ตอนที่ 773 จู่โจม ( จบ )
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด เดือนสอง วันที่สี่ ยามราตรี
นับเป็นเวลา 7 วันแล้วตั้งแต่ที่ชาวฮวงมาถล่มด่านภูเขาเยี่ยนเป็นคราแรก !
จนถึงวันนี้ทั้งสองฝ่ายก็ยังมิเกิดการปะทะในระยะประชิดขึ้น ชาวฮวงยังคงอาศัยความมืดของยามราตรีเพื่อยิงกระสุนปืนใหญ่โจมตีด่านภูเขาเยี่ยน
พวกเขาใช้กลวิธีให้ม้าศึกลากปืนใหญ่ ส่งผลให้ปืนใหญ่หงอีบนกำแพงด่านสูญเสียความแม่นยำไป
จนถึงวันนี้ชาวฮวงยังคงมีปืนใหญ่หงอีเหลืออยู่ 40 กระบอก
เมื่อถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องจึงทำให้กำแพงที่หนาและหนักของด่านภูเขาเยี่ยนถูกระเบิดจนเกิดรูนับพันรู มองดูแล้วก็เหมือนจะอันตรายยิ่ง
แต่ทว่ามันก็ยังมิยอมพังทลายลงมาสักที มันจึงกลายเป็นฝันร้ายของกองทัพดาบสวรรค์ 400,000 นายไปเสียแล้ว
แม่ทัพใหญ่ท่าป๋าเจียนกำหมัดแน่นจนเหงื่อไหลออกมาจากมือ !
“7 วันแล้ว ! ลูกกระสุนปืนใหญ่เหลือเพียง 30 นัดเท่านั้น ! ”
“มิเพียงพอที่จะให้ทุกกระบอกปืนได้ยิงแล้ว ! ”
“หากยังทลายด่านภูเขาเยี่ยนมิได้เยี่ยงนี้ พวกเจ้าคงต้องเข้าไปทลายเองเสียแล้ว ! ”
ท่าป๋าเจียนอยู่ในกระโจมแม่ทัพพร้อมด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ในมือมีสาส์นจากฮวงถิงอยู่หนึ่งฉบับ
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พวกเราตีด่านภูเขาเยี่ยนให้แตกภายในสิ้นเดือนหนึ่ง เนื่องจากทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งใกล้จะมาถึงแล้ว… ทว่าพวกเราทำมิสำเร็จตามเป้าหมายและตอนนี้ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งก็ได้มาถึงอย่างแท้จริงแล้ว ! ”
เขาคว้าสาส์นฉบับนั้นขึ้นมาและตบลงกับโต๊ะอย่างรุนแรง “ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งกระจายตัวกวาดล้างไปทั่วอาณาเขตธงของพวกเรา พวกมันเผายุ้งฉาง สังหารอาชาศึกอีกทั้งยังแย่งชิงสตรีของพวกเราไป ! ”
ท่าป๋าเจียนสูดลมหายใจเข้าลึก “พวกเจ้าล้วนเป็นนายทหารชั้นผู้นำที่ยอดเยี่ยมของแคว้นฮวง ลูกน้องของพวกเจ้าล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่เฉียบแหลมที่สุดซึ่งฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เอง ! ”
“ข้ามิสนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการใด เพราะข้ามีเพียงประโยคเดียวที่จะบอกกับพวกเจ้าว่า บัดนี้ฝ่าบาททรงกริ้วมากยิ่งนักและผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรงอย่างแน่นอน ! ”
“วันรุ่งขึ้นยามเช้าตรู่ หากด่านนี้ยังมิยอมแตกพ่าย… พวกเจ้าก็ไสหัวกลับไปรับโทษจากฝ่าบาทเสีย ! ”
“เริ่มการโจมตีได้ ! ”
……
……
ในราตรีที่มืดมิดปรากฏเสียงปืนใหญ่ดังกังวานขึ้นมาอีกครา
หานเฟิ่งมาถึงกำแพงด่านเนิ่นนานแล้ว สีหน้าของเขาเคร่งเครียดและในใจก็กำลังกังวลเป็นอย่างมาก
หากศัตรูยังดาหน้ายิงต่อไปอีกสักสองสามคืน คาดว่ากำแพงด่านคงจะพังทลายลงมาอย่างแท้จริง !
ในยามที่เขากำลังสำรวจกำแพงด่าน เสียวฉีก็ถลาเข้ามารายงานอย่างเร่งรีบว่า “เรียนแม่ทัพหาน บัดนี้ท่านแม่ทัพใหญ่เผิงมาถึงแล้ว โปรดไปที่หอบัญชาการโดยเร็วเถิดขอรับ”
หานเฟิ่งมินึกสงสัยอันใด เนื่องจากสงครามในตอนนี้เข้าสู่ทางตันแล้ว การมาถึงของท่านแม่ทัพใหญ่จึงถือเป็นเรื่องปกติมากยิ่งนัก
เขาจึงพาองครักษ์กลับไปยังหอบัญชาการเพียงสองนายเท่านั้น ทว่าเมื่อไปถึงกลับมิพบเห็นท่านแม่ทัพใหญ่เผิง
บุคคลที่พบกลับเป็นเสี้ยวเว่ยอู๋ฉางแห่งกองทหารม้า และบัดนี้อู๋ฉางก็กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด
หานเฟิ่งขมวดคิ้วมุ่น เนื่องจากอู๋ฉางมีหน้าที่คุ้มกันบนกำแพงด่าน เขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใดกัน ?
“ท่านแม่ทัพใหญ่เผิงอยู่ที่ใด ? ”
อู๋ฉางแสยะยิ้มและโบกมือให้หานเฟิ่ง จากนั้นประตูของหอบัญชาการก็ถูกองครักษ์ของอู๋ฉางปิดลง
“เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“ไอหยา… ข้ามีเรื่องจะสนทนากับท่าน” เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบก็โบกมือให้องครักษ์ของตน จากนั้นหานเฟิ่งก็เห็นองครักษ์ทั้งสองที่พามาด้วยล้มลงกับพื้นทันที
ดวงตาของหานเฟิ่งเบิกโพลงขึ้นมาทันใด ในตอนที่กำลังจะชักปืนออกมาก็ถูกองครักษ์ 30 นายของอู๋ฉางเข้ามากดลงกับพื้นเสียก่อน
“พวกเจ้าอย่าทำกิริยาหยาบคายนักสิ รีบปล่อยแม่ทัพหานเร็วเข้า”
หานเฟิ่งจึงสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครา และก็ได้เข้าใจแล้วว่าอู๋ฉาง… ทรยศ !
“ท่านแม่ทัพใหญ่ต้องมิละเว้นเจ้าเป็นแน่ ! ”
อู๋ฉางเหยียดยิ้ม “นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ข้าย่างเข้ามาในห้องนี้ของท่าน ข้าคิดว่า… ท่านลองนึกภาพประตูด่านถูกเปิดออกแล้วกองทัพดาบสวรรค์ 400,000 นายประดังประเดเข้ามาราวกับสายน้ำที่ทะลักไปยังเมืองซินโจวดูสิ”
“เหล่าหาน ท่านว่ากระแสน้ำนี้จะทำให้แม่ทัพใหญ่จมน้ำตายได้หรือไม่ ? ”
“เจ้าจะอาศัยกำลังทหารราบเพียง 30,000 นายในมือวางแผนเปิดประตูด่านอย่างบ้าระห่ำตามใจเยี่ยงนั้นหรือ ? แน่ใจหรือว่าปืนในมือของเสี้ยวเว่ยเจิ้งเถี่ยโถวแห่งกองพลรักษาการณ์จะเจาะกะโหลกเจ้ามิได้ ? ”
อู๋ฉางหัวเราะร่า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “ทหารราบ 30,000 นายและปืน 30,000 กระบอกน่ะหรือ แล้วหากเจิ้งเถี่ยโถวร่วมก่อกบฏด้วยเล่า ? ”
หานเฟิ่งสั่นสะท้านขึ้นมาทันพลัน “มิมีทาง ! เจิ้งเถี่ยโถวคือผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ของท่านแม่ทัพใหญ่เผิง เขาติดตามท่านแม่ทัพใหญ่มาสิบกว่าปีจะหักหลังท่านได้เยี่ยงไร ? ”
อู๋ฉางเดินไปเบื้องหน้าสองก้าว สองมือไพล่หลัง คิ้วหนาเลิกขึ้น “คนผู้นี้มีความปรารถนาจะโผทะยานขึ้นสูงอยู่เสมอ หากมิสามารถทะยานขึ้นไปได้แล้ว เขาย่อมเลือกผลประโยชน์อย่างอื่นแทน อาทิเช่น… เงิน ! ”
“เจิ้งเถี่ยโถวอายุมากจึงทะยานขึ้นไปมิไหวแล้ว ทว่าเขาต้องการเงินเพราะเขามีลูกอยู่ 5 คน ดังนั้นจึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด แท้ที่จริงในยามที่ข้าได้ทราบว่าเจิ้งเถี่ยโถวขายปืนคาบศิลา 4,000 กระบอกให้กับชาวฮวง ข้าตกตะลึงยิ่งกว่าท่านในตอนนี้เสียอีก”
“ฮ่าฮ่า ท่านกำลังคิดว่าข้าเอ่ยถึงเรื่องตลกอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? คนซื่อตรงเยี่ยงนั้นและทำสงครามอย่างตรงไปตรงมา ข้าคิดอยู่เสมอว่าคนเช่นนี้น่ะหรือที่จะภักดีต่อท่านแม่ทัพใหญ่มากที่สุด ทว่า…”
คาดมิถึงว่าอู๋ฉางจะถอนหายใจเสียยาวเหยียด “เขาทำได้สุดโต่งยิ่งกว่าข้าเสียอีก ! ”
“พวกเราเข้าบรรจุในกองทัพชายแดนเหนือในเวลาเดียวกัน เป็น…ฤดูใบไม้ผลิของรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สอง ด้านสถานการณ์ในตอนนี้คือทหาร 30,000 นายของเจิ้งเถี่ยโถวกำลังถือปืนคาบศิลาและยืนอยู่ด้านล่างกำแพงด่าน ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีตลอดหลายปีของพวกเราทั้งสองคนจึงมาเอ่ยชักชวนท่าน”
“หากยินยอม พวกเราก็จะเดินร่วมทางกันต่อไป แต่หากมิยินยอม…เหล่าหานเอ๋ย สหายคงต้องขออภัยด้วยอย่างแท้จริง”
หานเฟิ่งหรี่ตามอง “เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะพ่ายแพ้ ? ”
“ต้องพ่ายอย่างแน่นอน หากท่านมิยอมจำนน ทหาร 30,000 นายของเจิ้งเถี่ยโถวจะเข้ามาสังหารคนของท่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นปืนใหญ่หงอี 300 กระบอกก็จะตกมาอยู่ในมือของข้า ทันทีที่ประตูด่านถูกเปิดออก กองทัพดาบสวรรค์ 400,000 นายจะเข้ามาด้านใน ส่วนแม่ทัพใหญ่เผิงเหลือทหารเพียง 300,000 นายที่ไร้ปืนคาบศิลาและปืนใหญ่หงอี เขาจะเอาอันใดมาสู้กับชาวฮวงกันเล่า ? ”
“ยิ่งไปกว่านั้น… ท่านแม่ทัพใหญ่ยังมิทราบว่าข้าและเจิ้งเถี่ยโถวก่อกบฏ”
หานเฟิ่งหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึก “พวกเจ้า…กำลังขายชาติ ! ”
เขาลืมตาขึ้นมาอีกครา แววตาทอประกายเย็นชาและทิ่มแทง “พวกเจ้ามิทราบว่าหากรักษาเมืองซินโจวเอาไว้มิได้ และหากชาวฮวงบุกไปตลอดเส้นทางลงใต้นี้จะมีชาวบ้านต้องทนทุกข์ทรมานจำนวนเท่าใดกัน ? หรือเจ้ามิทราบถึงความโหดเหี้ยมของชาวฮวง ? พวกมันจะ…”
หานเฟิ่งยังเอ่ยมิทันจบอู๋ฉางก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันที สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของหานเฟิ่งและตะโกนเสียงดังว่า “ท่านอย่ามาเอ่ยเรื่องเหล่านี้กับข้า ตอนนี้ข้าขอถามท่านเป็นคราสุดท้าย หากยอมจำนน ชีวิตทหารใต้บัญชา 30,000 นายของท่านจะปลอดภัย แต่หากมิยอมจำนน… ! ”
‘พลั่ก… ! ’ หานเฟิ่งง้างกำปั้นขึ้น จากนั้นก็ชกเข้าที่ใบหน้าของอู๋ฉางจนหน้าหันและกระอักโลหิตออกมา
ทันใดนั้นอู๋ฉางก็หัวเราะร่าขึ้นมาราวกับคนเสียสติ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
เขายกมือขึ้นมาเช็ดคราบโลหิตที่ปาก ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไป “สังหาร ! ”
ปรากฏปลายดาบสองเล่มแทงทะลุมาจากด้านหลังของหานเฟิ่ง
เวลาหนึ่งถ้วยชาให้หลัง ‘ปังปังปัง…’ มีเสียงปืนดังขึ้นบนกำแพงด่าน หลังจากนั้นก็มีเสียงหวีดร้องและเสียงคร่ำครวญดังออกมาเป็นระลอก…
อู๋ฉางมิได้ออกไปจากหอบัญชาการทว่ายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ยกมือขึ้นลูบใบหน้าพลางฟังเสียงร้องโหยหวน จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอาบสองแก้ม
“เหล่าหาน ท่านชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนมากจนเกินไป ขออภัยด้วย ทว่าท่านมิต้องห่วงเพราะข้าจะเผากระดาษหน้าหลุมศพของท่านทุกปี”
ในราตรีนั้น ด่านภูเขาเยี่ยนจึงแตกออก
โดยแตกจากด้านใน !