ตอนที่ 801 อดีตหวนคืนมิได้
ณ จวนติ้งอันป๋อ เมืองจินหลิง
วันนี้มีแขกที่มิคาดคิดมาเยือนถึงจวนแห่งนี้ ซึ่งนั่นก็คือซือหม่าเช่อ
ซือหม่าเช่อมาที่จวนของติ้งอันป๋อด้วยสภาพใบหน้าที่เปี่ยมความเหนื่อยล้า นางเดินทางไกลมาจากว่อเฟิงเต้า บัดนี้นางเป็นกังวลมากยิ่งนัก
สตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้านี้คือฮูหยินทั้งสามของฟู่เสี่ยวกวนและหนานกงตงเซวี๋ย แต่ละนางมีฐานะสูงศักดิ์และมีอุปนิสัยน่ายกย่อง
“…เรื่องก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ ข้าเดินทางมาที่เมืองหลวงในเดือนสี่ จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อร่วมสอบเอินเคอ จากนั้นก็เดินทางไปยังว่อเฟิงเต้าเพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาเขตหนิงซาน…”
“เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย มาดื่มชาสักถ้วยก่อนเถิด” ต่งชูหลานรินน้ำชาแล้วยื่นให้นาง พลางเฝ้ามองรูปโฉมงดงามที่อยู่เบื้องหน้า แล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่านี่คงเป็นสมาชิกอีกคนในจวน
“ขอบคุณท่านพี่มากยิ่งนัก… บิดาให้ข้าลาออกจากตำแหน่งขุนนางเพราะเกรงว่าจะต้องย้ายไปยังราชวงศ์อู๋ ดังนั้น…” ซือหม่าเช่อเม้มปากแล้วเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นข้าจึงรวบรวมความกล้าแล้วหนีออกมา ข้าอยากมาพบท่านพี่ทั้งหลายสักครา”
ต่งชูหลานและคนอื่น ๆ จ้องมองนางแล้วยกยิ้ม “ทำตัวตามสบายเถิด ต่อจากนี้พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน ไร้การแบ่งแยกใหญ่หรือเล็กในจวนติ้งอันป๋อ ไร้ความแตกต่างระหว่างชนชั้น ในเมื่อเจ้าตกเป็นคนของเขาแล้ว พวกข้าก็จะปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงน้องสาว…”
ต่งชูหลานเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “บัดนี้ว่อเฟิงเต้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ซือหม่าเช่อคลายความกังวลลง ก่อนหน้านี้นางกลัวว่าเมื่อได้พบกับฮูหยินของจวนติ้งอันป๋อแล้วจะโดนรังแก แม้แต่เสี่ยวซิงเอ๋อร์ก็กลัวว่าจะโดนบรรดาฮูหยินจับไปขังในกรงหมู
ดูเหมือนว่าท่านพี่ทั้งหลายจะเป็นกันเองมากยิ่งนัก แน่นอนว่าวันข้างหน้านางย่อมผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
“เมื่อเขาจากไปก็ส่งผลให้ราษฎรในว่อเฟิงเต้าตื่นตระหนกจนทำให้การลงทุนในปีนี้ลดลงถึงเจ็ดในสิบส่วนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว บรรดาผู้ค้าขายเฝ้ารอให้เขากลับไปที่ว่อเฟิงเต้า ท่านพ่อเองก็พาผู้คนในจวนมุ่งหน้าไปยังราชวงศ์อู๋แล้ว ท่านเอ่ยว่าต้องการจะเริ่มต้นกระจายสินค้าที่ราชวงศ์อู๋ อีกทั้งท่านพ่อยังแพร่กระจายข่าวนี้ไปทั่ว จึงมีพ่อค้ามากมายส่งลูกหลานไปยังราชวงศ์อู๋พร้อมกับท่านพ่อด้วย”
ซือหม่าเช่อเล่าถึงว่อเฟิงเต้า จากนั้นก็ยกชาขึ้นมาดื่มแล้วเอ่ยต่อว่า “ก่อนที่ข้าจะเดินทางจากมา มีข่าวลือในว่อเฟิงเต้าว่าแคว้นฮวงและแคว้นอี๋ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว ราชวงศ์อู๋จะกลายเป็นอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็ ธุรกิจในวันข้างหน้าย่อมเจริญรุ่งเรืองมากกว่านี้”
นางจ้องมองไปที่ต่งชูหลานอย่างคาดหวังแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านพี่ เขาจะยึดครองแคว้นอี๋และแคว้นฮวงได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ต่งชูหลานยิ้มออกมา นางเห็นว่าคุณหนูตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิวผู้นี้มีความสามารถทางด้านการค้าอย่างแท้จริง
“พวกข้ามิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านพี่หรอก สิ่งที่พวกข้าต้องทำคือดูแลทรัพย์สินในตระกูล ในเมื่อเจ้าเป็นคนของเขาแล้วก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของจวนหลังนี้ด้วย พวกข้าจะบอกความจริงเจ้าว่าบัดนี้พวกเรากำลังแก้ไขปัญหาเรื่องทรัพย์สินที่อยู่ในราชวงศ์หยู”
“วันพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปที่ธนาคารซื่อทงอีกครา เพื่อแยกหมวดหมู่ของกลุ่มการค้าซีชานออกเป็น 5 หมวด คาดว่าจะมีการประมูลขายกลุ่มการค้าซีซานทั้งหมดในปลายเดือนสี่นี้”
“หากเจ้าสนใจก็ตามข้าไปจัดการเรื่องนี้เถิด ท่านพี่ส่งจดหมายมาว่าเรือที่ต่อขึ้นในท่าเรือเขตเหยาคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนห้า รอให้การทดลองเสร็จสมบูรณ์แล้ว ราวต้นเดือนหกพวกเราจะออกจากราชวงศ์หยูเร็วกว่ากำหนดเดิม ดังนั้นต่อไปย่อมมีเรื่องราวให้จัดการอีกมากโขเลยทีเดียว”
ใบหน้าของซือหม่าเช่อเต็มไปด้วยความสุข แน่นอนว่านางยินดีติดตามไปเพราะหมายความว่าท่านพี่ทั้งสี่ยอมรับนางแล้ว จากนี้นางก็เป็นส่วนหนึ่งของจวนฟู่แล้ว และจะได้มิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
นางคือคุณหนูใหญ่จากตระกูลพ่อค้า ด้วยฐานะนี้เมื่อเทียบกับเหล่าฮูหยินในจวนติ้งอันป๋อแล้วช่างด้อยค่าเสียเหลือเกิน
นี่คือประเด็นที่บิดาและท่านปู่กังวลเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงคิดเรื่องนี้ตลอดการเดินทางมาที่นี่ หากนางมิสามารถเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลนี้ได้ การโดนครอบครองในคืนนั้นก็จะไร้ความหมาย ชีวิตนี้มิมีอันใดต้องเสียใจอีกต่อไปแล้ว
หากเป็นเช่นนั้น นางคิดจะทุ่มเทให้กับการดูแลธุรกิจของตระกูลซือหม่า และใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไปจนตาย
ทว่าสถานการณ์นั้นมิได้บังเกิดขึ้นมา ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าตนโชคดีมากยิ่งนัก
หลังจากนั้นการสนทนาก็ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
ในฐานะผู้ดูแลจวนฟู่ ต่งชูหลานได้วางแผนจัดการทุกอย่างเอาไว้แล้ว
“เวิ่นหวิน เรื่องที่ดินในเขตสลัมซึ่งเคยตกลงไว้กับองค์หญิงใหญ่ ท่านพี่ส่งจดหมายมาบอกว่าจะมิขายแล้ว… ท่านพี่มิได้แจ้งถึงเหตุผลมาด้วย ถ้าเช่นนั้นก็มิต้องขาย องค์หญิงใหญ่โปรดอุตสาหกรรมที่หนานซานมากยิ่งนัก เยี่ยงนั้นก็จงขายที่แห่งนั้นในราคาที่เหมาะสมให้นางเถิด”
“พวกเรายังมีหุ้นซีซานเหลืออยู่ในมืออีก 1,200,000 หุ้น เสี่ยวโหลว เจ้าจงเทขายทั้งหมดนี้ภายในเวลา 2 เดือน”
“ท่านพี่เอ่ยว่าเหมืองแร่เหล็กที่ภูเขาเฟิ่งหลินได้พบผู้ที่จะรับช่วงต่อแล้ว เป็นคนในตระกูลหวางซุน ณ เปี้ยนเหอ ส่วนกองสรรพาวุธที่ภูเขาเฟิ่งหลิน ศูนย์วิจัยซีซานและกองสรรพาวุธที่ผิงหลิงจงมอบให้องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าทั้งหมด”
หยูเวิ่นหวินใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “เมื่อพวกเราขายกลุ่มการค้าแห่งนี้ ก็มิใช่ว่าแผนการจะถูกเปิดเผยออกไปหรอกหรือ ? ”
ต่งชูหลานยักไหล่แสดงความมิยี่หระแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่เอ่ยว่า…สิ่งสำคัญที่ผู้คนส่วนใหญ่จะซื้อคือวิธีดำเนินงานของกลุ่มการค้าเหล่านี้ ดังนั้นต้องระบุเอาไว้ในเอกสารการประมูลให้ชัดเจน อาจจะขายได้ในราคาที่สูงยิ่งขึ้น”
สตรีทั้งห้าสนทนาเรื่องนี้ในหลีเฉินซวนเป็นเวลาเนิ่นนาน เมื่อจันทราปรากฏขึ้นมาบนท้องนภา ทุกคนจึงแยกย้ายกันเข้านอน
หยูเวิ่นหวินรู้สึกกลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก เสด็จแม่เดินทางไปยังชายแดนเพราะกองทัพราชวงศ์อู๋บุกเข้ามาโจมตี
หยูเวิ่นหวินมิรู้ว่าได้บังเกิดรอยร้าวระหว่างสามีและเสด็จพ่อของนางขึ้นมา ทว่านางก็สามารถเดาได้บางส่วนจากสถานการณ์ในตอนนี้
มันคือเรื่องอันใดกันแน่ ?
ก่อนสามีจะจากไปก็บอกว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อราชวงศ์หยู เขาจะยกผืนปฐพีแคว้นฮวงอันกว้างใหญ่ให้แก่ราชวงศ์หยู !
นี่ถือเป็นเรื่องดี !
เดิมทีหยูเวิ่นหวินคิดว่าเมื่อสามีกระทำการสิ่งนี้สำเร็จแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเสด็จพ่อย่อมยินดีให้คนในจวนฟู่เดินทางออกจากเมืองจินหลิง นางมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นที่เขตเหนือ แต่ได้รับข่าวว่ากองทัพของราชวงศ์อู๋ยกทัพออกมาจากฉีซานแล้ว
นี่ย่อมเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน เสด็จแม่ถึงได้เดินทางด้วยพระองค์เองเยี่ยงนี้
“มิต้องคิดมากหรอก จะว่าไปแล้วพวกเราทั้งสองมิได้ดื่มด้วยกันนานโขแล้วนี่ มา มาดื่มเถิด”
ต่งชูหลานเปิดขวดซีซานเทียนฉุน จากนั้นก็ยื่นให้หยูเวิ่นหวิน นางรับมาแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่
“แท้จริงแล้ว…ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับเขาก็ผ่านไป 3 ปีแล้ว เจ้าและข้าล้วนเป็นมารดา ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจเพราะอีกด้านคือสามีและอีกด้านคือครอบครัว จะตัดเนื้อก้อนใดออกไปก็เจ็บปวดใจทั้งสิ้น”
ต่งชูหลานเปิดสุราขึ้นมาอีกขวด จากนั้นก็เดินไปหาหยูเวิ่นหวินที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบซวนอู่ นางถอนหายใจยาวออกมา ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยต่อว่า “แท้ที่จริงข้าพบเขาคราแรกที่หลินเจียง ในยามที่ข้ากลับมาจินหลิงก็เฝ้าคำนึงถึงตอนที่ได้อยู่กับเขา…มันเป็นช่วงเวลาที่ดียิ่งนัก เขามิเคยยึดติดกับอดีต ดังนั้นพวกเราก็ต้องมองไปข้างหน้าเช่นกัน”
“เจ้าและข้ามิเคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะไปได้สูงถึงเพียงนี้ ในวันข้างหน้าเขาจะบินได้สูงยิ่งกว่านี้อีก เขาจะมีเวลาอยู่กับพวกเราน้อยลงกว่าเดิม แต่ว่าเวิ่นหวินเอ๋ย เขาเป็นสามีของพวกเราและเป็นดั่งนกอินทรีที่มิสามารถกักขังเอาไว้ในกรงได้ตลอด”
“ระหว่างทางที่เขากำลังโบยบิน ย่อมต้องเผชิญกับพายุรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำคือปรนนิบัติรับใช้ยามเขากลับมาและดูแลเขาอย่างดี”
หยูเวิ่นหวินสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่…ข้าหวังว่าเขาจะสามารถเข้ากับเสด็จพ่อได้ดี”
เข้ากันได้ดีเยี่ยงนั้นหรือ ?
สายลมฤดูใบไม้ผลิในทะเลสาบซวนอู่ยังคงพัดแผ่วเบา ได้ปรากฏภาพสตรีสองนางยืนร่ำสุราคนละขวดท่ามกลางสายลมอ่อนโยนนี้