ตอนที่ 743 ธงและเพลงประจำกองทัพ
“ท่านกำลังทำอันใดอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เฮ้อซานเตาลอบแง้มม่านกระโจมขึ้นเพื่อส่องดู แต่ทว่าจังหวะที่ยื่นศีรษะเข้าไปก็ได้เห็นประกายสีเงินพาดผ่านจนบังเกิดความตื่นกลัวจนเหงื่อท่วมและขนลุกไปทั้งร่าง
“ช้าก่อน…! ข้าเอง ซานเตาเอง ! ”
สวี่ซินเหยียนเก็บกระบี่แล้วยกยิ้มอย่างขบขัน
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมอง “เจ้าเป็นถึงผู้บังคับการแล้ว เหตุใดยังมีกิริยามิสุภาพอยู่อีกเล่า ? ”
เฮ้อซานเตาลูบศีรษะ “ก็มิใช่เพราะกลัวท่านหรอกหรือ ? ”
“กลัวจริงหรือ ? ”
“เศรษฐีที่ดินเยี่ยงท่านเก่งกาจจนเกินไป ส่วนเศรษฐีที่ดินเยี่ยงข้านั้นช่างโง่เขลานัก… ใต้เท้า ของสิ่งนี้คืออันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
โต๊ะด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวนมีผ้าสีแดงยาวราวหนึ่งจ้าง กว้างราวครึ่งจ้างวางเอาไว้อยู่ ตำแหน่งตรงกลางของผ้าสีแดงมีลายปักเป็นดาบหนึ่งเล่ม ใต้ฝักของดาบนั้นเป็นนกอินทรีกำลังกางปีก… เมื่อมองดูแล้วราวกับกับอินทรีตัวนั้นกำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องนภาโดยแบกดาบเล่มนี้เอาไว้บนหลัง
ในเวลานั้นเองกวนเสี่ยวซีและเว่ยอู๋ปิ้งก็ได้วิ่งตามเข้ามา
ฟู่เสี่ยวกวนแขวนธงผืนนี้เอาไว้บนผนังกระโจม “นี่คือธงสัญลักษณ์ประจำกองทัพทหารดาบเทวะ”
“ธงกองทัพเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
“ใช่ ! นับจากนี้ไปธงประจำกองทัพทหารดาบเทวะก็คือธงอินทรีดาบเทวะ… ซานเตา เจ้าเข้าใจความหมายของธงผืนนี้ว่าเยี่ยงไร ? ”
เฮ้อซานเตาชะงักงัน ความหมายเยี่ยงนั้นหรือ ?
ของสิ่งนี้จะมีความหมายอันใดได้เล่า ?
“นี่คือ… ถ้าออกเดินทัพในภายภาคหน้า หากมิมีเสบียงก็ให้สังหารอินทรีมาเป็นเสบียงใช่หรือไม่ขอรับ ? ”
หยูเวิ่นเต้าหัวเราะเสียงดังลั่น ด้านฟู่เสี่ยวกวนแทบจะกระอักเลือด มารดามันเถิด ผู้ไร้วัฒนธรรมช่างน่ากลัวเสียจริง !
ฟู่เสี่ยวกวนตบเข้าที่หน้าผาก ส่วนเฮ้อซานเตาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “ใต้เท้า มิใช่ว่าท่านแกล้งให้ข้าลำบากหรอกหรือ ถ้าเช่นนั้น… ให้เสี่ยวซีซีลองตอบดูดีหรือไม่เล่า ? ”
กวนเสี่ยวซีจ้องมองธงกองทัพอย่างจริงจังชนิดมิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ เขาลุกขึ้นคำนับด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งแล้วเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ทิศที่อินทรีบินไปก็คือทิศทางที่ดาบเทวะมุ่งใส่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจมากยิ่งนัก เจ้ากวนเสี่ยวซีที่มาจากทหารกองประจำการย่อมแตกต่างออกไป
เขาพยักหน้า “เสี่ยวซีกล่าวได้ถูกต้อง ทหารดาบเทวะคือกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า และสถานที่ที่อินทรีไปถึง ทหารดาบเทวะก็ย่อมสามารถทำลาย ปราบปราม และยึดครองได้เช่นกัน ! ”
เฮ้อซานเตาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกซึ้ง แต่ทว่ากวนเสี่ยวซีรู้ดีว่าธงกองทัพมีความหมายต่อกองทัพมากเพียงใด
จากที่ได้เห็นในตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนต้องการหล่อหลอมจิตวิญญาณของกองทัพและประทับตราฝังลึกลงไป
เขาจะเลือกโลหิตของผู้ใดมาสังเวยธงของกองทัพนี้กัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวอันใด แต่ทว่าเขากลับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
“มีธงกองทัพแล้วก็ยังต้องมีเพลงประจำกองทัพด้วย นี่คือเพลงกองทัพที่ข้าประพันธ์ขึ้นมาเอง ประเดี๋ยวเฉินป๋อจะมาสอนพวกเจ้าขับร้อง”
ดวงตาของเฮ้อซานเตาพลันเบิกกว้าง ให้ร้องเพลงเยี่ยงนั้นหรือ ?
ท่านไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ท่านสามารถให้ข้าสังหารคนได้ แต่ทว่าการร้องเพลงนั้นมิใช่ทางของข้าอย่างแท้จริง
ทว่าเฮ้อซานเตาเข้าใจอานุภาพของการร้องเพลงดี เนื่องจากเขาได้เห็นมากับตาว่าเพลงฉู่ที่ขับร้องอยู่ด้านนอกเมืองเจี้ยนเหมินได้ทำให้ทหาร 300,000 นายของเซวี๋ยติ้งชานยอมจำนน เพียงแต่มิทราบว่าความหมายของเพลงกองทัพนี้แตกต่างออกไปเยี่ยงไร
กวนเสี่ยวซี เว่ยอู๋ปิ้ง รวมทั้งหยูเวิ่นเต้าก็มิทราบเช่นกัน
เพราะใต้หล้านี้ ไร้ซึ่งกองทัพใดที่มีเพลงประจำกองทัพเยี่ยงนี้
หยูเวิ่นเต้ารับกระดาษนั้นมา จากนั้นก็ก้มลงอ่านทันที
ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง !
เผชิญคลื่นใหญ่อย่างทะนง
เลือดร้อนแรงดั่งสุริยา !
กระดูกเอ็นแกร่งดั่งเหล็กกล้า
ปณิธานทอดยาว วิสัยทัศน์กว้างไกล !
……
เนื้อเพลงนี้ให้บรรยากาศยิ่งใหญ่ ทันทีที่อ่านก็ทำให้รู้สึกถึงอำนาจ มอบความกล้าหาญชาญชัยที่จะก้าวไปข้างหน้าให้แก่ผู้คน
แต่เห็นได้ชัดว่ามิสอดคล้องกับทำนองในสมัยนี้ เพราะมันมิใช่คำที่คุ้นตาเอาเสียเลย
ดังนั้น หลังจากที่หยูเวิ่นเต้าอ่านเสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาถามว่า “เพลงนี้… มันร้องเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน “ข้าจะร้องให้พวกเจ้าฟังเอง”
เฮ้อซานเตาจ้องผู้เป็นแบบอย่างด้วยอารามตกตะลึง ประเดี๋ยวก่อน คุณชายเศรษฐีที่ดินผู้นี้ยังร้องเพลงได้ด้วยหรือ ?
พวกกวนเสี่ยวซีมิทราบว่าเพลงกองทัพคือสิ่งใด ในยามนี้จึงได้ผึ่งหูรอฟังอย่างตั้งใจ
ฟู่เสี่ยวกวนเก็บสีหน้า ทันใดนั้นบรรยากาศทรงอำนาจก็อบอวลไปทั่วทั้งกระโจม ทำให้ทุกคนสำรวมจิตใจได้ในชั่วพริบตา
เขาเปิดปากและเริ่มร้องจนเกิดพลังก้องกังวาน !
“…ชายชาตรีที่เลือดร้อน ส่องสว่างยิ่งกว่าสุริยา !
ฟ้าสมุทรหลอมรวมมาสู่ข้า ผืนดินเป็นพยาน สะท้อนปณิธานของข้า
คลื่นซัดสาด นภากว้างงดงามและยิ่งใหญ่ ข้าคือชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง….”
เฉินป๋อที่รีบย้อนกลับมายังกระโจมด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นก็หยุดยืนนิ่งแล้วจ้องมองติ้งอันป๋อที่กำลังร้องเพลงเสียงดังกึกก้องด้วยความตกตะลึงงัน เขารับฟังเสียงเพลงที่องอาจแล้วทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเลือดในร่างได้เดือดพล่านขึ้นมา
เฮ้อซานเตาตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้างไปเสียแล้ว เขารู้สึกว่าเพลงนี้ช่างไพเราะมากยิ่งนัก ไพเราะเสียยิ่งกว่าเพลงที่ฟังจากนางโลมของหอชุ่ยหงเสียอีก
หยูเวิ่นเต้าเองก็ตกตะลึงงันเช่นกัน นี่คือบทเพลงที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ด้วยตนเอง อีกทั้งยังถูกฟู่เสี่ยวกวนขับร้องออกมาทั้งอย่างนั้น ราวกับถูกมอบชีวิตใหม่ก็มิปาน
มันเร่งเร้าให้ผู้คนรุดหน้า ทำให้ผู้คนฮึกเหิม และได้มอบความปรารถนาอันแรงกล้าในศึกสงครามและชีวิตที่ต้องดิ้นรนอย่างมิรู้จบ
ทันใดนั้นกวนเสี่ยวซีก็เข้าใจความหมายของเพลงกองทัพนี้อย่างชัดแจ้ง !
มันคือเพลงแห่งสงคราม !
หากผู้คนนับพันนับหมื่นร้องเพลงนี้ในเวลาเดียวกัน เกรงว่าใต้หล้านี้จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน !
ราวกับฟู่เสี่ยวกวนกำลังดื่มด่ำอยู่กับบทเพลงนี้จึงทำให้น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นเร่งกำลังภายในออกมา ดังนั้นเพลงสงครามนี้จึงเร้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก ปรากฏผู้คนมุงอยู่ด้านนอกกระโจมจนแน่นขนัด…
พวกเขาทราบแล้วว่าติ้งอันป๋อมาถึงที่นี่แล้ว และเดิมทีพวกเขาก็ต้องการเห็นติ้งอันป๋อ คาดมิถึงว่าภายในกระโจมจะมีเสียงร้องเพลงปลุกใจดังขึ้นมา…
“ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง อกผายไหล่ผึ่งเป็นเสาหลักและเป็นชายชาตรี
…..
จงเป็นชายชาตรี ดุเดือดเลือดพล่าน และสว่างไสวยิ่งกว่าสุริยา… ! ”
ช่างเป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่และเป็นความห้าวหาญที่สูงส่งยิ่ง !
สว่างไสวเสียยิ่งกว่าสุริยา ในใต้หล้านี้มีเพียงติ้งอันป๋อเท่านั้นที่จะสามารถประพันธ์เนื้อเพลงในรูปแบบนี้และร้องเพลงในอุดมคติเยี่ยงนี้ได้ !
พวกเราคือทหารดาบเทวะ ดาบเทวะกองทัพที่หนึ่ง !
พวกเราคือทหารของติ้งอันป๋อ !
พวกเราจะติดตามติ้งอันป๋อเพื่อขยายอาณาเขต เผชิญคลื่นสะท้าน นภากว้างที่งดงามและยิ่งใหญ่ !
พวกเราล้วนเป็นชายชาตรี !
ชายชาตรี ต้องแข็งแกร่ง !
ด้วยเหตุนี้ ธงกองทัพหนึ่งผืนและเพลงกองทัพหนึ่งเพลงของฟู่เสี่ยวกวน โดยเฉพาะเพลงกองทัพได้ทำให้ทหารดาบเทวะทั้งสามหมื่นนายกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
บทเพลงชายชาตรีต้องแข็งแกร่งบทนี้ ได้รับความนิยมและขับร้องกันอย่างแพร่หลายในกองทัพทหารดาบเทวะที่หนึ่งนับแต่นี้สืบไป
ในช่วงเวลานั้นเอง เสียงเพลงก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทุกพื้นที่ในภูเขาเฟิ่งหลิน จนทำให้เหล่าช่างฝีมือในภูเขาประหลาดใจไปหลายวัน
หยูเวิ่นเต้าสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งภายในกองทัพนี้ เพียงเพราะธงและเพลงหนึ่งเพลงเท่านั้น
ในราตรีนี้เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ว่าแท้จริงแล้วนี่คือหลักการอันใดกันแน่ ?
หากจะกล่าวว่าบทเพลงหนึ่งเพลง ทำให้พวกเขามอบจิตวิญญาณให้แก่กองทัพได้ เขาก็ยากที่จะเชื่อ
กองทัพหนึ่งต้องได้รับการหล่อหลอมจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว ต้องได้รับการฝึกฝนในสนามรบเป็นร้อยเป็นพันครา แต่ทว่ากองทัพนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเพิ่งจะได้เรียนรู้บทเพลงนี้ แต่สีหน้าและจิตวิญญาณกลับแปรเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
เฮ้อซานเตานอนมิหลับ เขาฮัมเพลงนั้นแล้วพลิกกายเพื่อยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของกวนเสี่ยวซีที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ จนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง
“รีบนอน ให้ตายเถิด เจ้านี่มันโรคจิตอย่างแท้จริง ! ”
“ข้านอนมิหลับ เสี่ยวซี เจ้าว่า…เหตุใดข้าถึงรู้สึกยากที่จะสงบจิตใจหลังจากได้ร้องเพลงนั้นแล้วกันนะ ? ”
กวนเสี่ยวซีเงียบไปสองอึดใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เพราะเจ้าได้ค้นพบความหมายของการเป็นชายชาตรีในบทเพลงนั้นแล้วเยี่ยงไรเล่า”
เฮ้อซานเตาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา สองตาพลันเบิกโพลง จ้องเขม็งไปที่ท้องนภาสีดำมืดผืนนั้น แต่เขากลับรู้สึกว่าตนเองได้มองเห็นแสงสว่างเข้าแล้ว…
“บางที… อาจจะใช่ ! ”