ตอนที่ 715 ร่วมขับร้องร่วมดื่มอย่างสบายใจ
“เจ้าจงใจแกล้งข้านี่ ! ”
“ก็ข้ามิได้เห็นเจ้าประพันธ์บทกวีมานานแล้วนี่ ประจวบเหมาะกับวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์และมีแขกเหรื่อนั่งอยู่เต็มไปหมด ในจำนวนนี้มีหลายคนยังมิเคยเห็นเจ้าประพันธ์บทกวีด้วยตาของตนเองเลย หากมิประพันธ์ออกมาสักบทเพื่อความสนุกสนาน จะมิเสียชื่อเสียงของผู้ชนะการแข่งประพันธ์กวีที่เจ้าครอบครองหรอกหรือ ? ”
เมื่อได้ยินคำเอ่ยนี้ หลายคนจึงได้หวนนึกถึงตอนที่เต้าถายท่านนี้ไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวงศ์อู๋เมื่อปีกลาย เขาใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวก็สามารถกำราบความอหังการของนักวรรณกรรมแห่งราชวงค์อู๋ได้จนสิ้น
แม้ว่าหนานกงตงเซวี๋ยจะเคยเห็นบทกวีและบทความเหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวนที่ราชวงศ์อู๋แล้วก็ตาม แต่ทว่านางยังมิเคยเห็นฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันขึ้นมาประพันธ์บทกวีภายในระยะเวลาอันสั้นเลยสักครา
จางเพ่ยเอ๋อร์ยิ่งรอคอยมากกว่าผู้ใดเพราะนางเคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดงของฟู่เสี่ยวกวนตอนที่อยู่ในเมืองหลินเจียงและเคยได้ยินบทกวีสองสามบทที่เขาประพันธ์ขึ้นมา เขาจะสามารถประพันธ์บทกวีอันไพเราะขึ้นมาได้ภายในเวลาสามก้าวตามคำเล่าลือหรือไม่ ?
คนหนุ่มสาวเยี่ยงจังชีเยวี่ยและหวังฉาวเฟิงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของติ้งอันป๋อมาก่อน แต่ทว่าพวกเขามิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าสุภาพบุรุษท่านนี้สามารถประพันธ์บทกวีได้ภายในสามก้าวเดิน
เช่นนั้นแล้ว เมื่อหนิงหยู่ชุนเอ่ยออกมา จึงทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างของฟู่เสี่ยวกวน
มิว่าเพราะเทิดทูนในพรสวรรค์เยี่ยงที่จังชีเยวี่ยรู้สึก หรือเป็นความเคารพนับถือที่เหล่าพ่อค้ามีต่อเขาก็ตาม สรุปคือทุกคน ณ ที่แห่งนี้ล้วนรอคอยให้เขาประพันธ์บทกวีออกมา
มิว่าจะไพเราะดั่งใจหวังหรือไม่นั้น สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องนี้ย่อมเปี่ยมไปด้วยความหมาย…
สำหรับบรรดาพ่อค้าที่มีฐานะต่ำต่อย การที่ได้รับคำเชิญจากติ้งอันป๋อ ก็ถือว่านี่เป็นเรื่องที่วิเศษมากแล้ว
อีกทั้งยังมีโอกาสเป็นสักขีพยานในการประพันธ์บทกวีของติ้งอันป๋อด้วย เรื่องนี้นำไปโอ้อวดอีกสักสามปีก็ยังได้ !
เฉียวลิ่วเยจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาซับซ้อน เจ้าหนุ่มคนนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของตน แต่อายุเท่านี้ก็ได้รับตำแหน่งสูงส่งเป็นถึงผู้ตรวจการแล้ว อีกทั้งติ้งอันป๋อก็ยังเป็นสถานะสูงส่งอีกหนึ่งสถานะด้วย
เขาชำนาญด้านการค้า เชี่ยวชาญในด้านการเกษตร เก่งกาจในการสงคราม อีกทั้งยังช่ำชองในการประพันธ์บทกวี… คนประเภทนี้มิอาจหาผู้ใดเทียบเคียงได้อีกแล้ว !
จะว่าไปแล้ว บทกวีที่เขาจะประพันธ์ออกมาจะเป็นแบบใดกันนะ ?
ฟู่เสี่ยวกวนวางจอกสุราลง แล้วลูบชายแขนเสื้อของตน “ก็แค่ประพันธ์กวีเองมิใช่หรือ ? ข้าจะบอกอันใดให้… สิ่งที่ง่ายที่สุดบนผืนปฐพีนี้ก็คือการประพันธ์บทกวี ! ”
เขาเอ่ยออกมาเสียงดังและในที่แห่งนี้ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเขาแม้แต่ผู้เดียว
จัวตงหลายและพรรคพวกมีประสบการณ์โดยตรงกับความเก่งกาจของฟู่เสี่ยวกวน ส่วนคนที่เหลือก็รู้จักฟู่เสี่ยวกวนมากพอสมควร พวกเขาต่างก็เคยอ่านบทประพันธ์ของฟู่เสี่ยวกวนมาแล้วทั้งสิ้น… หยุนซีเหยียนทำกำไรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการขายหนังสือรวบรวมบทกวี ตั้งแต่เดินทางมาจนถึงทุกวันนี้เขาขายหนังสือรวมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว 3,000 เล่ม !
บทกวีเหล่านั้น… ทุกคนในที่นี้ย่อมเคยอวดอ้างความสามารถของตนมาก่อน แต่ทว่ากลับมิมีผู้ใดสามารถประพันธ์ได้ดีเท่าติ้งอันป๋อเลยสักคน ทุกคนจึงไร้ข้อกังขาต่อสถานะเจ้าแห่งบทกวีของติ้งอันป๋อ
“ผู้ใดจะฝนหมึกและจดบันทึกให้ข้า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนแผดเสียงดัง จากนั้นหนานสุ่ยหยุน เถ้าแก่แห่งหอสุ่ยหยุนก็ได้หยิบเครื่องเขียนทั้งสี่ชิ้นที่คุณภาพดีที่สุดเข้ามาให้ห้อง หนานกงตงเซวี๋ยยืนขึ้นแล้วยื่นมือเข้ามาจัดการต่อทันที “ข้าขอฝนหมึกแล้วจดบันทึกให้ท่านเอง ! ”
นางเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วฝนหมึกอย่างพิถีพิถัน ยกพู่กันขึ้นเมื่อพร้อมแล้วจึงหันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเป็นการตอบรับแล้วเริ่มเอื้อนเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า
“เหมยหนึ่งดอก ในวันไหว้พระจันทร์เดือนอ้าย”
“ระลึกถึงวันไหว้พระจันทร์ท่ามกลางกลิ่นหอมหวลมวลผกา
เงาบุปผาแจ่มฉายบนจอกสุรา
จันทราสว่างสะท้อนบนจอกเดียวกัน
ราตรีนี้ยกจอกเย้ยแสงจันทรา
พยับเมฆปกคลุมบัญชร
หยาดฝนพรั่งพรูกระทบหน้าต่างจนเปียกปอน…”
ฟู่เสี่ยวกวนขับขานทำนองพร้อมกับทอดสายตาออกไปมองสายฝนที่พรั่งพรูลงมา หนานกงตงเซวี๋ยจรดพู่กันลงบนกระดาษ
ทุกคนหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาตกตะลึงงัน…
นี่ประพันธ์ออกมาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
สำหรับเขาแล้ว การประพันธ์บทกวีคงเป็นเรื่องง่ายที่สุดดังที่เขาเอ่ยไว้สินะ !
ซูซูจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเริงร่า เพราะนางโปรดปรานฟู่เสี่ยวกวนในแบบที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงเป็นที่สุด
ส่วนหวังฉาวเฟิงและคนหนุ่มสาวที่เคยเป็นชาวอี๋มาก่อน รู้สึกราวกับมีคลื่นซัดถาโถมอยู่ภายในใจ…ชื่อเสียงของเขามิใช่เรื่องเท็จแต่อย่างใด !
เช่นนั้นความสามารถในการบริหารก็คงจะเกิดขึ้นแค่เพียงปลายนิ้วมือขยับ !
พวกเขาได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของว่อเฟิงเต้าอย่างมากมาย หากจะบอกว่ามีความคืบหน้าให้ฟังทุกวันก็คงมิได้เกินจริงสักเท่าใดนัก
แม้แต่คนในตระกูลของตน ทุกวันนี้ก็ได้ส่งคนไปประจำในหลากหลายอำเภอแล้ว เพื่อที่จะสร้างโรงงานแห่งใหม่ขึ้นมาและเพื่อให้ได้รับสิทธิ์ก่อนผู้ใด
ดูเหมือนว่าพวกเขายังมิทันได้ทำอันใด แต่ทว่าทุกอย่างในว่อเฟิงเต้าก็ได้แผ่ขยายไปอย่างมีระบบระเบียบเช่นนี้แล้ว
ดั่งคำของบิดาที่กล่าวเอาไว้ว่าการบริหารบ้านเมืองนั้น เป็นดั่งการทำอาหาร
ถ้าลองมองไปให้ไกลสักหน่อย บุรุษผู้นี้จำต้องหวนคือสู่ราชวงศ์อู๋เป็นแน่… และราชวงศ์อู๋ย่อมถูกเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเมื่อเขากลับไป
หากมีการเตรียมการไว้ที่ราชวงศ์อู๋ตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อถึงเวลาก็จะไปได้เร็วขึ้นมิใช่หรือ ?
เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หวังฉาวเฟิงผู้มีลางสังหรณ์แม่นยำทางการค้าหรือแม้แต่การเมืองก็ได้บังเกิดความคิดขึ้นมามากมายและเขาก็ได้คิดไปไกลแสนไกล
พ่อค้าชาวหยูและราษฎรทั่วไปล้วนนำบ้านของตนเองไปเสี่ยงกับฟู่เสี่ยวกวน แล้วเหตุใดตนถึงมิกล้าเสี่ยงกันเล่า ?
ตนรู้สึกชื่นชอบความกล้าได้กล้าเสียจริง ๆ ชอบจนถึงขนาดที่ทำให้ตนลืมสิ้นเรื่องความแตกต่างของเชื้อชาติ
บัดนี้เขายิ่งจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตารุ่มร้อนมากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็ได้ยินเสียงของฟู่เสี่ยวกวนขับขานต่อว่า
“ข้าใคร่ขี่ลมขึ้นทูลถามองค์ทวยเทพ
ทว่าทางสวรรค์ช่างทรหด
ส่งข้อความก็มิอาจถึง
มีเพียงแสงเทียนโชติช่วงส่องสว่างในงานเลี้ยง
ให้เราได้ร่วมขับร้องจนจบ
ให้เราได้ดื่มหมดจอกอย่างสบายใจ”
……
……
ข้าใคร่ถามองค์ทวยเทพทว่าทางสวรรค์ช่างทรหด ! อยากส่งจดหมายไปก็ส่งมิถึง ห้องโถงแห่งนี้ไร้แสงจันทราส่องสว่างมีเพียงแสงเทียนสว่างโชติช่วง
ให้พวกเราดื่มสุราสองสามจอกกันอย่างเชื่องช้า ให้พวกเราร่วมขับขานบทเพลงจนจบ !
ความหมายเดิมของกวีบทนี้สื่อถึงคนที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่แต่ประสบกับความผิดหวัง แต่ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนขับขานออกมาก็ทำให้ผู้ฟังได้อรรถรสไปอีกแบบ…
กวีบทนี้ได้แสดงถึงความเสียดายอย่างสุดซึ้งของฟู่เสี่ยวกวนที่มิอาจชมจันทราในวันไหว้พระจันทร์ได้ ขณะเดียวกันเขาก็ใช้มันแสดงถึงการมองโลกในแง่ดีและความใจกว้างดั่งมหาสมุทร !
มิว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นเยี่ยงไร สุราจอกนี้ก็ต้องดื่ม บทเพลงนี้ก็ยังต้องขับร้องต่อไป !
ดังนั้นมันคือความสบายใจ !
เพราะเราต่างมีความบกพร่อง จึงทำให้เข้าใจความหมายได้อย่างลึกซึ้ง เป็นความสบายใจที่ผู้ใดก็สามารถเข้าถึงได้ !
ทุกคนพากันยืนขึ้นแล้วปรบมือเสียงดังราวกับกำลังบ้าคลั่ง และมีบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
“ให้เราได้ร่วมขับขานบทเพลงจนจบ ให้เราได้ดื่มหมดจอกอย่างสบายใจ… พวกเราทั้งหลายจงยกจอกสุราขึ้นมาแล้วทำตัวให้สบายเยี่ยงติ้งอันป๋อ ! ”
หนิงหยู่ชุนตะโกนเสียงดัง ทุกคนจึงยกจอกสุราขึ้นมา งานเลี้ยงในราตรีวันไหว้พระจันทร์จึงดำเนินไปถึงจุดสูงสุดของเหตุการณ์
ในราตรีนั้นเอง ฟู่เสี่ยวกวนดื่มหนักเสียจนเมามายอีกครา
ในราตรีนั้นเอง ‘เหมยหนึ่งดอกในวันไหว้พระจันทร์เดือนอ้าย’ ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งเมืองว่อเฟิง
ฟ่านสือหลินที่เมื่องานเลี้ยงเลิกราก็ได้ตรงดิ่งไปยังเพียวเซียงหยวนของตนแล้วนำบทกวีนี้มาประพันธ์ทำนอง ในราตรีนั้นเองทำนองก็ได้ถูกแต่งให้เข้ากับคำร้องจนเสนาะหู จากนั้นก็ถูกส่งให้หญิงสาวคนหนึ่งผู้มีนามว่าลู่เสี่ยวเฟิงแห่งเพียวเซียงหยวน
ส่วนข่าวที่ว่าสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้มากถึง 760 ชั่งต่อ 1 หมู่ ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองว่อเฟิงภายในคืนนั้นด้วยเช่นกัน ผู้คนบ้างก็ตกตะลึง บ้างก็กล่าวชม แต่ส่วนใหญ่มิเชื่อ…
เอ่ยอย่างกับว่าเป็นเรื่องจริง คิดว่าข้ามิเคยทำนาหรือเยี่ยงไรกัน ?
ติ้งอันป๋อมิใช่เทพเจ้าแห่งกสิกรรมเสียหน่อย ต่อให้มีความสามารถล้นฟ้าแต่จะสามารถเพาะปลูกข้าวที่ได้ผลผลิตสูงถึงเพียงนั้นได้จริงหรือ ?
คำเอ่ยของพวกขุนนางย่อมเชื่อถือมิได้และติ้งอันป๋อก็เป็นขุนนาง ต่อให้โอ้อวดว่าที่นา 1 หมู่สามารถออกรวงข้าวได้ 10,000 ชั่ง เจ้าจะแย้งอันใดได้ ?
เฮ้อ…สุดท้ายก็เป็นพวกเพ้อฝันอยู่ดี !
มิแปลกใจเลยที่เขายังมีท่าทีสบาย ๆ อยู่ ตอนที่ข้าโอ้อวดจนน้ำลายแตกฟอง ข้าก็ทำตัวสบาย ๆ เหมือนกันนั่นแหละ ฮึ !