ตอนที่ 828 สังหารโจร
นภากระจ่าง ทุ่งหญ้าเขียวขจี สายลมอุ่นพัดเคล้าคลอ
ทุ่งหญ้ากว้างไกลไร้เงาผู้คน แต่กลับปรากฏนักบวชรูปหนึ่งเดินทางมาอย่างผาสุก
เขาแบกหีบหนังสือเอาไว้บนหลัง ในมือข้างหนึ่งถือคทาเอาไว้ แสงสุริยาสาดกระทบกลางศีรษะจนสะท้อนแสงแวววาว
คูฉานเดินทางมาถึงแคว้นฮวงแล้ว
เขารู้สึกชื่นชอบที่แห่งนี้ตั้งแต่คราแรกที่ได้เหยียบเข้ามา
ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ประดุจสถานที่ที่ห่างไกลจากสรรพสิ่ง ไร้ซึ่งเสียงโหวกเหวกโวยวายและความคิดตื้นเขินเยี่ยงเมืองฉางจินของแคว้นฝาน ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้างที่เบียดเสียดแทบทุกอณูดั่งเช่นเมืองหลวง
ช่างเงียบสงบและมิแยแสต่อสิ่งใดยิ่งกว่าสีหน้าของท่านอาจารย์เสียอีก
ดอกไม้ทุกดอกและหญ้าทุกหย่อมในสถานที่แห่งนี้ ให้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังอาบแสงเรืองรองแห่งเต๋า กำลังเปล่งประกายแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์
พระอาจารย์ปิ้งเฉินเคยเอ่ยไว้ว่า ข้ามีกรรมอยู่ที่แคว้นฮวง ไม่สิ ! ที่แห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนแล้ว ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อชดใช้กรรม ทั้งยังไร้ซึ่งแผนที่นำทางจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ… ทว่ายิ่งเดินไปไกลเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนหลงทางเสียแล้ว
ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่และเงียบสงบ มองไปทางใดก็เหมือนกันไปเสียหมด แล้วจะเดินไปถึงเมืองยวี่ซิ่วได้เยี่ยงไร ?
คูฉานยกมือคลำศีรษะของตนที่เริ่มปวดขึ้นมา เขาสุ่มเลือกทางหนึ่งจากนั้นก็เดินตรงไป นึกในใจว่าหากเดินไปเรื่อย ๆ ประเดี๋ยวก็คงพบเจอกับผู้คนเข้าเอง
เมื่อเจอผู้คนก็จะได้รู้ว่าเมืองยวี่ซิ่วอยู่ทิศทางใดกันแน่
เขาเดินไปทางเหนือเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 20 วัน
แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน และไร้ซึ่งวี่แววของเมืองแม้แต่เมืองเดียว
ราวกับว่าเขาได้เดินเข้าสู่ดินแดนของเขาพระสุเมรอย่างไรอย่างนั้น
และแล้วในวันนี้ เขาก็ได้พบเจอกับผู้คน ซึ่งมิได้มีเพียงคนเดียว ทว่ามีจำนวนหลายสิบและกำลังควบอาชาผ่านมา
คูฉานดีใจมากยิ่งนัก คิดเอาเองว่าคนกลุ่มนี้เป็นชนเผ่าเร่ร่อนเฉกเช่นที่ท่านอาจารย์เคยเอ่ยถึง
เขาแบกหีบหนังสือและยกคทาขึ้นมา จากนั้นก็วิ่งตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
……
ท่าป๋าซางคือหลานชายของท่าป๋าเสวี่ยเฟิงผู้บัญชาการกองทัพดาบสวรรค์กองพลที่สอง
ท่าป๋าซางมีชีวิตรอดจากศึกเมืองกูหยุน และเมื่อสงครามจบลงเขาได้ค้นหาทหารที่ยังรอดชีวิตมาได้ 60 นาย ทหารเหล่านี้รวมกลุ่มติดตามต่อสู้ข้างกายของเขานับจากนั้น
“สักวันข้าจะตัดศีรษะเจ้าสุนัขฟู่เสี่ยวกวนแล้วถลกหนังมันให้จงได้ ! ”
“ทว่าบัดนี้สถานการณ์มิค่อยเป็นใจเท่าใดนัก พวกเราควรสะสมพละกำลังให้ดีเสียก่อน ทั้งยังต้องคอยตามหาชายที่มีความจงรักภักดีและกำยำเท่าพวกเราบนที่รกร้างแห่งนี้ เมื่อกองทัพดาบสวรรค์กลับมารุ่งเรืองเฉกเช่นวันวาน เมื่อนั้นข้าจะให้พวกเจ้าร่วมศึกสังหารฟู่เสี่ยวกวน ! ”
“ที่สำคัญคือในตอนนี้พวกเราต้องมีชีวิตรอดให้ได้ ! ”
เขานำขบวนชายหนุ่มที่มีอุดมการณ์หนักแน่นเดินทางมายังรัฐลู่ฉี ที่ตั้งอยู่ในสถานที่ไกลโพ้นแห่งนี้
เขาควบอาชานำขบวนอยู่ด้านหน้าสุด เมื่อเห็นฝูงวัวและแกะกระจายเต็มทุ่งก็ยิ้มย่องขึ้นมาในทันใด จากนั้นก็ยกแซ่ม้าขึ้นแล้วชี้ไปยังหมู่บ้านของชนเผ่าที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า “เอาล่ะ ! ที่แห่งนั้นจะเป็นฐานที่ตั้งของกองทัพดาบสวรรค์ จงไปจับคนในหมู่บ้านมาเป็นทาสเสียให้หมด หากมีผู้ใดขัดขืน…ก็สังหารโดยไร้ข้อยกเว้น ! ”
ยังมิทันสิ้นเสียง ทหารม้าทั้งหกสิบนายที่กำลังจะบุกเข้าหาเหยื่อ ก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลัง พวกเขาจึงหยุดชงักลง “ช้าก่อนประสก ! ”
ท่าป๋าซางหันไปมองด้วยความตื่นตกใจ จากนั้นก็เห็นนักบวชรูปหนึ่งวิ่งเข้ามา
ทหารม้าทั้งหกสิบนายชะลอการบุกโจมตีพลางหันอาชาไปทางต้นเสียง แสงสุริยาสะท้อนเข้ากับศีรษะเปลือยเปล่าของนักบวชเข้าพอดี
นี่คือผู้ใดกัน ?
“นักบวชรูปนี้รนหาที่ตายเสียแล้ว ! ”
ท่าป๋าซางชักดาบขึ้นมา จากนั้นก็หันไปแผดเสียงดังลั่น “พวกเจ้ารีบบุกเข้าไป ส่วนทางนี้ข้าจะจัดการเอง ! ”
คูฉานตะลึงงัน เจ้าพวกป่าเถื่อนตามท้องทุ่งโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
“ท่านโปรดอย่าลงไม้ลงมือเลย อาตมาเพียงมาถามทางเท่านั้น ! ”
ทหารม้าที่กำลังหันหัวอาชากลับไปทางเป้าหมาย ยังมิทันได้บุกโจมตี ก็ได้เห็นคนสามคนห้อตะบึงอาชาบุกเข้ามาทางตน
“อาตมาเป็นศิษย์ผู้ยากไร้ของนิกายฝูแห่งแคว้นฝาน มีนามว่าคูฉาน ใคร่ถามท่านว่าเมืองยวี่ซิ่วไปทิศทางใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ช่วงระหว่างคิ้วของท่าป๋าซางขมวดเข้าหากันทันใด นักบวชแห่งแคว้นฝานจะวิ่งมาที่แบบนี้เนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ?
“เจ้ามีกิจอันใดที่เมืองยวี่ซิ่วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อาตมาต้องการตามหาฟู่เสี่ยวกวน”
“เจ้าเป็นมิตรหรือศัตรูของเขากัน ? ”
“อาตมาย่อมเป็นมิตรกับเขาอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็รับดาบของข้าไปกิน… ! ”
ดาบของท่าป๋าซางฟาดฉับลงไปในทันใด จนคูฉานต้องถอยร่นไปราว 3 จั้ง อ่า…เจ้าหมอนี่คงเป็นศัตรูของฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นข้าต้องช่วยเหลือเขา
คูฉานพุ่งทะยานขึ้นท้องนภา คทาในมือกวัดแกว่งไปมา จากนั้นก็ฟาดเข้ากลางศีรษะของท่าป๋าซางอย่างรวดเร็ว
เผิงยวี๋เยี่ยนนำหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอบุตรชายทั้งสองคนบุกประจันหน้ากองโจรทั้งหกสิบคนในทันที นางควบอาชานำหน้า ดาบยักษ์ได้พุ่งเข้าไปไวดุจสายฟ้าฟาด โลหิตแดงฉานสาดกระเซ็น โจรคนหนึ่งโดนดาบฟันจนร่างขาดเป็นสองท่อน
เมื่อกลุ่มโจรที่เหลือเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ผวาตกใจขึ้นมาทันใด เหตุใดสตรีนางนี้จึงโหดอำมหิตเสียเหลือเกิน ?
“พี่น้องทั้งหลายรีบสังหารนางเร็วเข้า ! ”
อาชาศึกของเผิงยวี๋เยี่ยนยังคงเดินหน้าบุกต่อไป บุตรชายทั้งสองเข้ามาประกบซ้ายขวา ทั้งหยูติ้งซานและหยูติ้งเหอจดจ้องศัตรูตาเขม็ง ทั้งสองคนถือดาบยักษ์อยู่ในมือ พวกเขาฟาดดาบลงไปที่แขนของโจรที่เข้ามาทำร้ายจนขาด จากนั้นก็พุ่งตามเผิงยวี๋เยี่ยนไปด้านหน้าอย่างอาจหาญ
ปลายดาบพุ่งใส่ทหารดาบสวรรค์ทั้งซ้ายและขวาจนพวกมันตกจากหลังม้า
“ทหารม้าทั้งหลาย จงเมินเฉยต่อการโจมตีเบื้องหน้าแล้วบุกเข้าไปดุจไร้สิ่งกีดขวาง ! ”
เผิงยวี๋เยี่ยนเหยียบโกลนม้าแล้วยืนขึ้น ดาบที่ถือไว้ในมือทั้งสองข้างฟันไปด้านหน้าอย่างรุนแรง ทหารม้าบริเวณนั้นหลบหลีกมิทันจึงถูกฟาดฟันจนตกจากม้า ปลายดาบพุ่งเข้าไปเสียบบนหลังอาชาจนมันส่งเสียงร้องโหยหวนแล้วล้มตึง “ในฐานะทหาร ต้องเป็นผู้นำ มีความมุ่งมั่นและตระหง่านเสียดฟ้า ! ”
นางพลางเอ่ยพลางฟาดดาบในมือออกไป เมื่อเสียงของนางสิ้นสุดลงก็พบว่าได้สังหารศัตรูจนเกือบหมดแล้ว
นางหันหัวอาชากลับมาอย่างว่องไวจากนั้นก็ชี้ดาบออกไป แล้วคำรามออกมาว่า “สงครามเย็นชาและไร้น้ำใจ จงจำเอาไว้ว่าผู้มีเมตตามิควรเป็นทหาร ! ”
นางกระทุ้งด้านข้างของอาชาแล้วบุกโจมตีอีกครา
ทหารชาวฮวงเหล่านี้มิใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเผิงยวี๋เยี่ยนและบุตรชายทั้งสองของนาง !
เพียงอึดใจเดียว ทหารดาบสวรรค์ทั้งหกสิบนายก็ถูกปราบ…จนราบเป็นหน้ากลอง
หวานเหยียนคังและคนอื่น ๆ ที่รุดออกมาจากหมู่บ้านล้วนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง หวานเหยียนหงเลี่ยที่พาร่างสั่นเทาตามมาด้านหลังก็ตื่นตกใจเสียจนตาโต…ให้ตายเถิด ข้ารับคนประเภทใดมาอยู่ด้วยกัน !
นางนำบุตรชายสองคนออกไปสังหารกองโจรเสียจนราบคาบ !
นี่เพิ่งผ่านมาได้เท่าใดเอง ?
ข้าเก็บของล้ำค่ามาได้เยี่ยงนั้นหรือ !
หากชนเผ่ามีนางและลูกอยู่ด้วย ย่อมรักษาพวกพ้องได้โดยไร้กังวล… จริงสิ ! ควรให้ชายหนุ่มในชนเผ่าร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้จากพวกนาง ประเดี๋ยวต้องอัญเชิญนางมาเป็นอาจารย์ในการสอนวิชาต่อสู้เสียแล้ว !
เผิงยวี๋เยี่ยนหยุดอาชา จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองนักบวชที่กำลังต่อสู้อยู่กับชาวฮวงอีก 1 คน
ในใจของท่าป๋าซางรู้สึกสิ้นหวังเสียเต็มประดา
กว่าจะรวมพลมาได้ 60 นายช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นนักรบแห่งกองทัพดาบสวรรค์ทั้งสิ้น
พวกเขาเป็นนักรบดาบสวรรค์ตัวปลอมหรือเยี่ยงไรกัน ?
เหตุใดถึงโดนสับเละภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ?
แล้วนักบวชผู้นี้มีพื้นเพเยี่ยงไรกัน ?
ข้าสู้มิชนะเสียที จะทำเยี่ยงไรดี ?
ชาวหยูมีคำเอ่ยคำหนึ่งว่า หากยังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมมีความหวัง !
เยี่ยงนั้นก็หนีเสียดีกว่า !
เมื่อคิดได้ดังนั้น ท่าป๋าซางก็แสร้งฟาดดาบเพื่อหลอกล่อคูฉานให้สับสนแล้วหาจังหวะหนีไป… ด้านคูฉานรู้สึกว่าคนพวกนั้นไล่สังหารเรียบทั้งหกสิบคน ส่วนตนเองยังจัดการคนเพียงคนเดียวมิได้
ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก !
เขาจึงวางคทาในมือลง จากนั้นก็พนมสองมือขึ้นมาท่องอมิตาพุทธ
คทาลอยขึ้นจากพื้น พุ่งไปปักกลางหลังของท่าป๋าซางจนตกจากหลังอาชา สุดท้ายก็นอนสิ้นชีพอยู่บนผืนหญ้า
คูฉานส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ จากนั้นก็เดินไปเก็บคทา เขาเช็ดคราบโลหิตที่ติดกับคทาโดยใช้อาภรณ์ของท่าป๋าซาง จากนั้นก็เดินไปทางเผิงยวี๋เยี่ยน
“นี่คือคทาฉาน แสดงว่านักบวชเป็นศิษย์ของท่านหัวหน้านิกายฝูใช่หรือไม่ ? ”