ตอนที่ 808 วิญญาณเร่ร่อนในผืนปฐพีรกร้าง
ทหารเร่ร่อนทั้งสามพันนายจ้องมองเฉินเฉียนที่พาสตรีงดงามทั้งสามเข้ามาในเขตที่ตั้งกระโจม
พวกเขาตะลึงงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็ได้ก้มศีรษะลงแล้วย่างเนื้อแกะบนกองไฟอย่างตั้งใจ
อู๋หลิงเอ๋อร์ใจกล้ามากยิ่งนัก นางมิเกรงกลัวต่อเทวดาฟ้าดิน ดังนั้นจึงเหลือบมองไปยังบุรุษเหล่านั้น แล้วตามเฉินเฉียนไปยังกลางกระโจม
สายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์มองสำรวจกระโจมซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสามจ้าง นางกะพริบตาปริบ ๆ เนื่องจากเห็นภาพโลหิตเปรอะเปื้อนกระโจมนั้น
เฉินเฉียนวางดาบในมือลง มองไปตามสายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์ จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ศพชาวฮวง พวกเราสังหารชาวฮวงไป 22 คนแล้วโยนร่างเข้าไปในนั้น ประเดี๋ยวจะเผาก่อนเดินทางจากไป”
อู๋หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น “ทว่าบัดนี้ชาวฮวงเป็นราษฎรของราชวงศ์อู๋แล้ว”
เฉินเฉียนพลิกเนื้อแกะบนกองไฟ ยกยิ้มอย่างเย็นชา “ราษฎรเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเขามิยอมรับความเป็นราษฎรอันใดนั่นหรอก พวกเขากำลังวางแผนสังหารติ้งอันป๋อ ! ”
อู๋หลิงเอ๋อร์ผงะ เฉินเฉียนจึงเอ่ยต่อต่อ “พวกเจ้าเพิ่งมาถึงเขตปกครองตนเองใช่หรือไม่ ? ติ้งอันป๋อทำร้ายชาวฮวงเหล่านี้จึงมิรู้ว่ามีชาวฮวงจำนวนเท่าใดที่อยากเอาชีวิตของเขา ถ้าอยากให้เขตปกครองตนเองมั่นคงปลอดภัยก็ต้องใช้เวลานานหนึ่งปีหรืออาจจะสองปี… ระหว่างนี้ข้าทนดูมิได้หรอก”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็คว้ามีดบนพื้นมาตัดขาแกะที่ย่างสุกแล้ว จากนั้นก็ยื่นให้อู๋หลิงเอ๋อร์ “พวกเจ้าแบ่งกันเองเถิด…”
หนีซางเป็นผู้รับเนื้อแกะย่างเอาไว้ นางหยิบมีดขึ้นมาตัดแบ่ง ส่วนอู๋หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามเฉินเฉียนว่า “เจ้าหมายความว่าชาวฮวงเหล่านี้ตั้งใจฟื้นฟูแคว้นเดิมขึ้นมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! แม้ว่าติ้งอันป๋อจะจับจักรพรรดิของพวกเขาเอาไว้ ทว่าชาวฮวงแตกต่างจากพวกเรา คือพวกเขาไร้อารยธรรมและจงรักภักดีต่อจักรพรรดิของตนเท่านั้น”
ในเวลานี้เขาก็นึกถึงท่านแม่ทัพใหญ่เผิงขึ้นมา เฉินเฉียนส่ายศีรษะจากนั้นก็หัวเราะเยาะตนเอง “ความจงรักภักดีของพวกเขาแสดงออกผ่านการใช้กำลังอันป่าเถื่อน ติ้งอันป๋อมีเมตตาจนเกินไป ดังนั้นพวกข้าจึงช่วยจัดการแทนเขา”
“ข้าขอทราบนามของท่านแม่ทัพได้หรือไม่ ? ”
“ข้าเป็นเพียงคนตัดหญ้านิรนามเท่านั้น”
“…ถ้าเช่นนั้น ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าจะสามารถไปพบติ้งอันป๋อได้ที่ใด ? ”
“เขาอยู่ที่เมืองยวี่ซิ่ว ที่นั่นคือฮวงถิงในอดีต”
อู๋หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยท่าทีเขินอาย “ถ้าเยี่ยงนั้น…ท่านพาพวกข้าไปที่เมืองยวี่ซิ่วได้หรือไม่ ? ”
เฉินเฉียนโบกมือปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “มิไป”
“เพราะเหตุใดเล่า ? ”
“คุณหนู พวกข้าคือคนตัดหญ้า จะไปทำอันใดที่เมืองยวี่ซิ่วกันเล่า ? ”
“ไอหยา…ถ้าเช่นนั้นเมืองยวี่ซิ่วไปทางใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มุ่งหน้าไปทางเหนือ คอยระวังด้วยล่ะ ตลอดทางมีพวกโจรชาวฮวงอยู่มากมาย พวกเจ้าก็กล้าหาญเสียจริง กล้าเดินทางมาที่นี่โดยไร้ผู้คุ้มกันเยี่ยงนี้”
อู๋หลิงเอ๋อร์หัวเราะร่าออกมา นางหยิบเนื้อแกะที่หนีซางยื่นให้มากินด้วยความหิวโหย
“พวกข้าบากหน้าไปขอพึ่งพาญาติแล้วล่ะ ทว่าพวกข้าวิ่งเร็วไปสักหน่อยจึงทำให้ผู้คุ้มกันตามมามิทัน”
เฉินเฉียนขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็เหลือบมองอู๋หลิงเอ๋อร์ พลางคิดในใจว่า มิเคยได้ยินข่าวมาก่อนว่าราชวงศ์อู๋จะส่งข้าราชการมาดูแลชื่อเล่อชวน แต่ได้ข่าวว่าติ้งอันป๋อใช้วิธีชาวฮวงปกครองชาวฮวงโดยผู้ว่าการคนแรกคือน้องชายแท้ ๆ ของอดีตจักรพรรดิแคว้นฮวง
เรื่องนี้มิมีส่วนเกี่ยวข้องกับตน เฉินเฉียนจึงมิได้สนใจอีก เพราะตนมาที่นี่เพื่อจัดการเรื่องกวาดล้างพวกโจร และอีกประการหนึ่งคือมาเคารพสุสานของท่านแม่ทัพใหญ่ด้วย
ด่านภูเขาเยี่ยนยังคงเปิดประตูอยู่ รอยกระสุนบนกำแพงยังเป็นรูเด่นหรา
เมืองซินโจวกลายเป็นซากปรักหักพังเพราะการระเบิดครานั้น แม้แต่จวนอันกั๋วกงก็หายสาบสูญไปจนสิ้น
ราษฎรที่หนีออกมาจากเมืองซินโจวได้ พวกเขามิได้กลับไปที่เมืองนั้นอีก พวกเขาตั้งรกรากชั่วคราวอยู่ที่เขตผิงหลิงและชวูอี้ พวกเขายังคงมีความอาฆาตแค้นต่อท่านแม่ทัพใหญ่ เกรงว่าหลังจากที่สร้างเมืองซินโจวขึ้นมาใหม่ พวกเขาก็จะมิหวนกลับไปอีก
บางเรื่องก็เป็นเช่นนี้ เมื่อหัวใจถูกความเย็นยะเยือกเกาะกุม ก็มิง่ายเลยที่จะเรียกความอบอุ่นกลับคืนมา
เช่นเดียวกับกองทัพเร่ร่อน 3,000 นายนี้ พวกเขาเดินทางเร่ร่อนไร้จุดหมายอยู่ในผืนปฐพีรกร้างแห่งนี้ ตัดหญ้า ฆ่าแกะ เพื่อประทังชีวิตไปวัน ๆ ใช้ชีวิตอย่างตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าวันหนึ่งจะมิมีหญ้าให้ตัด และไร้แกะให้ฆ่าบนผืนปฐพีแห่งนี้
แล้วหลังจากนั้นเล่า ?
แท้จริงแล้วพวกเขายังมิได้นึกถึงมัน
หลังจากเป็นทหารมาหลายปี พวกเขาต้องแบกรับความอัปยศนี้เอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงมิสามารถมีอนาคตที่ดีได้อีกต่อไป
จิตวิญญาณของพวกเขาได้ตายไปทันทีที่ด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวถูกทำลาย ตายทันทีที่อยู่บนซงกั่ง ตายทันทีที่ล่วงรู้แผนการร้ายและเต็มไปด้วยเงื่อนงำที่พุ่งไปหาติ้งอันป๋อ
นี่คือทหารประเภทใดกัน ?
พวกเขาสู้รบเพื่ออันใดกันแน่ ?
พวกเขาสูญเสียความศรัทธาและความหวัง มิมีหน้ากลับไปหาผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านเกิดอีกต่อไปแล้ว
พวกเขาจึงต้องมา ณ ที่แห่งนี้ แล้วกลายเป็นวิญญานเร่ร่อนในผืนปฐพีที่เคยมีนามว่าแคว้นฮวง
มื้อกลางวันแสนอิ่มหนำจบลงโดยไร้บทสนทนาใด ๆ เฉินเฉียนตัดขาแกะอีกข้างให้อู๋หลิงเอ๋อร์
“เมืองยวี่ซิ่วอยู่ห่างจากที่นี่ราวพันลี้ เจ้าเก็บไว้ทานระหว่างทางเถิด คอยระวังชาวฮวงด้วย…ขอให้โชคดี”
“แล้วพวกท่านจะไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…ยังมิรู้เลย”
“เช่นนั้นก็ร่วมเดิมทางไปด้วยกันดีหรือไม่ ? ถือเสียว่าไปส่งพวกข้าก็แล้วกัน”
เฉินเฉียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ฟังแล้วก็เหมือนว่าจะมีเหตุผล
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
“ขอบคุณท่านมากยิ่งนัก ! ”
เฉินเฉียนตกตะลึงขึ้นมาทันใด ขอบคุณเยี่ยงนั้นหรือ อืม…ดูเหมือนว่าคนเยี่ยงข้าก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง
……
……
ท้องนภาสีครามแต่งแต้มด้วยเมฆาสีขาว
ทุ่งหญ้าในเดือนห้า แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี
ทุ่งหญ้าสีเขียวเริ่มหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ หมู่มวลผกาก็งดงามขึ้นเช่นกัน
น้ำในแม่น้ำเซียวกลายเป็นสีเขียวมรกตแสนงดงาม ที่แห่งนี้เคยมีศพถูกทิ้งไว้ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ศพของศัตรูถูกเผาเป็นปุ๋ยให้แก่ดอกไม้และหญ้าบริเวณนั้น สำหรับศพของทหารดาบเทวะก็ได้ฝังไว้ริมแม่น้ำเซียวแห่งนี้ ทั้งยังสร้างอนุสรณ์ขนาดใหญ่ไว้ระลึกถึงอีกด้วย
อนุสรณ์นี้บันทึกเรื่องราวของสงครามที่เกิดขึ้นในเดือนสาม หากมิใช่เพราะสัญลักษณ์นี้ก็คงไร้ผู้ใดมองออกว่าสถานที่แสนงดงามนี้ เคยเป็นสนามรบและเคยมีผู้เสียชีวิตหลายแสนคนที่นี่
ทุ่งหญ้าแห่งนี้สดใสมีชีวิตชีวามากยิ่งนัก ส่วนการสู้รบที่เกิดขึ้นนอกเมืองกูหยุนในต้นเดือนสี่ ก็มิได้ปรากฏร่องรอยการสู้รบเช่นกัน
ภายใต้การนำของแม่ทัพใหญ่เผิงเฉิงอู่แห่งกองทัพชายแดนเหนือที่มีทหารมากกว่า 200,000 นาย พวกเขาได้ทำการต่อสู้กับกองทัพดาบสวรรค์จำนวน 200,000 นายที่อยู่ห่างจากเมืองกูหยุนออกไป 30 ลี้
เผิงเฉิงอู่มิเลือกดูแลเมืองกูหยุนอีกต่อไป ภายใต้อาทิตย์อัสดงเขาได้นำทัพบุกโจมตีกองทัพดาบสวรรค์อย่างแน่วแน่
ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกอีกราว 10 คนกำลังยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
เขาจ้องมองสุริยาที่กำลังจะลับฟ้า จำได้ดีว่าวันที่เผิงเฉิงอู่จากไปก็เป็นยามที่สุริยาใกล้จะลับฟ้าเยี่ยงนี้
นี่เป็นการสู้รบที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วปฐพี ทหารรวมแล้วกว่า 500,000 นายทำการสู้รบอย่างดุเดือด ณ ผืนปฐพีรกร้างกว้างใหญ่แห่งนี้ ยามนั้น…ที่นี่ล้วนเป็นผืนหิมะ ทว่าบัดนี้ได้กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มทั้งหมดแล้ว
คราบโลหิตมองมิค่อยเห็นแล้ว ศพของชาวฮวงและทหารชายแดนเหนือถูกเผาจนสิ้น มีเพียงศพของเผิงเฉิงอู่เท่านั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนสั่งให้นำร่างของเขาไปฝังไว้ที่เนินเขาเล็ก ๆ แห่งนี้
เบื้องหน้าสุสานมีอนุสรณ์อยู่เช่นกัน ทว่าสลักเพียงชื่อของเผิงเฉิงอู่ไว้บนนั้น ส่วนที่เหลือคือความว่างเปล่า
“ข้ามิรู้ว่าจะเขียนสิ่งใดลงไปดี เมื่อลองคิดดูแล้วก็เว้นว่างให้ลูกหลานของเขามาเขียนจะดีกว่า”
ฟู่เสี่ยวกวนแตะป้ายสุสานนี้ จากนั้นก็จุดธูปหอมหนึ่งคู่ ทำการคารวะแล้วเสียบไว้ที่หน้าอนุสรณ์จากนั้นก็เผากระดาษเงินจำนวนมาก
“ที่ข้าฝังท่านไว้ที่นี่เพราะอยากให้ท่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผืนปฐพีนี้ในอนาคต”
“ข้ามิได้สัญญาอันใดไว้กับท่าน ในเมื่อท่านไปอย่างสงบก็จงเฝ้าดูด้วยความสบายใจเถิด แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“จะสดใสเบ่งบานและงดงามราวกับหมู่มวลผกาไม้ในฤดูกาลนี้ ! ”