ตอนที่ 755 ห่วงใย
“เจ้าเอ่ยว่าหงซิ่วจาวไฟไหม้อีกคราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เหตุเกิดในคืนวันที่สิบของเดือนสิบสองพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่ต้ากวนพยักหน้าพร้อมกับครุ่นคิด “เจ้าไปเถิด ส่วนเรื่องจี้หยุนกุย…จงจับตาดูต่อไป อีกเรื่องหนึ่ง ! เจ้าไปเรียกจัวเปี๋ยหลีกับเป่ยหวังฉวนมาพบข้าด้วย”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาและทูลลาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
โจวถงถงหันหลังเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร จัวอี้สิงจ้องมองฟู่ต้ากวนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความนัย จากนั้นก็ทูลถามเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาทยังมิแน่พระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่ต้ากวนขมวดคิ้ว นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงตรัสว่า “ก็ขอให้เป็นเพียงการคิดมากแล้วกัน…”
เขาชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ใกล้จะปีใหม่แล้ว ตอนนี้คือช่วงเวลาหลังการเก็บเกี่ยว ส่วนเรื่องการทำถนนหนทางและการสร้างเขื่อนกั้นน้ำพวกเจ้าก็จับตาดูไว้ให้ดี”
……
……
ณ คฤหาสน์จิ้งหู
อู๋หลิงเอ๋อร์กำลังหยอกล้อกับบุตรชายอู๋เทียนซื่อ
อู๋เทียนซื่อกำลังจะอายุครบหนึ่งปีในอีกสิบกว่าวันข้างหน้า และในยามนี้ก็กำลังคลานอยู่บนพื้นพร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคัก
สีหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความสุข “เจ้าซุกซนแบบนี้ หากบิดากลับมาเขาต้องจัดการเจ้าเป็นแน่ ! ”
เมื่อเอ่ยจบอู๋หลิงเอ๋อร์ก็ได้เอื้อมแขนไปอุ้มบุตรชายขึ้นมาจากพื้น “เลิกคิดที่จะออกไปข้างนอกได้แล้ว อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้รีบกลับเข้าห้องกับแม่จะดีกว่า”
นางอุ้มอู๋เทียนซื่อที่อยู่หน้าประตูกลับเข้ามา ทันทีที่ก้นน้อย ๆ หย่อนลงบนพื้นก็ร้องจ้าขึ้นมาทันที
“เฮ้อ…” อู๋หลิงเอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น จากนั้นก็ถลึงตาใส่ลูกชาย “ร้องไห้อีกแล้ว ถ้ายังมิหยุดร้อง แม่จะมิให้กินนมแล้วนะ ! ”
เหมือนว่าคำขู่นี้จะทรงพลังเป็นอย่างมาก เมื่อเด็กน้อยได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าเล็ก ๆ ขึ้นมอง เสียงร้องไห้ก็เงียบหายไปทันพลัน จากนั้นเด็กน้อยก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครา บนใบหน้ามิมีแม้แต่คราบน้ำตา
“เจ้าเล่ห์เหมือนบิดามิมีผิด ! ”
หนีซางและลั่วอิงยืนมองอยู่อีกฝั่ง ทั้งสองรู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน เผลอนึกไปถึงคนที่ทอดทิ้งเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนซึ่งก็มิรู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด เวลาล่วงเลยมานานถึงเพียงนี้แล้ว แม้แต่จดหมายสักฉบับก็ยังมิส่งมา
ได้ยินมาว่าเขามีสตรีคนใหม่อีกสองสามนางแล้ว หมายความว่าลืมคนเก่าไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
อู๋หลิงเอ๋อร์อุ้มอู๋เทียนซื่อขึ้นมา จากนั้นก็เตรียมป้อนนมให้แก่เขา แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นจัวเปี๋ยหลีเดินฝ่าหิมะเข้ามาเสียก่อน
สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมากยิ่งนัก เขายืนอยู่หน้าประตูเรือนและเอ่ยกับอู๋หลิงเอ๋อร์ว่า “เมื่อครู่ฝ่าบาทได้เรียกข้าไปเข้าเฝ้า ข้าจะต้องออกเดินทางแล้ว”
อู๋หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไปยังราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จัวเปี๋ยหลีส่ายศีรษะ “ข้าต้องนำกองกำลังป้องกันทางตะวันตกเฉียงเหนือ 200,000 นายเคลื่อนทัพ”
“จะทำศึกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม ทำศึกกับแคว้นอี๋… แต่ทว่ากลศึกในครานี้องค์ชายเป็นผู้วางแผนเอง ตามที่ฝ่าบาทตรัสมาคือกำลังหลักในการรบเป็นของทหารดาบเทวะกองทัพที่สอง ส่วนข้าเพียงแค่ไปเก็บกวาดตามหลังก็เท่านั้น”
อู๋หลิงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “แล้วเป่ยหวังฉวนเล่า ? ”
“เขาไปยังราชวงศ์หยู”
“คนผู้นั้นมีอันตรายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิอาจกล่าวได้ว่ามีอันตราย แต่ฝ่าบาทต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่องค์ชายอีกสักเล็กน้อย…”
คิ้วของอู๋หลิงเอ๋อร์ขมวดแน่น “เขาจะไปยังสนามรบด้วยหรือไม่ ? ”
“ฝ่าบาทมิได้ตรัสถึง แต่ทว่าตอนนี้องค์ชายกำลังเดินทางไปยังจินหลิง”
อู๋หลิงเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยพึมพำว่า “เขาต้องไปสนามรบเป็นแน่… มิได้การล่ะ ! ข้าก็ต้องไปด้วยเช่นกัน”
จัวเปี๋ยหลีชะงักงัน “เจ้าไปมิได้ ! ”
“ข้าฟื้นตัวเต็มที่แล้ว เรื่องวิถีปืนข้าก็แม่นยำใช้ได้ ร่างกายก็ถือว่าคล่องแคล่ว เขาเพียงแค่ขั้นสามธรรมดาเท่านั้นมิใช่หรือ เอาล่ะ ข้าตัดสินใจเยี่ยงนี้แล้ว ท่านอย่าได้ปรามข้าอีกเลย”
“แล้วจะทำเยี่ยงไรกับลูก ? ”
“…ฝากไว้กับท่านพ่อสามี เขาอยู่กับเด็กได้ ! ”
คืนนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์สะพายดาบของนางอีกครา นางพาหนีซางกับลั่วอิงตะบึงม้าตรงไปยังด่านฉีหวิน
คืนนั้นฟู่ต้ากวนและอู๋เทียนซื่อจ้องตากันไปมา ทันใดนั้นอู๋เทียนซื่อก็พบว่ามารดามิอยู่แล้วจึงร้องไห้เสียงดังจ้า
ฟู่ต้ากวนพลันมือไม้อ่อน จากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่…
“ข้าเลี้ยงเด็กมิได้ ! ”
……
……
ย้อนเวลากลับไปยังรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสิบสอง วันที่ยี่สิบแปด
ราตรีนี้จวนติ้งอันป๋อครึกครื้นเป็นพิเศษ
ใกล้จะสิ้นปีแล้ว หัวหน้าครอบครัวที่จากไปนานกว่าครึ่งปี ได้หวนคืนมาย่อมควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองลูกทั้งสามคนอย่างมีความสุข เขาอุ้มฟู่ตั๋วตั๋วขึ้นมาและยื่นมือไปสัมผัสใบหน้านุ่มนิ่มของนาง จากนั้นก็หันไปมองฟู่อี้อันและฟู่จึเหลียง…
นี่คือข้อพิสูจน์ว่าเขามีตัวตนบนโลกใบนี้ !
มีภรรยา มีบุตร และมีครอบครัวแล้ว ถือว่าได้หยั่งรากลึกและงอกงามบนโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ในวันข้างหน้าตนจะต้องเป็นที่กำบังลมฝนให้แก่ครอบครัว และทำให้พวกเขาได้มีชีวิตที่สงบสุขและเติบโตอย่างมีความสุข
ใบหน้าของเหล่าภรรยาย่อมเต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน แต่ทว่ามีเพียงในใจของต่งชูหลานเท่านั้นที่บังเกิดความวิตกกังวล… องค์หญิงใหญ่เร่งรุดมาที่นี่เพื่อสนทนากับสามีอยู่ครึ่งชั่วยามจากนั้นก็เร่งรุดออกไปอีกครา คาดมิถึงว่าจะมิมาสนทนากับพวกนางแม้แต่คำเดียว !
นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ
นางมิได้เอ่ยถามอันใดกับเขาแม้แต่คำถามเดียว เนื่องจากทุกคนกำลังนั่งร่วมโต๊ะกันอย่างมีความสุข พร้อมถามไถ่สารทุกข์สุขดิบระหว่างมื้ออาหาร
หลังจากทานอาหารเสร็จฟู่เสี่ยวกวนก็เล่นกับลูก ๆ ต่อ ความรู้สึกผูกพันทางสายเลือดทำให้เขาตื่นเต้นเล็กน้อย
เยี่ยงไรเสียเมื่อชาติที่แล้วเขาก็มิเคยมีแฟนแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนี้กลับมีภรรยาตัวเป็น ๆ และยังได้เป็นพ่อคนแล้วด้วย นี่หมายความว่าเขาจะมิสามารถทำตามอำเภอใจได้อีกแล้ว
ดังนั้น ฤดูใบไม้ผลิของข้าก็จะหายไปโดยมิอาจเรียกคืนได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
มารดามันเถิด ข้ายังมิ 19 ปีเลยนะ !
ในโลกที่จากมา วัยนี้เป็นอายุที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย การสนทนาเรื่องความรักก็ต้องหลบหลบซ่อนซ่อน
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งตระหนักได้ว่าตนได้ถลำลึกไปกับยุคสมัยนี้โดยสมบูรณ์แล้ว
เป็นเวลานานแล้วที่เขามิได้คิดถึงเรื่องเมื่อชาติที่แล้ว เป็นเวลานานแล้วเช่นกันที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้และคอยทุ่มเทวางแผนสำหรับอนาคตด้วยแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มี
เมื่อดึกมากแล้วฟู่เสี่ยวกวนถึงจะไปอาบน้ำ และเพิ่งเอ่ยถามถึงศิษย์พี่สามซูโหรวจึงทราบว่านางได้ให้กำเนิดบุตรี 1 คนแล้ว และได้ย้ายออกไปอาศัยอยู่กับศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยที่เรือนหลังสำนักมือปราบหกประตู
ดังนั้นบุคคลที่นั่งอยู่ในหลีเฉินซวนล้วนเป็นสตรีของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น
ต่งชูหลานต้มชาหนึ่งกาให้ฟู่เสี่ยวกวนและบอกเล่าเรื่องในจวนให้เขาฟัง
บัดนี้เขตสลัมของจินหลิงผืนนั้นได้ถูกรื้อถอนแล้ว พอถึงฤดูใบไม้ผลิจะเริ่มทำการก่อสร้างทันที
ในปีนี้ สี่พี่น้องตระกูลหลี่มิได้หวนกลับมา แต่ทว่าพวกเขาได้ส่งจดหมายและสมุดบัญชีมาให้ จึงพบว่าอุตสาหกรรมของซีซานในปัจจุบันแทบจะกระจายไปทั่วทั้งราชวงศ์หยูแล้ว เพราะมีการลงทุนมากเกินไปในช่วงแรกดังนั้นกำไรในปีนี้จึงมีมิมาก…
“ข้าบอกพวกเขาแล้วว่ามิต้องลงทุนอีก ให้ใส่ใจกับจานที่วางไว้ตอนนี้ก็พอ นอกจากนี้คือ…ข้าใคร่ครวญว่าจะให้พวกเขาทั้งสี่ย้ายไปยังราชวงศ์อู๋ในปีหน้า ท่านลองดูว่าได้หรือไม่ ? ”
“ยอดกำไรรวมของผลิตภัณฑ์ซีซานทั้งหมดในปีนี้โดยมิรวมเงินปันผลจากหุ้นจะมีสะสมมากกว่าแปดล้านตำลึง พวกเราถือหุ้นซีซานอยู่ 2 ล้านหุ้น ส่วนราคาหุ้นในตอนนี้อยู่ที่ 24 ตำลึง ข้าคิดจะค่อย ๆ ขายในปีหน้า… เพราะหุ้นนี้มีปัญหาขนาดใหญ่อยู่”
ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยต่อว่า “หากมีคนทุจริตในด้านการเงินและปกปิดการตรวจสอบของธนาคารซื่อทง หลังจากได้จดทะเบียนหลักทรัพย์แล้ว ก็คงจะหอบเงินหนีไป…”
ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้มเพราะนี่คือสิ่งที่เขาจงใจ จนถึงตอนนี้เขายังมิมีแผนจะชดเชย BUG1 ขนาดใหญ่นี้
นี่คือวิธีการที่เขาใช้จัดการกับราชวงศ์หยูและแคว้นอี๋ เพียงแต่แคว้นอี๋จะโดนฟ้าผ่าก่อนก็เท่านั้น ส่วนราชวงศ์หยู…คงต้องรอดูกันอีกที
1BUG คือ ข้อผิดพลาดที่ไม่ได้อยู่ในกระบวนการวางแผน ข้อผิดพลาดเหนือการคาดหมายหรือข้อผิดพลาดที่ไม่ทราบสาเหตุแท้จริง