ตอนที่ 720 ราคาหุ้นแสนบ้าคลั่ง ( จบ )
องค์หญิงใหญ่รู้สึกปลื้มปีติมากยิ่งนัก !
แรกเริ่มเดิมทีพระองค์ได้ช่วยหยูเวิ่นเต้าซื้อหุ้นซีซานทั้งสิ้น 500,000 หุ้น รู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้ช่างแปลกใหม่เสียจริง อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนทำออกมาอีกด้วย ดังนั้นนางจึงลงทุนเองกว่า 500,000 หุ้น
นางคาดการณ์ว่าสิ่งนี้ต้องขึ้นราคาในสักวันหนึ่ง แต่มิคาดคิดว่าหุ้นซีซานจะเติบโตถึง 18 ตำลึงต่อ 1 หุ้น ซึ่งเกินกว่าความคาดหมายของนางมากโข
เงิน 1 ล้านตำลึงได้เปลี่ยนเป็น 9 ล้านตำลึงอย่างทันตา !
มีมูลค่าเพิ่มถึง 9 เท่า !
บัดนี้ข้าได้เป็นสตรีวัยกลางคนที่ร่ำรวยแล้วสินะ จริงสิ ! เรื่องนี้ต้องขอบคุณฟู่เสี่ยวกวน ในเมื่อฮูหยินทั้งสองของเขาใกล้คลอดบุตรเต็มทีแล้ว คงต้องเตรียมของดี ๆ ไปรับขวัญเสียหน่อย
……
ตอนนี้ เก๋อโยว ขุนนางระดับหกประจำกรมพิธีการกำลังรู้สึกว้าวุ่นใจ
เมื่อปีกลายเขาใช้เงินสู่ขอลูกสะใภ้จำนวน 100 ตำลึงไปซื้อหุ้นซีซาน 50 หุ้นด้วยกัน ตอนนี้ในมือของเขาราวกับกำลังถือมันเทศร้อน ๆ
กว่าจะถึงวันที่ตลาดหุ้นเปิดทำการซื้อขายต้องรอนานถึงเพียงนี้ วันนี้ต้องรีบนำไปขายแล้ว มิเช่นนั้นก็มิรู้ว่าจะกลับไปมองหน้าแม่เสือที่จวนได้เยี่ยงไร !
เก็บไว้นานแรมปี หากว่าขายขาดทุนไปเสียล่ะก็… เช่นนั้นเขาก็สูญสิ้นความเป็นคนต่อหน้าครอบครัวแล้ว !
เก๋อโยวนั่งมิติดเก้าอี้ เฝ้ารอเวลาเลิกงานอย่างใจจดใจจ่อ เขาวางแผนว่าจะรีบตรงไปที่ธนาคารซื่อทง แต่ทว่ากลับถูกท่านใต้เท้าโอวขวางเอาไว้เสียก่อน
“ได้ยินมาว่าวันนี้ธนาคารซื่อทงเปิดซื้อขายหุ้นอย่างเป็นทางการแล้วใช่หรือไม่ ? ”
เก๋อโยวได้ยินดังนั้นจึงรีบพยักหน้าตอบแล้วเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าโอวก็ซื้อด้วยหรือขอรับ ? ”
“เยี่ยงข้านี่หรือจะซื้อของพรรค์นั้น ? มันก็แค่ละครตบตาเท่านั้น”
“เอ่อ…เยี่ยงนั้นข้าน้อยขอตัวลาก่อนขอรับ”
“มิใช่ว่าเจ้ากำลังจะไปซื้อของไร้สาระนั่นหรอกหรือ ? ข้าขอยืนยันตอนนี้เลยว่าของแบบนั้นมิมีผู้ใดเอาไปขายแล้วเก็งกำไรได้หรอก ! ”
เก๋อโยวผงะ “…เพราะเหตุใดหรือขอรับ ? ”
“เหตุผลง่ายดายถึงเพียงนี้เจ้ายังมิเข้าอีกหรือ ? มันเป็นเพียงแค่กระดาษเปล่า ๆ แผ่นเดียวเท่านั้น ! คนที่ซื้อก่อนหน้านั้นมิเข้าใจความดำมืดที่แฝงอยู่ พวกเขาต่างก็ถูกหลอกกันทั้งสิ้น แล้วตอนนี้ยังคิดจะเอาไปขายอยู่อีกหรือ ? ผู้ใดจะโง่ปานนั้นกัน นี่เปรียบเหมือนการละเล่นตีกลองส่งดอกไม้ คนที่ซื้อมาก่อนหน้านั้นก็เหมือนคนถือดอกไม้ ส่วนธนาคารซื่งทงเป็นคนตีกลองที่ต้องการให้ดอกไม้ถูกส่งต่อไปเรื่อย ๆ จึงออกอุบายตีกลองก้องอึกทึก เพราะเยี่ยงไรก็ต้องมีคนไปรับดอกไม้นั้นต่ออยู่ดี ! ”
“แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่ากลองนั้นจะหยุดเมื่อใด ? ถ้าเจ้าแลกเงินตำลึงเพื่อให้ได้มาซึ่งดอกไม้แล้วบังเอิญกลองนั้นหยุดตีในจังหวะที่เจ้าถืออยู่พอดี ข้าขอถามว่าดอกไม้ในมือของเจ้ายังมีประโยชน์อันใดอีกกัน ? ”
เก๋อโยวยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จริงสิ ! จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง เมื่อมีคนซื้อย่อมแปรสภาพเป็นเงินได้ แต่ถ้าหากว่าไร้คนซื้อ…เช่นนั้นแล้วจะนำไปเช็ดก้นก็เกรงว่าสากจนเกินไป ถ้ารู้อย่างนี้ก็ขายเสียแต่เนิ่น ๆ ยังจะดีกว่า เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงความทุกข์ใจเสียที
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงรีบยกมือขึ้นคารวะ “ข้าน้อยมีธุระต้องสะสางที่เรือน ต้องขอตัวลาก่อน”
“เอาเถิด… จำเอาไว้ให้ดีว่าอย่ารับดอกไม้นั่นเป็นอันขาด ! ”
“ข้าน้อยจะจำไว้มิลืมเลือนขอรับ”
หัวใจของเก๋อโยวเต้นแรงราวกับจะกระโจนออกมาจากอก !
เขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็ได้มาถึงประตูของธนาคารซื่อทงแล้ว…
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?
เหตุใดถึงมีผู้คนมากมายเยี่ยงนี้ ?
หรือว่าคนพวกนี้ก็มาขายดอกไม้ในมือเยี่ยงที่ท่านใต้เท้าโอวกล่าวไว้ ?
ห่วยแตก…เก๋อโยวครุ่นคิดในใจ คนขายมากมายถึงเพียงนี้แล้วผู้ใดจะเป็นคนซื้อกันเล่า !
เขารู้สึกเสียใจมากยิ่งนักที่ได้พลั้งเผลอไป ตั้ง 100 ตำลึงเชียวนะ ! เงิน 100 ตำลึงถูกโยนทิ้งลงน้ำอย่างไร้ประโยชน์ มิมีแม้กระทั่งฟองน้ำผุดมาให้เห็นแม้แต่ฟองเดียว !
เขานำสัญญาซื้อขายหุ้นออกมาจากสาบเสื้อแล้วนั่งตรงมุมหนึ่งบริเวณกำแพงธนาคารซื่อทง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเศร้าหมองในขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะกลับไปรับมือกับภรรยาที่จ้องจะด่าทอเยี่ยงไรดี ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
คนผู้นี้จ้องมองเอกสารที่อยู่ในมือของเขา รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างกายของเก๋อโยวแล้วชะเง้อเข้าไปสำรวจอย่างละเอียด
“ใต้เท้า สิ่งที่ท่านถืออยู่ในมือนั้นจะขายหรือไม่ ? ”
เก๋อโยวที่สวมชุดขุนนาง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง “ขายขายขาย…พ่อหนุ่มให้กี่ตำลึงเล่า ? ”
ชายหนุ่มผู้นั้นชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว เก๋อโยวหน้าถอดสีในทันใด เพียงแค่ 1 ตำลึงเองหรือ ? หากจะขาดทุนเกินครึ่งเยี่ยงนี้ ข้าเก็บเอาไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจเสียยังดีกว่า
เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นท่าทางของอีกฝ่ายจึงคิดว่าสิบตำลึงต่อหนึ่งหุ้นเหมือนจะซื้อมิได้เสียแล้ว ตามราคาของแผ่นป้ายตอนนี้ราคาหุ้นซีซานทะยานสู่ 18 ตำลึงต่อ 1 หุ้นเข้าไปแล้ว ในหนังสือสัญญานี้เขียนไว้ว่า 50 หุ้น เช่นนั้นก็มีมูลค่าเท่ากับ 900 ตำลึง…
หุ้นนี้ชักจะสุดยอดเกินไปแล้ว นี่มันน่ากลัวเกินไป เก้าเท่าเข้าไปแล้ว อีกทั้งยังมิรู้เลยว่าจะทะยานขึ้นไปอีกกี่เท่ากันแน่
เก๋อโยวรู้สึกว่าพ่อหนุ่มดูแคลนที่เขาถือหุ้นน้อยนิดจึงถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงปัดก้นและกำลังจะเดินจากไป แต่กลับถูกชายหนุ่มผู้นั้นคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน
“เอาราคาตามป้าย ท่านถือทั้งหมด 50 หุ้นด้วยกัน ข้าให้ท่าน 900 ตำลึง ท่านพอใจหรือไม่ ? ”
เก๋อโยวตกตะลึงงันขึ้นมาทันพลัน “เจ้าว่าเท่าใดนะ ? ”
ชายหนุ่มคนนั้นคิดว่าเก๋อโยวยังคิดจะโก่งราคาจึงส่งยิ้มแห้ง ๆ แล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้า… ราคาหุ้นซีซานคงมิพุ่งสูงไปกว่านี้อีกแล้ว รีบขายเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า ! ”
“ข้าถามว่าเจ้าจะให้กี่ตำลึง ? ”
“900 ตำลึง หากมากไปกว่านี้ข้าคงมิกล้าซื้อแล้ว”
เก๋อโยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…จริงแท้แน่นอน หากท่านจะขายต่อให้ข้า พวกเราก็เข้าไปทำธุรกรรมเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย”
“ขายขายขาย พ่อหนุ่มน้อย เชิญ ! ”
“ใต้เท้า เชิญ ! ”
……
……
เก๋อโยวรู้สึกราวกับฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
บัดนี้เขากำลังหอบเงิน 900 ตำลึงไว้ในอ้อมอก !
เงินลงทุนแรกเริ่มเพียงแค่ 100 ตำลึงเท่านั้น !
หากว่าตอนนั้นซื้อไว้สัก 100 หุ้น ตอนนี้คงได้กำไร 1,600 ตำลึงไปแล้ว
หากว่าตอนนั้นยอมทุ่มสุดตัวหรือแม้กระทั่งขายจวน แล้วนำไปซื้อหุ้นสัก 1,000 หุ้น… ก็เท่ากับว่าจะขายได้…16,000 ตำลึง !
สวรรค์ทรงโปรด !
เก๋อโยวยกมือขึ้นตบไปกลางหน้าผาก เงินตำลึงหาได้ง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
เสียดาย ช่างน่าเสียดายยิ่ง ! น่าเสียดายที่พลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้ไป !
ภรรยาโง่เง่าสมควรตาย !
ดูสิว่าข้าจะไล่นางออกจากเรือนเยี่ยงไร!
ในขณะที่เก๋อโยวกำลังจะเดินออกจากห้องธุรกรรม ภายในห้องโถงก็เกิดเสียโห่ร้องขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
“ไอหยา…หุ้นซีซานขึ้นอีกแล้ว ! ”
“20 ตำลึงต่อ 1 หุ้น ! ”
“ดูเหมือนว่าจะทะยานถึง 30 ตำลึงต่อ 1 หุ้นได้อย่างมิมีปัญหา”
“จากชื่อเสียงของติ้งอันป๋อแล้ว ข้าคิดว่าอาจจะถึง 50 ตำลึงต่อ 1 หุ้นก็เป็นได้ ! ”
“…”
เก๋อโยวแทบจะลมจับในทันใด เวรเอ๊ย ! นี่มันบ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เวลาเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ทำให้ข้าขาดทุนไปอย่างไร้มูลเหตุตั้ง 100 ตำลึง !
เขาอยากจะกระอักเลือดออกมา เหตุใดข้าถึงมิรออีกสักประเดี๋ยวกันนะ ?
ถือไว้ในมือนานเป็นแรมปี เหตุใดถึงมิทนถือต่ออีกสักนิดกันเล่า ?
หากมิใช่เพราะคำเอ่ยเขียนเสือให้วัวกลัวของใต้เท้าโอว ข้าจะรีบพุ่งมาขายมันทิ้งเยี่ยงนั้นหรือ ?
“ใต้เท้าโอว เป็นเพราะท่าน ! ”
ในขณะที่ธนาคารซื่อทงกำลังบังเกิดฉากของความบ้าคลั่งอยู่นั้น ณ จวนติ้งอันป๋อ ทั้งเยี่ยนเสี่ยวโหลวและต่งชูหลานกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดไปพร้อม ๆ กัน…
“ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ตอนนี้ทะยานสู่ 20 ตำลึงต่อ 1 หุ้นเข้าไปแล้ว…เหตุใดข้าถึงรู้สึกพะว้าพะวังใจเสียเหลือเกิน ? พี่ชูหลาน พวกเราควรลดน้ำหนักการลงทุนลง1หน่อยดีหรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “หากลดน้ำหนักการลงทุนแล้ว อีก 2 ล้านหุ้นดั้งเดิมที่พวกเราถืออยู่จะมิราคาตกจนสูญเปล่าเลยหรือ ? ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ค่อย ๆ ทยอยขายออกไป ! ”
1ลดน้ำหนักการลงทุน คือ การลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่กล่าวถึง เช่น ตลาดหุ้นจีน แต่เดิมอาจจะลงทุนเพียง 10% ของพอร์ต ก็ลดสัดส่วนให้น้อยลง อาจจะเหลือ 5% ของพอร์ต และไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดอื่นแทน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ขายเงินลงทุนในตลาดหุ้นจีนทั้งหมด และไปลงทุนในตลาดอื่นแทน