ตอนที่ 783 ราตรีสงัด ดาราพร่างพราว
เหล่าทหารของกองทัพชายแดนเหนือรู้สึกเหนื่อยล้ามากยิ่งนัก
เป็นความเหนื่อยล้าทางกายที่ต้องเดินทางไกล และยังมีความเหนื่อยล้าทางจิตใจด้วยเช่นกัน
แม่ทัพใหญ่ละทิ้งด่านภูเขาเยี่ยนที่พวกตนคอยปกปักรักษามาโดยตลอด และได้ละทิ้งเมืองซินโจวที่เป็นบ้านของพวกตนด้วยเช่นกัน
ท่านเอ่ยว่าฝ่าบาททรงมอบหมายภารกิจลับให้
แล้วภารกิจนั้นคือภารกิจใดกัน จนถึงวันนี้แม่ทัพใหญ่ก็มิได้เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
วันนี้พวกเขาได้เข้าสู่แคว้นฮวงแล้ว หรือต้องการจู่โจมฮวงถิงเยี่ยงนั้นหรือ ?
หากเป็นเช่นนั้น เหล่าทหารย่อมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากสามารถจู่โจมฮวงถิงได้ก็ถือเป็นการลบล้างความอัปยศที่สูญเสียด่านภูเขาเยี่ยนไป
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้กลับแตกต่างออกไป
กองทัพเบื้องหน้าที่พวกตนกำลังไล่ตามอยู่นั้นมีระยะห่างร่นเข้ามาเรื่อย ๆ เหล่าสหายกองพันสอดแนมได้เอ่ยว่า… กองทัพนั้นมิใช่ชาวฮวง !
แต่เป็นชาวหยู !
มีความเป็นไปได้สูง ที่ทหารดาบเทวะจะเป็นฝ่ายกวาดล้างชาวฮวง !
เยี่ยงนั้นกองทัพชายแดนเหนือเยี่ยงพวกตน จะไล่ตามกองทัพทหารดาบเทวะกองที่หนึ่งหลายพันลี้เพื่อเหตุใดกัน ?
สละด่านโดยมิปกปัก ปล่อยปละผู้คนนับล้านในเมืองซินโจวโดยมิแยแส พวกเขาวิ่งมาไกลจนถึงแคว้นฮวงแต่มิได้รบกับเมืองใดของชาวฮวง ทว่ากลับไล่ตามท้ายทัพทหารดาบเทวะเยี่ยงนี้ สุดท้ายแล้วทำไปเพื่ออันใดกัน ?
มิมีผู้ใดทราบ แต่มีผู้วิเคราะห์ไว้อย่างละเอียด
โดยเฉพาะในตอนที่ผู้สอดแนมกลับมาในราตรีนี้ เขาเอ่ยว่าติ้งอันป๋อน่าจะอยู่ในกองทัพทหารดาบเทวะนี้ด้วย
หรือที่พวกเราวิ่งมาจนถึงที่นี่มิใช่เพื่อสังหารชาวฮวง แต่มาเพื่อสังหาร…
ความคิดนี้ทำให้ทหารหลายนายจิตใจสั่นสะท้าน เนื่องจากระหว่างท่านแม่ทัพใหญ่และติ้งอันป๋อก็มิได้มีความแค้นเคืองอันใดต่อกัน
นอกจากนี้ปืนใหญ่หงอีบนกำแพงของด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวรวมถึงปืนคาบศิลาหลายหมื่นกระบอกล้วนเป็นติ้งอันป๋อที่มอบให้ !
เพราะมีปืนพวกนี้จึงทำให้กองทัพชายแดนเหนือก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่กองทัพชายแดน เช่นนั้นพวกตนจึงภาคภูมิใจมากยิ่งนักและเบื้องลึกของจิตใจก็ได้ชื่นชมติ้งอันป๋ออย่างสุดซึ้ง
มีปืนคาบศิลาและปืนใหญ่หงอีอยู่ แต่ยังเสียด่านภูเขาเยี่ยนไป มิมีแล้วเมืองซินโจวบ้านของพวกเขา แน่นอนว่ามิได้สังหารชาวฮวงแม้แต่คนเดียว แต่กลับวิ่งมาจนถึงนี่เพื่อสังหารติ้งอันป๋อ… นี่เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้วหรือ ?
หรือว่าท่านแม่ทัพใหญ่เลอะเลือนไปหมดแล้ว ?
เขาเอ่ยว่านี่คือภารกิจลับที่ฝ่าบาททรงมอบหมายมา ติ้งอันป๋อคือราชบุตรเขยของฝ่าบาท พ่อตาต้องการสังหารบุตรเขยเยี่ยงนั้นหรือ ? หรือว่าติ้งอันป๋อได้หย่าร้างกับองค์หญิงเก้าแล้วกัน ?
โดยสรุปแล้ว การคาดเดาต่าง ๆ ก็ได้เกิดขึ้นมาอย่างลึกลับในกองทัพ หลังจากที่ข่าวนี้แพร่กระจายไปก็ย่อมมาถึงหูของเผิงเฉิงอู่โดยมิต้องสงสัย
ทว่าเขาก็ยังมิกล่าวอันใดออกมา
บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่ในกระโจม และกำลังเขียนจดหมายถึงศิษย์พี่เผิงยวี๋เยี่ยน
นี่คือจดหมายสั่งลา !
เขาใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการเขียนจดหมายนี้ และได้ส่งมอบให้กับองครักษ์นายหนึ่ง จากนั้นก็สั่งให้องครักษ์นายนั้นรีบตรงไปยังกองทัพชายแดนใต้ทันที
เขาลุกขึ้นยืนแล้วขยับร่างกายยืดเส้นยืดสาย จากนั้นก็ออกไปยืนอยู่ด้านนอกกระโจมแล้วจ้องมองไปยังค่ายทหารที่ตั้งห่างออกไป 10 ลี้ เงยหน้าขึ้นมองดวงดาราบนท้องนภาอันกว้างไกล
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกหดหู่มากยิ่งนัก !
“ฟู่เสี่ยวกวน ข้าต้องขออภัยท่านด้วย ! ”
เผิงเฉิงอู่เอ่ยประโยคนี้ต่อท้องนภาอันกว้างใหญ่ หลังจากนั้นก็ได้บังเกิดความรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมา ภัยคุกคามใหญ่หลวงที่มิรู้จักกำลังปกคลุมไปทั่วร่าง ยังมิทันที่จะได้ชักกระบี่ออกมาก็ได้ปรากฏลูกศรดอกหนึ่งพุ่งมาจากท้องนภา ไร้เสียงไร้ร่องรอย ยิงเข้าที่ไหล่ของเขา และพลังอันมหาศาลของมันก็ได้ส่งเขาลอยเข้าไปในกระโจม
ร่างของเขากระแทกลงพื้น คาดมิถึงว่าลูกศรนี้จะทะลวงสะบักไหล่ออกมาจนทำให้เขาโดนตอกติดกับพื้น
ยังมิทันได้ส่งเสียงร้องตกใจ ก็ได้เห็นคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาในกระโจมราวกับสายลมกระโชกแรง ง้างมือและตบลงจนเขาสลบไป
เป่ยหวังฉวนเบะปาก จากนั้นก็ดึงลูกศรออกมาแล้วสอดกลับเข้าไปในกระบอกดังเดิม
เขาแบกร่างของเผิงเฉิงอู่และเป่าตะเกียงภายในกระโจมให้ดับ จากนั้นก็เดินหายไปในความมืด
……
……
“หากจะให้กระหม่อมร่วมมือกับเจี่ยหนานซิง เพื่อสังหารฮ่องเต้ก็มั่นใจได้เลยว่าจะสำเร็จถึงหกส่วน”
ไฟหนึ่งกอง กระต่ายย่างสองตัว และคนสามคน
แน่นอนว่าหนึ่งในสามคนนั้น ยังมีคนนอนสลบอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนนำกระต่ายที่ย่างสุกแล้วส่งให้เป่ยหวังฉวน “การสังหารฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องไร้ประโยชน์”
“จะปล่อยไปทั้งเยี่ยงนี้น่ะหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพลิกเนื้อกระต่ายที่อยู่บนกองไฟ เงียบไปหลายอึดใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ หากจะลงมือก็ควรลงมือโดยการยึดครองราชวงศ์หยูเป็นเป้าหมายหลัก เยี่ยงนั้นจึงจะมีความหมาย…”
“สังหารฮ่องเต้พระองค์หนึ่งไป ประเดี๋ยวก็จะมีอีกพระองค์หนึ่งขึ้นมาทดแทน แต่หากเข้ายึดราชวงศ์หยูเสียก็จะสิ้นสุดไปทั้งราชวงศ์และมิมีฮ่องเต้ไปโดยปริยาย”
เป่ยหวังฉวนกัดหัวกระต่ายพลางหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน หรือองค์ชายผู้นี้ต้องการจะยึดครองราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง ?
ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว !
ในตอนนี้แคว้นอี๋ถูกราชวงศ์อู๋ยึดครองอยู่สามส่วน และยังถูกตีจนไร้พลังอำนาจใดแล้ว การครอบครองทั่วทั้งผืนปฐพีของแคว้นอี๋จึงมิใช่เรื่องยากเลย
แคว้นฮวงก็ถูกทำลายไปมิน้อยแล้ว ขอเพียงสามารถเอาชนะในสงครามเซียวเหอหยวนได้ กำลังรบภายนอกของแคว้นฮวงที่ใหญ่โตก็จะเหลือเพียงกองทัพดาบสวรรค์จำนวนสองแสนกว่านายเท่านั้น
หากกวาดล้างกองทัพสวรรค์ 200,000 นายนี้เสีย แคว้นฮวงก็จะไร้ซึ่งกำลังอันแข็งแกร่งอีกต่อไป
เมื่อรับแคว้นอี๋และแคว้นฮวงเข้ามาสู่กระเป๋าของราชวงศ์อู๋แล้ว จากนั้นย่อมต้องบุกไปยังราชวงศ์หยูที่ทรงพลังยิ่งกว่า… ภายใต้การต่อสู้ขนาบข้างจากสามด้าน ราชวงศ์หยูจะยังสามารถต้านได้นานเท่าใดกัน ?
รวมสี่แคว้นเป็นหนึ่ง ก็จะเหลือเพียงแคว้นฝานที่ต้องก้าวข้ามทะเลไปเท่านั้น
“กระหม่อมรู้สึกว่าความคิดนี้ของพระองค์ใช้ได้ พระองค์จะลงมือเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม “การสู้รบนั้นมิสามารถเร่งรีบได้ เนื่องจากสงครามมีผลด้านเศรษฐกิจ ! ”
“มิต้องรีบ จัดการไปทีละขั้นเถิด อย่างแรกต้องจัดการปัญหาแคว้นอี๋เสียก่อน หลังจากที่แคว้นอี๋มั่นคงแล้วท้องพระคลังเต็มอิ่มแล้วจึงจะสามารถสนทนาการรบคราต่อไปได้… เยี่ยงไรเสียครอบครัวของข้าก็ยังอยู่ที่จินหลิง พ่อตาของข้าจะรีบร้อนสกัดกั้นก็มิแปลกหรอก”
เผิงเฉิงอู่ตื่นขึ้นมาและได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดิบพอดี
ทันใดนั้นก็บังเกิดอารามตื่นตระหนกขึ้นมาทันพลัน และผุดลุกขึ้นจากพื้นทันที ความเจ็บปวดแผ่ซ่านออกมาจากสะบักไหล่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก และจ้องมองไปยังใบหน้าที่มิคุ้นเคยที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ
“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบไปมองเขา ฉีกขากระต่ายหนึ่งข้าง จากนั้นก็ส่งไปให้เขา “ทานสักหน่อยเถิด… ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน ! ”
ทันใดนั้นเผิงเฉิงอู่ก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว เขามิเคยพบฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน แต่ก็เชื่ออย่างสุดใจว่าคนผู้นี้คือฟู่เสี่ยวกวน !
“ข้ามิได้ให้ท่านทานเนื้อมนุษย์สักหน่อย ท่านกลัวอันใดกันเล่า เข้ามานั่งแล้วสนทนากันสักหน่อยเถิด”
ดวงตาของเผิงเฉิงอู่จดจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวนอย่างเอาเป็นเอาตาย เขานิ่งเงียบไปหลายอึดใจก่อนจะเดินเข้าไปและนั่งลงข้างกองไฟ พลางยื่นมือไปรับขากระต่ายหนึ่งข้างมากัดอย่างดุดัน
“จะกล่าวว่า… ท่านทราบอยู่แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เขากลืนเนื้อกระต่ายลงไปทั้งก้อนแล้วเอ่ยถามขึ้นมา
“เมื่อปีก่อน ข้าได้ไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ และได้ผ่านค่ายใหญ่ของกองทัพชายแดนใต้จึงได้พบกับเผิงยวี๋เยี่ยนหนึ่งครา เมื่อปีที่แล้ว ณ ด่านชีผานก็ได้พบนางอีก ในฐานะบุตรีของอันกั๋วกงนั้นทุกสิ่งที่นางกระทำ ข้าชื่นชมจากใจจริง นางคู่ควรเป็นวีรสตรีแห่งราชวงศ์หยู ! ”
“นางเคยเอ่ยถึงท่านว่า ท่านเป็นบุตรบุญธรรมของอันกั๋วกงและมีฝีมือด้านการทำสงคราม ท่านคือผู้สืบทอดทักษะการทำสงครามของอันกั๋วกง…”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองเผิงเฉิงอู่ ในแววตาสะท้อนภาพเปลวไฟที่กำลังลุกโชน
“คุณสมบัติของผู้บัญชาการกองทัพนั้น การรู้ทักษะทางทหารเป็นเพียงหนึ่งในนั้น ข้าคิดว่ารู้แจ้งคุณธรรม รู้แจ้งจริงเท็จและรู้แจ้งสัจธรรม… สิ่งเหล่านี้ต่างหากถึงจะเป็นความสามารถพื้นฐานที่สุดของผู้บัญชาการกองทัพ”
“แต่ท่าน… ท่านได้ทิ้งศักดิ์ศรีของอันกั๋วกงไปเสียแล้ว ! ”
“ท่านทราบหรือไม่ว่าผู้คนนับล้านในเมืองซินโจวหลงเหลือผู้รอดชีวิตเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ? ”
“ทราบหรือไม่ว่าทหาร 60,000 นายที่คอยคุ้มกันเมืองซินโจวเหลือเพียงแค่ 3,000 นาย ? ”
“ท่านทราบหรือไม่ว่าทหาร 60,000 นายที่ประจำการ ณ ซงกั่ง แทบจะถูกกวาดล้างไปทั้งกองทัพ ? ”
“เจ้ามิคู่ควรกับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เพราะมิมีจุดยืนเป็นของตนเอง เจ้าแยกแยะความดีความชั่วมิได้ สุดท้ายเจ้าก็เป็นได้แค่สุนัขที่คอยหมอบอยู่ข้างกายฮ่องเต้เท่านั้น ! ”