ตอนที่ 797 พระชายา
“ทูลฝ่าบาท แนวหน้ามีรายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ขันทีเหนียนวิ่งเข้ามาในป้านเยี่ยนซวนอย่างเร่งรีบ ส่งผลให้ฮ่องเต้ต้องวางถ้วยชาที่เพิ่งหยิบขึ้นมาลง
พระองค์รับรายงานด่วนมาเปิดออก จากนั้นมินานก็ขมวดพระขนงมุ่น
‘เมื่อวันที่สิบเก้า เดือนสาม กองพลอิสระดาบเทวะจำนวน 5,000 นายบุกเข้าโจมตีฮวงถิง
วันที่ยี่สิบ เดือนสาม ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งและกองทัพที่สองได้เข้าร่วมเป็นกองทัพเดียว ณ เซียวเหอหยวน มีจำนวนทั้งสิ้น 130,000 นาย ติ้งอันป๋อส่งทหาร 40,000 นายไปฮวงถิง เหลือทหารอยู่ 90,000 นายเท่านั้นสำหรับการเผชิญหน้ากับกองทัพของชินอ๋องท่าป๋าหยูจากแคว้นฮวง อีกทั้งยังมีจำนวนมากถึง 500,000 นายที่ยกทัพมาตั้งมั่นอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำเซียว
วันที่ยี่สิบสาม เดือนสาม สงครามเซียวเหอหยวนก็ได้เริ่มต้นขึ้น และในเวลาเพียงครึ่งวันกองทัพ 500,000 นายของแคว้นฮวงก็พ่ายแพ้จนสิ้นท่า
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ยี่สิบ เดือนสาม กองพลอิสระดาบเทวะบุกเข้าไปในฮวงถิงและได้ยึดครองพระราชวังป๋ายจินฮ่านพร้อมจับกุมท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวงไว้เป็นตัวประกัน
มีกองทัพดาบสวรรค์เพียง 200,000 นายที่หลงเหลืออยู่ในแคว้นฮวง แต่พวกเขาต้องยอมถอยห่างออกจากฮวงถิงเสียก่อน
ติ้งอันป๋อปรากฏตัวในระหว่างสู้รบที่แม่น้ำเซียว เขาปลอดภัยดีมิได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
ทหารภายใต้บัญชาของเผิงเฉิงอู่ดูเหมือนจะได้รับคำสั่งจากติ้งอันป๋อว่าให้ไปยังเมืองชางยิงก่อนที่การสู้รบ ณ เซียวเหอหยวนจะเริ่มขึ้น
สถานการณ์ในแคว้นฮวงสิ้นสุดลง และหอซี่หยู่ยังคงเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของติ้งอันป๋ออย่างใกล้ชิด’
ฮ่องเต้อ่านรายงานอย่างละเอียดราว 3 รอบ จากนั้นจึงวางรายงานไว้บนโต๊ะแล้วยกชาขึ้นเสวยต่อ
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางออกจากเมืองหลวงเมื่อวันที่สิบเดือนหนึ่ง เขาสามารถยึดแคว้นฮวงได้ในวันที่ยี่สิบสามเดือนสาม !
หากมิรวมการเดินทางบนถนน เขาใช้เวลาเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น !
ทหารดาบเทวะ 90,000 นายเอาชนะทหาร 500,000 นายของแคว้นฮวงภายในครึ่งวัน… ฮ่องเต้แย้มพระสรวลเยาะเย้ยพระองค์เองพลางส่ายพระพักตร์ไปมา ทหารดาบเทวะได้ทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกคราแล้ว ทว่าเกียรติยศนี้มิใช่ของราชวงศ์หยูอีกต่อไป
ฟู่เสี่ยวกวนมิตาย !
เผิงเฉิงอู่ทรยศต่อข้า
หมายความว่าฟู่เสี่ยวกวนรู้เบื้องหลังทุกอย่างของเรื่องนี้แล้ว ต่อไปกระบี่ของเขาจะชี้มาทางราชวงศ์หยูหรือไม่ ?
หากร่วมมือกับฟู่เสี่ยวกวนในสงครามนี้ตั้งแต่ต้น บัดนี้ข้าคงได้ไปที่แคว้นฮวงเพื่อประกาศว่าดินแดนรกร้างกว้างใหญ่นี้เป็นของราชวงศ์หยูแล้วใช่หรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนบรรลุจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ในการเปิดพรมแดนแล้วจริง ๆ ทว่าอาณาเขตนั้น…มิมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หยูอีกต่อไป
ราชวงศ์อู๋จะเข้ายึดครองแคว้นฮวง และเพื่อที่จะสามารถปกครองแคว้นฮวงได้ ราชวงศ์อู๋จึงต้องยึดครองแคว้นอี๋อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
นี่คือวิธีการสร้างวงล้อมสามด้านที่ประกอบด้วย…
การที่ราชวงศ์หยูถูกล้อมรอบโดยราชวงศ์อู๋จนกลายเป็นเนื้อบนเขียง ตราบใดที่ฟู่เสี่ยวกวนปรารถนาก็สามารถกลืนกินมันได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าผู้ที่ทำให้เกิดสถานการณ์ปัจจุบันนี้คือ เผิงเฉิงอู่ !
ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึก ดวงเนตรฉายแววเยือกเย็นขึ้นมา
หากเผิงเฉิงอู่สามารถร่วมมือกับกองทัพ 500,000 นายของแคว้นฮวงได้ ก็จะมีทหารราว 700,000 นาย แม้จะเหนื่อยแต่ก็สามารถสังหารทหารดาบเทวะจำนวน 90,000 นายได้อย่างแน่นอน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนก็จะมิสามารถรอดชีวิตไปได้
ทั้งที่ควรโกรธ แต่ตอนนี้พระองค์มิได้โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสงบมากยิ่งนัก
“อย่าลืมเตือนข้าว่าหลังเสร็จงานราชการในวันพรุ่งนี้ ข้าต้องมีพระราชโองการถึงแม่ทัพใหญ่เผิง…” จากนั้นก็ใช้สองหัตถ์ยันโต๊ะน้ำชาเพื่อลุกขึ้นยืนแล้ววางรายงานนี้ไว้ที่เดิม “ไปเถิด… ไปดื่มสุราที่จวนเยี่ยนเป่ยซีกัน”
ภาระหน้าที่ที่เคยมอบหมายให้เผิงเฉิงอู่นั้นไร้ความหมายตั้งแต่ที่เขาเลือกอยู่ข้างฟู่เสี่ยวกวนแล้ว หมายความว่าเขากลายเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ไปแล้ว และกองทัพชายแดนเหนือ 200,000 นายย่อมกลายเป็นทหารของราชวงศ์อู๋ด้วยเช่นกัน !
ฮ่องเต้ประทับอยู่ในราชรถมังกร จากนั้นก็เลิกม่านขึ้นเพื่อทอดพระเนตรไปยังสุริยาที่กำลังตกดิน
การมอบข้อหากบฏยังพอยอมรับได้ ถือเสียว่าแทนคำอธิบายให้แก่ราษฎรและทหารในราชวงศ์หยูที่คลางแคลงใจต่อเหตุการณ์ที่ด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจว
ราชบุตรเขยผู้นั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่ง เขาให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์อันใดให้แก่เผิงเฉิงอู่เยี่ยงนั้นหรือ ?
เผิงเฉิงอู่เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์หยูอยู่แล้ว เป็นไปได้หรือที่ฟู่เสี่ยวกวนจะมอบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ให้แก่เผิงเฉิงอู่ ?
นอกจากนี้ เมื่อเขากลับไปยังราชวงศ์อู๋แล้วได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมอำนาจทางการทหาร
เผิงเฉิงอู่เชี่ยวชาญการสงครามและเก่งเรื่องกลยุทธ์ ฟู่เสี่ยวกวนย่อมต้องการคนเช่นนี้
พระองค์ถอนหายใจยาว จากนั้นก็ลดม่านลง สุริยาค่อย ๆ หายลับไปจากขอบฟ้า
พระองค์มิรู้ว่า บัดนี้เผิงเฉิงอู่ได้นำกองทัพชายแดนเหนือ 200,000 นายควบอาชาข้ามทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่เพื่อไปสู้รบเป็นคราสุดท้ายในชีวิตทหารของพวกเขา !
นี่เป็นเพียงการไถ่โทษ
และเป็นการกอบกู้ศักดิ์ศรีของทหารเป็นคราสุดท้าย !
……
……
“กระหม่อมมิรู้ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา จึงมิได้เตรียมการต้อนรับ กราบขออภัยโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮ่องเต้เสด็จเข้าไปในจวนตระกูลเยี่ยน “ข้าก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้…นั่นพวกเขากำลังเก็บสิ่งใดในจวนของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เยี่ยนเป่ยซีรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา จากนั้นก็ทูลอย่างรวดเร็วว่า “ทูลฝ่าบาท เทศกาลชิงหมิงใกล้เข้ามาแล้ว กระหม่อมเองก็ชรามากแล้วจึงคิดจะกลับบ้านเกิดเพื่อสักการะบรรพบุรุษพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่า…” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเยี่ยนเป่ยซีอย่างเปี่ยมความหมาย “สมควรเป็นเยี่ยงนั้น สั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารมิต้องเยอะมากเพราะข้ามาเพื่อดื่มสุรา”
“กระหม่อมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทูลเชิญฝ่าบาททางนี้พ่ะย่ะค่ะ…”
เยี่ยนเป่ยซีนำเสด็จฮ่องเต้ไปประทับในห้องอักษร เมื่อถึงที่หมายทั้งสองก็ได้นั่งลงยังตำแหน่งของตน เยี่ยนเป่ยซีต้มชาชุดใหม่ ส่วนฮ่องเต้ก็ได้เงยพระพักตร์ขึ้น จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ห้องอักษร
ห้องอักษรนี้มิได้ต่างจากที่พระองค์เคยมาเยือนเมื่อคราก่อน ทว่ามีอักขระอีกสองประโยคที่แขวนอยู่บนผนังห้องเพิ่มขึ้นมา
ภาพแรกคือ ‘ห่วงกังวลใต้หล้าก่อน จากนั้นค่อยแสวงหาความสุขส่วนตน’
ส่วนอีกภาพคือ ‘สีอ่อนเหมือนน้ำในฤดูใบไม้ร่วง เหมือนดั่งสายลมหยุดพัดอยู่ที่ฤดูใบไม้ผลิ ! ’
ภาพแรกคือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยเอาไว้ เรื่องนี้ฮ่องเต้ย่อมจำได้อยู่แล้ว ทว่าภาพที่สองนี้ยังมิเคยเห็นจากที่ใดมาก่อน
“สีอ่อนเหมือนน้ำในฤดูใบไม้ร่วง เหมือนดั่งสายลมหยุดพัดอยู่ที่ฤดูใบไม้ผลิ… เจ้าช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง”
เยี่ยนเป่ยซียกมือขึ้นลูบเครายาวแล้วยกยิ้มขึ้นมา “ทูลฝ่าบาท เป็นเพียงภาพเขียนตามอารมณ์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เขามิได้ทูลว่าครึ่งหลังของคำบนภาพ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นมา เนื่องจากเวลานี้มิสมควรเอ่ยถึงนามของฟู่เสียวกวน !
“คำเอ่ยล้วนมาจากใจจริง ครึ่งแรกคือภาพชีวิตของเจ้า ส่วนครึ่งหลังนั้น…ดูเหมือนเจ้าจะมองเห็นหนทางปล่อยวางแล้ว ทว่าใจของข้ากลับกำลังรู้สึกสับสนมากยิ่งนัก”
เยี่ยนเป่ยซีตกตะลึงงัน ฮ่องเต้ยังตรัสอีกว่า “ที่มาหาเจ้าในวันนี้ ประการแรกคืออยากมาร่วมดื่มกับเจ้า ส่วนประการที่สองคือ…ข้ามีเรื่องส่วนตัวจะสนทนากับเจ้า”
“หากฝ่าบาทประสงค์จะเสวยสุรากับกระหม่อมก็ทรงเรียกกระหม่อมเข้าวังได้ทุกเมื่อ เพราะตัวกระหม่อมตัดสินใจที่จะอยู่ในจินหลิงตลอดไป ในเมื่ออาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีจึงคุ้นเคยกับทุกอย่างไปเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
เขารินน้ำชาถวายให้แก่ฮ่องเต้ คำเอ่ยของเขามิได้ทิ้งร่องรอยซับซ้อนอันใดเอาไว้ ก็เพื่อขจัดความสงสัยของฮ่องเต้ออกไป
“กระหม่อมเป็นข้าราชบริพารของฝ่าบาท แม้จะชราภาพมากแล้ว แต่กระหม่อมก็จะเป็นข้าราชบริพารของฝ่าบาทตลอดไป ขอบังอาจทูลถามฝ่าบาทว่าเรื่องส่วนตัวนั้นคือเรื่องใดกันพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฮ่องเต้ถือถ้วยชา จากนั้นก็ทอดพระเนตรไปที่เยี่ยนเป่ยซีอย่างเปี่ยมความนัย แย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า “ปีนี้องค์รัชทายาทก็ 20 ชันษาแล้ว ข้าคิดว่าควรแต่งตั้งพระชายาให้กับเขาได้แล้ว มิช้าก็เร็วราชวงศ์หยูนี้จะต้องตกเป็นขององค์รัชทายาท หลังจากสองหรือสามปีที่ข้าสละราชบัลลังก์ก็จะได้อุ้มหลานพอดีใช่หรือไม่ ? ”
“ฝ่าบาท นี่เป็นข่าวดีมากเสียทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ! กระหม่อมขอทูลถามได้หรือไม่ว่าพระองค์เลือกผู้ใดไว้พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฮ่องเต้เสวยชาเข้าไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็วางลง “ก่อนที่ฮองเฮาซั่งจะออกจากวังหลวง นางได้เอ่ยกับข้าว่า… ตำแหน่งพระชายาควรจะเป็นเยี่ยนชิ่งยี หลานสาวของอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
เยี่ยนเป่ยซีผงะ เนื่องจากเยี่ยนชิ่งยีเป็นบุตรคนสุดท้องของเยี่ยนซือเต้าและเป็นน้องสาวของเยี่ยนซีเหวิน ปีนี้นางเพิ่งอายุได้ 15 ปีเท่านั้น และแท้ที่จริงนางจะออกเดินทางไปยังแคว้นฝานในวันรุ่งขึ้น
ช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่ฮ่องเต้ประสงค์ให้เยี่ยนชิ่งยีเป็นพระชายาในเวลานี้… !