ตอนที่ 737 บังเกิดความกลัวเล็กน้อย
ซือหม่าเช่อจัดการตีงูให้หลังหัก นางหยิบสัญญาสองฉบับออกมาจากแขนเสื้อแล้วเรียกหาพู่กันกับน้ำหมึก ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญาฉบับนี้ด้วยตนเอง
จากเดิมทีเป็นข้อตกลงทางธุรกิจ บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นการส่งมอบของกำนัล
“ในเมื่อผู้อาวุโสจางมีความจริงใจถึงเพียงนี้ เยี่ยงนั้นข้าขอเชิญท่านลงนามและประทับลายนิ้วมือในสัญญาฉบับนี้ด้วยเถิด”
บุตรชายทั้งสามและหลานชายอีกหนึ่งคนของตระกูลจางล้วนหันไปจ้องมองจางผิงจวี่ด้วยอารามตกตะลึงอย่างถึงที่สุด… เมื่อจางผิงจวี่ลงนามและประทับลายนิ้วมือเสร็จสิ้นก็เท่ากับว่าที่นาจำนวน 3,000 หมู่จะกลายเป็นของผู้อื่นอย่างถูกกฎหมายและชอบธรรม !
แต่ทว่าติ้งอันป๋ออยู่ที่นี่ด้วย แม้ว่าพวกเขาอยากจะเอ่ยเตือนหัวหน้าตระกูลสักหนึ่งประโยคแต่ก็มิมีความกล้ามากพอ
สิ่งที่จางผิงจวี่คิดย่อมแตกต่างออกไปเพราะถึงเยี่ยงไรทั้งสามคนนี้ก็จะมีชีวิตอยู่มิพ้นคืนนี้อยู่แล้ว ต่อให้ข้าลงนามไปตัวโต ๆ แล้วจะเป็นอันใดไปเล่า ?
อีกชั่วครู่หากสามคนนี้สิ้นใจแล้ว ค่อยนำสัญญาฉบับนี้กลับมาเผาทำลายก็ยังมิสายเกินไปนี่ ส่วนที่นาผืนนี้ก็จะคงอยู่ในมือของข้าดังเดิม
เมื่อคิดได้ดังนั้น จางผิงจวี่จึงหยิบพู่กันขึ้นมาจรดลงนาม จากนั้นก็เรียกให้คนนำเบาะพิมพ์เข้ามาและประทับลายนิ้วมืออย่างระมัดระวังลงไปในหนังสือสัญญา
“ข้าน้อยจะทำให้ดีที่สุดเพื่อการพัฒนาในว่อเฟิงเต้าเพราะนี่คือเกียรติยศของข้าน้อย…” เขาส่งสัญญาฉบับหนึ่งให้กับซือหม่าเช่อและเอ่ยต่อว่า “ตระกูลซือหม่ามาลงทุนและสร้างโรงงานที่หงเย่จี๋ถือเป็นโชคดีของหงเย่จี๋อย่างแท้จริง ในภายภาคหน้าที่โรงงานหงเย่รับสมัครคนงาน… ข้าน้อยก็ใคร่ขอให้ใต้เท้ารับคนตระกูลจางเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยเถิดขอรับ”
ซือหม่าเช่อเป่ารอยน้ำหมึกที่ยังมิแห้งบนสัญญาอย่างชอบใจแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านจางโปรดวางใจ เนื่องด้วยวิสัยทัศน์ที่รอบรู้ของผู้อาวุโส ข้าขอสัญญาว่าในภายภาคหน้าหากโรงงานหงเย่รับสมัครคนงาน ข้าจะมอบสิทธิพิเศษให้แก่คนของตระกูลจางก่อนอย่างแน่นอน”
“ขอขอบพระคุณใต้เท้าซือหม่าขอรับ ! ” จางผิงจวี่โค้งคำนับ
บัดนี้บรรดาลูกหลานเพิ่งได้เข้าใจในความอุตสาหะของหัวหน้าตระกูล… ท่านทำเพื่อคนในตระกูลจางและนี่ถือเป็นการกระทำแสนฉลาดโดยการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว !
ตัวที่หนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงานของคนในตระกูล ส่วนตัวที่สองนั้น เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับผู้พิพากษาหญิงและติ้งอันป๋อ เนื่องจากใต้เท้าหญิงท่านนี้เป็นถึงคู่หมั้นของติ้งอันป๋อ ดังนั้นตระกูลจางจึงได้พบต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดของว่อเฟิงเต้าแล้ว !
หากมีต้นไม้ใหญ่เยี่ยงนางคอยถือหาง ตระกูลจางจะต้องผงาดขึ้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งว่อเฟิงเต้าได้ในมิช้าอย่างแน่นอน !
แท้ที่จริงหัวหน้าตระกูลก็มีฝีมือและมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง เขาเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ส่งผลให้ตระกูลได้รับผลประโยชน์แบบเกินคาดเลยทีเดียว
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็จับตามองจางผิงจวี่อยู่ตลอดเวลา แต่ทว่ายิ่งมองก็ยิ่งสับสนเนื่องจากชายชราผู้นี้มิเหมือนกับกำลังเสแสร้งอยู่เลย หรือว่าตนจะเอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ1 กัน ?
ช่างเถิด… ในเมื่อสามารถทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้ก็ถือเป็นโชคดีแล้ว
แต่ว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มิทราบก็คือในเวลานี้ได้เกิดฉากแสนแปลกประหลาดขึ้นที่สะพานผิงเฉียว !
……
……
ยามซวีจี้หยุนกุยได้พาจางจ้ง ติงเหล่าซาน และผู้ดูแลที่แข็งแกร่งทั้งสิ้นสามสิบคนมาที่สะพานผิงเฉียว
สายลมในยามราตรีค่อนข้างหนาวเหน็บ บนสะพานแห่งนี้ค่อนข้างสงบและในป่ารอบด้านก็ไร้ซึ่งผู้คนมีเพียงเสียงของแมลงที่ร้องประสานกันดังเซ็งแซ่
จี้หยุนกุยจ้องมองแม่น้ำเหมยที่กำลังไหลริน และได้จุดธูปหอมดอกหนึ่งขึ้นมาในตำแหน่งเหนือทิศทางของลม
“พวกเจ้าจงมานี่…” ด้วยเสียงเรียกของเขา ทำให้ทุกชีวิตเดินมาล้อมรอบตัวเขาเอาไว้
“พวกเจ้าคือคนสนิทของผู้อาวุโสจาง ข้าจึงคิดว่าพวกเจ้าย่อมเข้าใจเรื่องที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ดีและนี่คือการทำบาปคราใหญ่ ! ข้าใคร่ถามพวกเจ้าว่ากลัวหรือไม่ ? ”
ติงเหล่าซานตบลงที่อกดังปึกปึก “กลัวอันใดกัน ! ก็แค่สังหารสุนัขขุนนางตัวหนึ่งมิใช่หรือ ? ”
เมื่อเอ่ยจบ สายตาดุดันของเขาก็กวาดมองผู้ดูแลทั้งสามสิบคนและเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาว่า “พวกเราล้วนได้รับบุญคุณล้นพ้นจากท่านหัวหน้าตระกูล บัดนี้ได้เวลาตอบแทนท่านแล้ว หากพวกเจ้าบังอาจเสียใจแม้แต่เสี้ยวเดียว กระบี่หัวเสือของข้าเล่มนี้จะมิมีตาขึ้นมาทันใด ! ”
จางจ้งที่ยืนอยู่ข้างกายจี้หยุนกุยชักกระบี่ออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เรื่องในวันนี้ฟ้ารู้ ดินรู้ เจ้ารู้ และข้ารู้ ครอบครัวของพวกเจ้าต่างก็อยู่ในเงื้อมมือของข้า หลังจากจบเรื่องนี้หากมีผู้ใดแพร่งพรายออกไปแม้แต่น้อยนิด…”
เขาชูกระบี่ที่วาววับขึ้นมา ในตอนที่กำลังจะแทงลงกับพื้น คาดมิถึงว่าจี้หยุนกุยที่อยู่ข้าง ๆ จะยื่นนิ้วชี้ออกมาแล้วจิ้มเข้าที่เอวของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง…
เสียง ‘พลั่ก… ! ’ ดังขึ้น จากนั้นจางจ้งก็ล้มลงกับพื้นทันที
ติงเหล่าซานตื่นตระหนกขึ้นมาทันพลัน “เจ้า…” เขาเอ่ยออกมาได้เพียงหนึ่งคำ ในอากาศก็พลันมีกลิ่นลึกลับเบาบางลอยเข้ามา ต่อจากนั้นเขาก็เห็นผู้ดูแลทั้งสามสิบคนล้มลงกับพื้น และตัวเขาก็ล้มลงไปเช่นกัน
จี้หยุนกุยดับธูปหอม จากนั้นก็เก็บเข้าไปในอกเสื้อ แล้วเอ่ยพึมพำขึ้นมาว่า “สิ้นเปลืองไปตั้ง 1 ชุ่น”
เขาใช้นิ้วกดเข้าไปที่จุดตันเถียนของติงเหล่าซานเพื่อทำลายวรยุทธ์ของเขาเสีย หลังจากนั้นก็คว้าคนที่หมดสติอยู่กับพื้นขึ้นมาแล้วโยนลงไปในแม่น้ำเหมย
ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงจางจ้งที่โดนทำลายวรยุทธ์ไปแล้วเช่นกัน จี้หยุนกุยหยิบเชือกหนึ่งเส้นออกมาแล้วมัดจางจ้งเอาไว้หลายรอบเลยทีเดียว
เขาแบกจางจ้งเอาไว้จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานไปยังสำนักงานเขตหนิงซาน ร่อนลงพื้นบริเวณด้านหลังของสำนักงานเขตอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นก็มัดจางจ้งเอาไว้กับเสาต้นหนึ่งของระเบียงทางเดิน หยิบตะเกียงออกมาและแขวนเอาไว้บนศีรษะของอีกฝ่าย
จี้หยุนกุยดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วใส่ไว้ในอกเสื้อของจางจ้ง หลังจากนั้นก็เหินเวหาจากไป
เส้นทางที่เขาไปนั้นมิใช่แคว้นอี๋ แต่คาดมิถึงว่าจะเป็นเส้นทางในราชวงศ์หยู
ครึ่งชั่วยามให้หลัง คณะของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางออกจากเรือนใหญ่ของตระกูลจาง
จางผิงจวี่ยังมิง่วงนอน บัดนี้กำลังยืนอยู่กลางลานบ้านในเรือนใหญ่ตระกูลจาง ภายในใจบังเกิดความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คาดว่าอีกราวครึ่งชั่วยามจะต้องมีข่าวดีส่งมาถึงตนเป็นแน่
หลานชายคนโต จางจึหลาย เดินถือชาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ ๆ เข้ามา “ท่านปู่ลงมือได้ดีมากขอรับ จากนี้ต่อไปตระกูลจางของพวกเราก็จะร่มเย็นเป็นสุขโดยการพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่เยี่ยงติ้งอันป๋อ ! ”
จางผิงจวี่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ลอบคิดในใจว่า… คืนนี้ปู่ของเจ้าได้โค่นต้นไม้ใหญ่เสียแล้วน่ะสิ !
เขารับถ้วยชามาถือไว้ จากนั้นก็เปิดฝาออกแล้วสูดดม “พรุ่งนี้ยามเช้าตรู่ เจ้าจงติดตามบิดากลับไปยังเมืองไท่หลินพร้อมคุณชายจี้… เมืองไท่หลินต่างหากเล่าถึงจะเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกเรา ! ”
“เมื่อเจ้าไปยังเมืองไท่หลินแล้ว จะมีคุณชายจี้คอยอุปถัมภ์ อีกทั้งยังมีท่านอัครมหาเสนาบดีเปียนให้พึ่งพิง ในปีหน้าก็เข้าร่วมการสอบเป็นจิ้นซื่อให้ปู่ ตระกูลจางของพวกเราจะได้มีขุนนางในราชสำนักเสียที”
จางจึหลายชะงัก “มิใช่ ! ผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมเยี่ยงติ้งอันป๋อต่างหากที่ตระกูลเราควรปฏิบัติตาม…”
เขาชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “หลานใช้เวลานานเพื่อศึกษาติ้งอันป๋อผู้นี้ ท่านปู่อย่าได้มองว่าเขาเป็นเพียงเด็กอายุ 18 ปีเชียว เขาลงมือสังหารทัพกบฏที่ด่านชีผานเป็นจำนวนนับมิถ้วน และยังมีเพลงฉู่นั่นอีก… เขาใช้กลยุทธ์ขับร้องเพลงฉู่ให้ทหารฝ่ายกบฏฟังทุกวันจนบังเกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด ในท้ายที่สุดทหารของกบฏเซวี๋ยกว่าสามแสนนายก็ได้ยอมจำนนต่อเขา…”
“ท่านปู่ขอรับ ชายหนุ่มที่กล้าหาญเยี่ยงนี้ อนาคตของเขาย่อมไร้ที่สิ้นสุด หากพวกเราก้าวไปตามเขา ตระกูลจางจะต้องผงาดขึ้นเป็นแน่ เหตุใดต้องทิ้งเขาแล้วไปแคว้นอี๋ด้วยเล่า ? ”
จางผิงจวี่ตกตะลึงงัน ใช่ ! ฟู่เสี่ยวกวนเชี่ยวชาญด้านการทำสงคราม ดังนั้นแผนการของคุณชายจี้จะเกิดช่องโหว่มิได้เป็นอันขาด !
ในยามนี้จางผิงจวี่รู้สึกกังวลมากยิ่งนัก ทันใดนั้นภายในจิตใจก็บังเกิดความกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
“จึหลาย…”
“ขอรับท่านปู่”
“เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนก่อนเถิด”
“ขอรับ ท่านปู่ก็รีบพักผ่อนโดยเร็วเถิด”
จางจึหลายหันหลังเดินจากไป ส่วนจางผิงจวี่ขมวดคิ้วมุ่น
จิตใจของเขาสับสนว้าวุ่นเล็กน้อย เปลือกตากระตุก และรู้สึกว่ายังมีบางอย่างที่ผิดปกติอยู่… แล้วอันใดกันเล่าที่ผิดปกติ ?
จางผิงจวี่เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่มืดมิด รู้สึกว่าท้องนภาผืนนี้ราวกับเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้งที่ต้องการกลืนกินตนและตระกูลจางให้สิ้นซาก
1เอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ คือ ใช้ความคิดเห็นที่เลวไปคาดเดาคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง