ตอนที่ 806 ใบไม้ผลิแดนเหนือ ( จบ )
เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน จึงถูกก่อตั้งขึ้นด้วยประการฉะนี้
ในฐานะผู้ว่าการคนแรกของเขตปกครองตนเอง ท่าป๋าคังจึงมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย
เขาใช้เวลากว่าหกวันเต็ม ๆ เพื่อร่างโครงสร้างและขอบเขตการทำงานของจวนผู้ว่าการ และได้แต่งตั้งข้าราชการขึ้นมามากมาย จากนั้นก็ส่งไปให้ฟู่เสี่ยวกวนคัดเลือกเองทั้งหมด
ในบรรดาข้าราชการเหล่านี้มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่จากแคว้นฮวงดั้งเดิม และขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนใหม่ที่ท่าป๋าคังแต่งตั้งขึ้นมาในภายหลัง
พวกเขาจะต้องยื่นรายงานสมุดพับหนึ่งเล่มให้ท่าป๋าคังโดยมิมีข้อยกเว้น จากนั้นก็จะมอบสมุดพับเล่มนี้ให้กับฟู่เสี่ยวกวนตรวจสอบ
ในสมุดพับเล่มนี้จะระบุไว้ว่าพวกเขาได้บริจาคเครื่องประดับ ทอง เงิน วัว แกะ ม้าและอื่น ๆ อีกมากมายโดยสมัครใจ เพื่อเป็นการพัฒนาและก่อสร้างเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน
ฟู่เสี่ยวกวนรับมันไว้ทั้งหมดและได้ต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นกันเอง ทั้งหมดได้ร่วมสนทนากันมากมายราวกับกลมกลืนกันไปเสียแล้ว
แน่นอนว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนตกอยู่ในสายตาของท่าป๋าเฟิง
เหล่าอตีดขุนนางของตน มิมีผู้ใดเหลือบแลสายตามาสนใจกันเลยสักนิด
อ่า…นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
เช่นเดียวกับการมาเยือนของสายฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิ มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ในช่วงสายฝนฤดูใบไม้ผลินี้ พระราชวังของอดีตจักรพรรดิได้กลายเป็นจวนผู้ว่าการ โดยมีฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้นำที่แท้จริงของเขตปกครองตนเอง และเขาได้ร่างแผนการพัฒนาของเขตปกครองตนเองในอีกห้าปีข้างหน้าขึ้นมาแล้ว
เมื่อเขียนเสร็จ ก็ได้ยกมือแล้วยืดเอวขึ้นบิดตัวไปมา จากนั้นก็ยื่นแผนการพัฒนาระยะเวลาห้าปีให้กับท่าป๋าเฟิง “ข้ายังมิคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ทั้งหมด ท่านลองดูว่ายังมีที่ใดต้องแก้ไขและเพิ่มเติมอีกหรือไม่…”
“ท่านอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ได้หรือไม่ ทุกสิ่งที่ข้าทำก็เพื่อให้ผู้คนในผืนปฐพีนี้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิมมิใช่หรือเยี่ยงไร ? ”
ท่าป๋าเฟิงคอยติดตามอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ทว่าจนแล้วจนรอดเขาก็ยังมิเข้าใจเยาวชนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ว่ากำลังทำอันใดอยู่กันแน่
“เหตุใดท่านถึงเชื่อใจท่าป๋าคังมากถึงเพียงนี้ ? ท่านยังมิรู้จักขุนนางที่เขาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดีพอ ในนั้นมีพวกนักเลงขี้เมาหยำเปอยู่ด้วย แล้วท่านคิดว่าพวกเขาจะปกครองผืนปฐพีกว้างใหญ่นี้ได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สุดท้ายแล้วท่าป๋าเฟิงก็ทนมิไหวจึงเอ่ยถามออกมา ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปริมหน้าต่างแล้วจ้องมองสวนดอกสาลี่ที่อยู่ข้างนอก บัดนี้ดอกสาลี่มีสีขาวโพลนราวกับหิมะในวันวาน
“ข้าเคยเอ่ยว่าให้ชาวฮวงปกครองกันเอง ข้าจะมิเข้าไปแทรกแซงเป็นอันขาด ข้าเชื่อว่าท่าป๋าคังสามารถควบคุมพวกเขาได้ ขอเพียงพวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของท่าป๋าคังก็พอ ส่วนเรื่องอื่น…”
“ท่านดูสิ ดอกสาลี่ช่างงดงามมากยิ่งนัก ทว่าสุดท้ายจะมีผลสาลี่สักกี่ลูกต่อหนึ่งต้นกัน อีกทั้งกว่าลูกสาลี่จะเติบโตได้เต็มที่ก็ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงเชียว ดังนั้นมิควรรีบร้อน”
ท่าป๋าเฟิงจ้องมองไปยังแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน พลันเข้าใจความหมายในคำเอ่ยของเขาได้ทันที… อีกฝ่ายกำลังเฝ้ามองดูและรอให้ผลสาลี่เติบโตเต็มที่และพร้อมทาน
จากนั้นถึงจะลงมือจัดการอย่างเต็มกำลัง !
ช่างยอดเยี่ยมยิ่ง !
มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารเขา
ทว่าน่าเสียดายยิ่งที่เขามิตาย แล้วแคว้นฮวงในอนาคตจะเป็นเยี่ยงไรกัน ?
ใต้หล้านี้จะเปลี่ยนแปลงเพราะเขาอีกมากมายเพียงใด ?
ท่าป๋าเฟิงมิอาจล่วงรู้ได้ จึงก้มลงมองแผนพัฒนาที่อยู่ในมือซึ่งเขียนเอาไว้ว่า ‘โครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน’ จากนั้นก็มิเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
……
……
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด วันที่สาม เดือนห้า
สงคราม ณ แคว้นฮวงได้สิ้นสุดลงไปแล้ว และสงครามครานี้ก็เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วทั้งใต้หล้า
ฟู่เสี่ยวกวนนำกองทัพทหารดาบเทวะ 130,000 นายเข้ายึดครองแคว้นฮวง จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็นเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนแห่งราชวงศ์อู๋ ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า ทำให้ผู้คนในใต้หล้าต้องตกตะลึงอีกครา
กองทัพชายแดนใต้ของราชวงศ์หยูถอยทัพจากพื้นที่ราบชังซีไปยังเมืองสำคัญชังถง ส่วนกองทัพทหาร 600,000 นายของราชวงศ์อู๋เคลื่อนพลเข้าใกล้เมืองและค่ายด้านนอกเมืองชังถงราว 10 ลี้
ส่งผลให้สถานการณ์ระหว่างสองฝ่ายเกิดความตึงเครียดและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
ณ จวนชั่วคราวของแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองชังถง เผิงยวี๋เยี่ยนกำจดหมายที่เผิงเฉิงอู่เขียนถึงนางเอาไว้แน่น
‘…ฤดูใบไม้ผลิของชายแดนเหนือหวนมาอีกคราตามธรรมชาติ ต้นท้อที่ปลูกในจวนอันกั๋วกงควรจะบานสะพรั่งได้แล้ว ทว่าน่าเสียดายยิ่งที่ข้าไร้ความสามารถ จึงมิอาจปกป้องเมืองซินโจวและดูแลจวนอันกั๋วกงได้อีกต่อไป
แคว้นฮวงยังมีหิมะตกอยู่ จำได้ว่าเมื่อยังเยาว์ท่านชอบดูหิมะ และจำได้ว่าเมื่อตอนที่พวกเรายังเยาว์ก็มักจะหนีออกจากด่านภูเขาเยี่ยนเพื่อไปดูหิมะในแคว้นฮวง
ในครานั้นข้าเอ่ยกับท่านว่าจะคอยดูแลด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวให้ดีเยี่ยงบิดา ข้าจะนำกองทัพบุกโจมตีแคว้นฮวงและสังหารชวงฮวงที่น่ารังเกียจพวกนั้นให้สิ้นซาก เพื่อให้พวกเราสองพี่น้องสามารถไปดูหิมะที่แคว้นฮวงได้
ทว่าข้าสูญเสียด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวไปแล้ว บัดนี้ข้ามายังแคว้นฮวงและกำลังจะไปสังหารชาวฮวงให้สิ้นซาก
หลังจากข้าสังหารกองทัพดาบสวรรค์ของชาวฮวงจนหมดสิ้นแล้ว ข้าจะเชิญท่านมาที่แคว้นฮวง ทว่าฤดูใบไม้ผลิของปีนี้มาเยือนแล้ว เมื่อถึงยามนั้นหิมะก็คงจะละลายจนหมดสิ้น
แต่ท่านจะได้เห็นทุ่งหญ้าอันเขียวขจีและหมู่มวลผกานานาพันธุ์ที่เบ่งบานบนทุ่งหญ้าแห่งนี้แทน
ทิวทัศน์เยี่ยงนี้ช่างสวยงามมากยิ่งนัก มันสง่ายิ่งใหญ่และน่าเกรงขามกว่าฤดูใบไม้ผลิของที่ราบชังซีเสียอีก ท่านชอบความสง่างามและในตอนนั้นท่านเคยเอ่ยว่าข้ามิมีลักษณะของนักรบเอาเสียเลย
ดูเหมือนสิ่งที่ท่านเอ่ยจะถูกต้อง และสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยก็ถูกต้องด้วยเช่นกัน ตัวข้าผิดไปแล้ว แน่นอนว่าเมื่อทำผิดก็สมควรชดใช้ความผิดนี้…’
เผิงยวี๋เยี่ยนน้ำตาไหลพรากราวกับสายฝน
หยูชุนชิววางมือลงบนโต๊ะ เม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยอารามโกรธ
“เขาคิดจะทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เหตุใดเขาถึงโง่เขลาเยี่ยงนี้ ? ! ”
“…” หยูชุนชิวเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ช่างโง่เขลาเสียจริง เขาเป็นผู้เล่นหมากรุกที่ฝีมือห่วยที่สุดในใต้หล้านี้ ! ”
เผิงยวี๋เยี่ยนเก็บจดหมายฉบับนี้เข้าไปในกระเป๋า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง
นางจ้องมองตัวอักษรที่แขวนไว้มุมห้อง แล้วอ่านด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แปดร้อยลี้วางธงทัพปักเนื้อย่าง บรรเลงดนตรีสะท้อนบทเพลงไปไกลยังชายแดน เหล่าทหารบนสนามรบฤดูใบไม้ผลิ !
ม้าศึกทะยานไปว่องไว คันธนูราวกับสายฟ้าฟาด
เพื่อสำเร็จการแย่งชิงที่ราบของราชา ชนะยามเป็นสร้างชื่อเสียงยามตาย
แต่น่าเสียดายเพราะชราวัย ! ”
มุมปากของนางกระตุกขึ้นจากนั้นก็หัวเราะเย้ยหยันออกมา “ฝ่าบาทกลัวฟู่เสี่ยวกวน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนก็บรรลุเป้าหมายในการลองใจฝ่าบาทผ่านการทำสงครามครานี้แล้ว”
“หากฝ่าบาทสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้สำเร็จก็จะบัญชาให้ท่านและข้านำกองทัพเข้าบดขยี้และชี้ขาดชะตากรรมกับราชวงศ์อู๋ ทว่าน่าเสียดายที่ฟู่เสี่ยวกวนมิตายจึงทำให้น้องชายของข้าและกองทัพชายแดนเหนือ 400,000 นายถูกฝังกลบอยู่ที่แคว้นฮวง”
“ดังนั้น…ท่านพี่ ข้าเกรงว่าจะไปกับท่านมิได้แล้ว อีกทั้งข้ามิอาจปฏิบัติตามบัญชาของเขาได้อีกต่อไป”
หยูชุนชิวจ้องมองเผิงยวี๋เหยี่ยน “แล้วเจ้าจะทำอันใดต่อไป ? ”
“ข้าอยากไปดูเมืองซินโจวสักหน่อย…ท่านคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพชายแดนใต้ แต่ข้ามิใช่ ข้าจะไปที่จินหลิงเพื่อรับบุตรทั้งสามของเราไปอยู่ด้วยกัน”
“รับไปอยู่ที่ใดหรือ ? ”
“…ไปที่ชื่อเล่อชวน”
เผิงยวี๋เยี่ยนลุกขึ้น “อีกสองวันคาดว่าฮองเฮาซั่งคงจะมาถึงแล้ว จงรอดูว่านางมีวิธีใดในการเจรจากับจักรพรรดิอู๋ หวังว่าจะมิมีสงครามเกิดขึ้น แต่มิว่าเยี่ยงไรข้าก็จะไปรับบุตรของเราและเดินทางไปยังชื่อเล่อชวน พวกเราจะรอท่านอยู่ที่นั่น”
หยูชุนชิวเข้าใจว่าเหตุใดเผิงยวี๋เยี่ยนจึงมิอยากภักดีต่อฮ่องเต้อีกต่อไป การที่นางพาบุตรย้ายไปชื่อเล่อชวนก็แสดงว่านางเชื่อใจฟู่เสี่ยวกวนมากกว่าฮ่องเต้
“ก็ดีเหมือนกัน เยี่ยงนั้นจงส่งจดหมายให้ข้า หลังจากที่เจ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
“…ท่านพี่”
“อืม”
“หากวันใดวันหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนนำกองทัพมาโจมตีราชวงศ์หยูด้วยตนเอง ท่านจะยอม… ยอมจำนนได้หรือไม่ ? ”