ๆ แม้แต่ช่วงเวลาที่คิดค้นปืนและผู้คิดค้นก็แทบจะมิมีสิ่งใดแตกต่าง ดูเหมือนว่าสิ่งที่บันทึกไว้ในหนานเคอนั้นจะเป็นจริงเสียทั้งหมด และตอนนี้ยุทธภพก็มิมีความจำเป็นสักเท่าใดแล้ว”
ฟู่ต้ากวนคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง จึงเห็นว่าเป็นความคิดที่มีเหตุผลมากยิ่งนัก
“ช่างน่าเสียดายมากยิ่งนัก ที่บันทึกหนานเคอนั่นมีความยาวเพียงแค่สามหน้ากระดาษเท่านั้น พวกเราต่างก็รู้ว่าตอนนี้การปฏิรูปคราใหญ่นั่นคือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังกระทำการอยู่ แต่เรามิรู้ว่าเมื่อใดที่ฟู่เสี่ยวกวนจะหวนคืนกลับมายังราชวงศ์อู๋ และยิ่งมิรู้ด้วยซ้ำว่าโชคชะตาของเขาต่อจากนี้นั้นจะเป็นเยี่ยงไร ? ”
ซูฉางเซิงพยักหน้า “ทุกวันนี้เหตุการณ์กำลังดำเนินไปถึงหน้าที่สาม และหนึ่งในนั้นได้เอ่ยถึงการที่ราชวงศ์หยูจะเผชิญกับอุทกภัยคราใหญ่ หลายเขื่อนในแม่น้ำฮวงโหจะแตก และเขื่อนตรงลานตะพักลําน้ำจิงเจียงของแม่น้ำแยงซีก็จะแตกเช่นกัน ส่วนแคว้นฝานกลับต้องเผชิญกับภัยแล้ง และภัยร้ายจากฝูงตั๊กแตน ด้านแคว้นฮวงเมื่อย่ำเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าจะรุกล้ำเข้าสู่ราชอาณาจักรหยูจากทางใต้อีกครา”
ฟู่ต้ากวนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครา “ข่าวพวกนี้ยังต้องให้ศิษย์พี่ช่วยเผยแพร่ไปอีกครา เพื่อให้แต่ละแคว้นเตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ พยายามให้มีคนตายน้อยที่สุดก็แล้วกัน ในบันทึกนั้นได้เอ่ยถึงก๊าซที่เขตเป่ยเซียว แต่ทว่าทั้งข้าและท่านก็ยังมิรู้เลยว่าก๊าซมันคือสิ่งใดกันแน่
ข้าส่งคนไปสำรวจที่เขตเป่ยเซียวเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไร้ข่าวคราวที่สำคัญจวบจนกระทั่งวันนี้ เกรงว่าคงจะมีเพียงแค่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่เข้าใจ”
“ตามที่บันทึกได้เอ่ยไว้ เจ้าสิ่งที่เรียกว่าก๊าซจะปรากฏขึ้นในอีกสามปีให้หลัง ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ฟู่เสี่ยวกวนจะหวนคืนสู่ราชวงศ์อู๋ แต่ก็มิรู้เลยว่าก๊าซนั้นมีไว้ทำอันใดกันแน่”
ซูฉางเซิงหันไปจ้องมองฟู่ต้ากวน “ในเมื่อพวกเรารู้ลิขิตสวรรค์เช่นนี้ พวกเราให้ฟู่เสี่ยวกวนเอาสิ่งที่เรียกว่าก๊าซออกมาเลยมิดีกว่าหรือ ? ”
ดวงตาของฟู่ต้ากวนเป็นประกาย แต่ทว่าเขากลับเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เช่นนี้…จะมิเท่ากับว่า พวกเราทำการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาหรอกหรือ ? จะเป็นการนำหายนะมาสู่ฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ? ”
“เอ่อ…” ซูฉางเซิงนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน บันทึกหนานเคอเล่มนี้เป็นดั่งของวิเศษจากสรวงสวรรค์ หากลอบบิดเบือนก็เท่ากับว่า เป็นการแก้ไขประวัติศาสตร์ และถ้าเป็นเช่นนั่นก็เกรงว่าสวรรค์จะต้องนำหายนะมาให้อย่างแน่นอน
“เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถิด ชะตาชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนทุกหย่อมหญ้า ท่านอย่าให้เขาเผชิญกับอันตรายใด ๆ เข้าก็เป็นพอแล้ว”
บันทึกหนานเคอมีเพียงแค่ซูฉางเซิงและฟู่ต้ากวนเท่านั้นที่ล่วงรู้ มันมีความลึกลับอันน่าพิศวงเสียยิ่งกว่าคัมภีร์ทำนายอนาคตทุยเป้ยถูของโลกที่ฟู่เสี่ยวกวนจากมาเสียอีก
บันทึกที่ขาด ๆ หาย ๆ สามหน้านี้ มิอาจรู้ได้เลยว่าผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ แต่ทว่าด้านในมีการบันทึกเรื่องราวของเหตุการณ์ในช่วงเวลานี้เอาไว้
ในบันทึกนั่นยังบ่งบอกอย่างแม่นยำอีกด้วยว่า ขุมทรัพย์ของราชวงศ์เฉินถูกซ่อนไว้ที่วัดฟูจื่อ อีกทั้งยังบอกอย่างละเอียดด้วยว่ากุญแจที่ใช้เปิดนั่นอยู่ในมือของเฉินจาวจวิน อีกทั้งยังกล่าวถึงแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่งที่อยู่เบื้องล่างของวัดฟูจื่อ
มิหนำซ้ำบทกวีอำลาเคมบริดจ์ที่ถูกสลักไว้บนผนังหินก็ได้ปรากฏอยู่บนหน้าแรกของบันทึกนี้ด้วยเช่นกัน !
แน่นอนว่าผู้ที่สลักตัวอักษรนั้นมิใช่ซูฉางเซิงและก็มิใช่ฟู่ต้ากวนด้วยเช่นกัน
อีกทั้งประโยคสุดท้ายยังถูกดัดแปลงเพราะตามบทกวีดั้งเดิมจะเขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าสะบัดแขนเสื้อกว้าง มิพรากไปแม้ม่านเมฆสักผืน’
ฟู่ต้ากวนพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นจึงเปลี่ยนบทสนทนา “ศิษย์พี่ ตัวข้านั้นยังสงสัยในบันทึกนี้อยู่ดี เหตุใดบันทึกนี้จึงมิได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนที่ภูเขาหิมะถล่มลงมากันเล่า ? และมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่หลิงเอ๋อร์ครองบัลลังก์อีกด้วย เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ทว่ากลับมิกล่าวถึงเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว”
ซูฉางเซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จะว่าไปแล้วบันทึกเล่มนี้ก็ได้เอ่ยถึงเรื่องราวในราชวงศ์อู๋น้อยมากยิ่งนัก เขาจึงคาดเดาเอาเองว่า “บางทีสวรรค์คงเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย”
ฟู่ต้ากวนเงยหน้าขึ้นชมจันทราสุกสกาวแล้วตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบเนิ่นนาน ในที่สุดจึงพึมพำออกมาว่า “หรือบางที…อาจจะมิใช่บันทึกจากสรวงสวรรค์ แต่ทว่ามันเหมือนบันทึกจากความทรงจำของนางเสียมากกว่า ! ”
ซูฉางเซิงรู้สึกประหลาดใจและมิเข้าใจประโยคที่ศิษย์น้องเอ่ยเท่าใดนัก
……
……
แสงจันทราบนท้องนภาที่เมืองว่อเฟิงส่องแสงกระจ่างเฉกเช่นเดียวกันกับที่ราชวงศ์อู๋
หลังที่ว่าการเขตว่อเฟิง ฟู่เสี่ยวกวนได้พำนักอยู่ภายในจวนและวันนี้ก็มีแขกผู้ทรงเกียรติมาเยือน คนผู้นั้นคือองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียน !
เพื่อเป็นการเลี้ยงอาหารต้อนรับหยูเวิ่นเทียน ฟู่เสี่ยวกวนจึงจัดงานเลี้ยงขนาดย่อมจำนวน 2 โต๊ะขึ้น ณ หอสุ่ยหยุน มีหนิงหยู่ชุนและสีฉวินเหมยนั่งอยู่ในนั้นด้วย
ในห้องอาหารส่วนตัวที่มีชื่อว่าซีเซียงจึงมีเพียงแค่พวกเขาทั้งสี่คนเท่านั้น
บัดนี้บรรยากาศในงานเลี้ยงค่อนข้างเศร้าหมองเพราะหยูเวิ่นเทียนได้ไถ่ถามถึงจุดจบขององค์ชายสี่หยูเวิ่นชู
“มิว่าเยี่ยงไร เขาก็คือพระอนุชาของข้า…” หยูเวิ่นเทียนยกจอกสุราขึ้นแล้วเทราดลงพื้น “สุราจอกนี้ขออุทิศให้แก่พระอนุชา ขอให้เขาได้มาเกิดใหม่ในเร็ววัน แต่ทว่าอย่าเกิดมาเป็นราชนิกุลอีกเลย”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ หยูเวิ่นเทียนก็โยนเรื่องนี้ทิ้งแล้วหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน “แม่ทัพเฟิงเสียนชูแห่งแคว้นอี๋ได้ส่งกองทัพไปยังแคว้นฮวงแล้วจริง ๆ ในวันที่หนึ่งเดือนแปด เฟิงเสียนชูได้รวบรวมทหารกว่าสามแสนนายออกจากแนวเขตแดนเกาเชวียซาย ระยะเวลาเพียงแค่ 10 วัน เขาก็สามารถกวาดล้างชนเผ่าต่าง ๆ ทั้งหกชนเผ่าได้จนสิ้นซาก…”
“หลังจากนั้นเขาก็ได้เผชิญหน้ากับกองทัพดาบสวรรค์กองกำลังที่สอง ซึ่งเป็นกองทัพของท่าป๋ายิงและมีจำนวนมากกว่าหนึ่งแสนนาย ทั้งสองฝั่งเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือดบนที่ราบชางหลาง ผลสรุปของสงครามครานี้เป็นเยี่ยงไรนั้นยังมิแน่ชัด และที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ ประการแรก…ข้ามิได้พบเจ้ามาเนิ่นนานแล้วจึงอยากมาหา และประการที่สองเพื่อมาแจ้งข่าวให้เจ้าทราบ”
หยูเวิ่นเทียนโน้มกายเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างตั้งใจว่า “ชาวฮวงผลิตปืนคาบศิลาสำเร็จแล้ว ! ”
1คนแซ่หม่า ณ ที่นี้ หมายถึง Elon Musk เพราะในภาษาจีนมีการเลียนเสียง Musk ว่าหม่าซือเค่อ