ตอนที่ 848 เทศกาลหยวนเซียว ( จบ )
แสงอาทิตย์อัสดงสาดกระทบผืนน้ำ แม่น้ำครึ่งหนึ่งจึงประกายแสงสีแดงระยับ
หลิวหยุนถายอาบแสงอาทิตย์อัสดงทำให้สถานที่แห่งนี้ดูมีมนต์ขลังมากยิ่งขึ้น เวลานี้โคมไฟยังมิถูกจุดให้สว่างไสว ทว่าผู้คนก็ได้หลั่งไหลมาเยือนจนแน่นขนัดแล้ว
สำหรับราชวงศ์อู๋ เทศกาลโคมไฟถือเป็นเทศกาลที่ต้องเฉลิมฉลอง แต่ก็มิได้ฉลองกันอย่างเอิกเกริกเฉกเช่นที่ราชวงศ์หยู
แต่ไหนแต่ไรมา บ้านเมืองนี้มิเคยมีการจุดโคมไฟในเทศกาลหยวนเซียวมาก่อน ผู้คนเพียงเลี้ยงฉลองกันเองภายในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเท่านั้น
ทว่าเมื่อจักรพรรดิเต๋อจงขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ก็ได้ยกระดับเทศกาลนี้ให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น… เดิมทีเหล่าขุนนางมีวันหยุดเพียง 1 วันก็เปลี่ยนเป็นหยุดยาว 3 วัน
ในอดีตมิได้มีงานโคมไฟหรืองานชุมนุมวรรณกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ทว่าในปีนี้ฝ่าบาทได้จัดงานเทศกาลโคมไฟอย่างใหญ่โต ณ หลิวหยุนถายอันเลื่องชื่อแห่งนี้
ได้ยินว่าวันนี้ยังมีการจุดพลุสีสันตระการตาอีกด้วย พลุที่จะจุดในงานถูกคิดค้นโดยสำนักอาวุธปืน เล่าลือกันว่างดงามมากยิ่งนัก
ทั้งยังลือกันอีกว่าราตรีนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมายังหลิวหยุนถาย เพื่อมาร่วมเฉลิมฉลองพร้อมกับราษฎร และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพระองค์จะทรงพระราชนิพนธ์กวีบทใหม่ขึ้นมาอีกด้วย… บัดนี้ฝ่าบาทมีชื่อเสียงในเรื่องของการปกครองจึงทำให้หลายคนหลงลืมไปแล้วว่าพระองค์เคยถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดนักประพันธ์จากการแข่งขันกวีเมื่อสองปีก่อน
มีปัญญาชนหลายคนหลั่งไหลเข้ามา
ทั้งยังมีสาวงามมากหน้าหลายตาหลั่งไหลมาด้วยเช่นกัน
บัดนี้ชายหนุ่มผู้นั้นได้เป็นองค์จักรพรรดิแล้ว สาวงามกลุ่มนี้จึงมิได้มีความคิดเกินเลยแต่อย่างใด ทว่าการได้เห็นพระองค์และได้ฟังบทกวีที่พระองค์ทรงราชนิพนธ์ด้วยตนเองย่อมเป็นสิ่งที่พวกนางเฝ้าฝันถึง
บนชั้นสามของหอกวนหยุนมีห้องที่ตกแต่งวิจิตรงดงามทั้งสิ้น 12 ห้อง นอกจากห้องเทียนหยุนที่ใหญ่ที่สุดและงดงามที่สุดแล้ว ห้องอื่น ๆ ก็ถูกจองจนหมดสิ้น
ทางด้านซ้ายของห้องเทียนหยุนคือห้องเทียนอินซึ่งเป็นห้องที่งดงามลำดับสอง ซึ่งถูกบุคคลนิรนามจองไปแล้วเมื่อวาน
ส่วนห้องที่อยู่ถัดไปทางขวานั้นมีชื่อว่าห้องเทียนฉินซึ่งงดงามเป็นลำดับสาม ห้องนี้ถูกซือหม่าเทาจับจองไปแล้วเช่นกัน
ช่วงยามเซิน หอหลิวหยุนจึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
หนุ่มสาวมากกว่า 12 คนที่ซือหม่าเทาเชิญมาร่วมฉลองที่ห้องเทียนฉินก็ได้มากันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว
วันนี้มีคนนอกมาสมทบอีก 3 คน พวกเขาล้วนเดินทางมาจากว่อเฟิงเต้า คนแรกคือบุตรชายคนโตของเฉียวลิ่วเยแห่งลิ้วฝูจี้นามว่าเฉียวฉู่หมิง บุตรชายคนโตของฟ่านสือหลินแห่งเพียวเซียงหยวนนามว่าฟ่านเช่อ อีกทั้งยังมีบุตรชายคนโตของจังเหวินฮุยแห่งหอเสียงไท่ผู้มีนามว่าจังกว่างหยวน
“ได้ยินว่าพี่หยุนซีเหยียนมารับราชการที่ราชวงศ์อู๋ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ” จังกว่างหยวนมองไปที่ซือหม่าเทาแล้วเอ่ยถามออกมา
“พี่หยุนจะตามมาสมทบทีหลัง ทุกวันนี้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากรมการค้า มีราศีกว่าตอนที่อยู่ว่อเฟิงเต้าเป็นไหน ๆ ” ซือหม่าเทาเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่งลง แล้วเอ่ยต่อว่า “จะว่าไปแล้ว จักรพรรดิเต๋อจงทรงกล้าใช้คนเสียจริง หยุนซีเหยียนสอบเอินเคอได้ลำดับที่หนึ่งเมื่อปีกลาย อีกทั้งยังเป็นผู้มากความสามารถที่จักรพรรดิเต๋อจงทรงคัดเลือกมากับพระหัตถ์อีกด้วย แม้เขาจะเป็นชาวหยูแต่ก็มิถูกแบ่งแยก”
จังกว่างหยวนยิ้มปราศรัย “พวกเจ้าเดินทางออกมาก่อนจึงมิรู้ว่า เมื่อหยุนซีเยียนและจัวตงหลายเดินทางมายังเมืองกวนหยุนแห่งนี้ เหล่าขุนนางทั้งหลายแห่งว่อเฟิงเต้าได้พากันเดินทางไปที่เมืองว่อเฟิง ขุนนางพวกนั้นต้องการอำลาตำแหน่งเพื่อมาติดตามจักรพรรดิเต๋อจง ท้ายที่สุดท่านเต้าถายคนใหม่ก็ได้โน้มน้าวพวกเขานานกว่าครึ่งค่อนวันจนพวกเขายอมล้มเลิกความคิดนี้ไปได้ชั่วคราว เฮ้อ…”
จังกว่างหยวนส่ายศีรษะ “อิทธิพลของบุรุษท่านนี้ บิดาของข้าเรียกว่าเสน่ห์เฉพาะตัว ขุนนางเหล่านั้นล้วนเป็นขุนนางที่พระองค์คัดเลือกเองกับมือเช่นกัน หากเอ่ยตามกฎพวกเขาล้วนเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง ที่สุดท้ายแล้วพระองค์จำต้องกลับมายังราชวงศ์อู๋ พวกท่านลองอ่านโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกของราชวงศ์อู๋ดูเถิด การปฏิรูปคราใหญ่แบบที่มิเคยมีในประวัติศาสตร์อยู่เบื้องหน้าพวกเราแล้ว พี่น้องทุกท่าน แม้จะต้องผ่านความยากลำบากเพียงใด ทว่าต้องมีสักวันที่พวกเราจะประสบความสำเร็จ ยุคสมัยใหม่ได้มาถึงแล้ว ! ”
เหล่าคนหนุ่มสาวเห็นพ้องต้องกัน หยูซิ๋งเจี่ยนหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “โครงร่างนั้นซับซ้อนมากยิ่งนัก อีกประเดี๋ยวเมื่อพี่หยุนมาถึงก็ให้เขาช่วยไขความข้องใจเถิด พวกข้านับเป็นพ่อค้าที่มาจากต่างแดน ตามข้อเรียกร้องในโครงร่างนั้นจำต้องจดทะเบียนบริษัทกับกรมการค้า และยังต้องเปิดบัญชีบริษัทกับทางธนาคารซื่อทงอีก ช่างซับซ้อนเสียเหลือเกิน”
เมื่อสิ้นเสียง หยุนซีเหยียนและจัวตงหลายก็ได้เดินเข้ามาในห้องพอดี
“ซับซ้อนเยี่ยงนั้นหรือ ? ซับซ้อนกับผีสิ ! ” หยุนซีเหยียนถกแขนเสื้อขึ้นจากนั้นก็นั่งลง เขาเคาะโต๊ะพลางเอ่ยว่า “ธนาคารซื่อทงจะเปิดช่องบริการขึ้นที่กรมการค้า พวกเจ้าเป็นกลุ่มนักลงทุนจากภายนอก ต้องทำเพียงแค่ 3 ขั้นตอนเท่านั้น มิต้องก้าวขาออกจากที่ทำการกรมการค้าก็เสร็จเรื่องแล้วด้วยซ้ำ”
หยูซิ๋งเจี่ยนชอบใจ “อธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่ ? ”
“ขั้นตอนแรก ให้ส่งคำร้องขอจดทะเบียนบริษัทที่ช่องบริการแหล่งทุนต่างแดน ต้องมีชื่อบริษัทและที่ตั้งของบริษัท จะต้องมีที่ตั้งของโรงงานซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้าง ขนาดของโรงงาน เงินที่ใช้ลงทุนโดยประมาณ เวลาที่คาดว่าการก่อสร้างโรงงานจะแล้วเสร็จ จำนวนแรงงานที่เปิดรับสมัคร…เรื่องพวกนี้เมื่อถึงเวลาจะมีเอกสารชี้แจงติดไว้ที่หน้ากรมการค้า”
“ขั้นตอนที่สอง ให้เปิดบัญชีบริษัทที่ช่องบริการธนาคาร จะต้องผ่านการตรวจสอบตราประทับและลงชื่อในเอกสาร ต่อไปเมื่อมีเงินทุนเข้ามาในบัญชี ทางธนาคารก็จะเป็นผู้แยกออกไว้ให้ต่างหาก”
“ขั้นตอนที่สาม กรมการค้าจะตรวจสอบผู้ยื่นคำร้อง เป็นการตรวจสอบคุณสมบัติของบริษัท พวกเจ้าเป็นแหล่งทุนต่างแดนจะถูกตรวจสอบเพียงแค่ที่มาที่ไปของเงินลงทุนเท่านั้น เมื่อตรวจสอบเสร็จสิ้นก็จะแจกใบอนุญาตประกอบกิจการให้ หากมีสิ่งนี้อยู่ในครอบครองพวกเจ้าก็จะสามารถเปิดกิจการที่ใดก็ได้ภายในขอบเขตที่กำหนด”
“แท้ที่จริงเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ รอให้ทุกคนคุ้นชินกับมันและรอให้กรมการค้าก่อตั้งสำนักงานขึ้นบนพื้นที่ต่าง ๆ เสียก่อน เมื่อนั้นก็จะเป็นเรื่องง่ายดายขึ้นมาเอง”
หยุนซีเหยียนนำเรื่องการจดทะเบียนบริษัทมาชี้แจงอย่างละเอียด เพื่อช่วยขจัดความสงสัยออกไปจากใจของเหล่าคนหนุ่มสาว
“วันนี้พวกเราจะมิสนทนากันเรื่องงานเพราะได้หยุดยาวทั้งที หลังจากหยุดยาวที่ว่าการกรมการค้าก็คงจะเสร็จสมบูรณ์พอดี ถึงเวลานั้นข้าและพี่จัวย่อมประจำอยู่ที่สำนักงาน หากพวกเจ้ามีข้อสงสัยประการใดก็ค่อยไปถามเถิด พวกเรามาดื่มสุรากันดีกว่า”
“พี่หยุน ได้ยินมาว่าวันนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เรื่องนี้ข้ามิทราบจริง ๆ ทว่าจากลักษณะนิสัยของพระองค์ ข้าคิดว่าพระองค์จะต้องมาทอดพระเนตรโคมไฟอย่างแน่นอน”
……
……
เมิ่งซีนั่งอยู่ในห้องเทียนหยุน ในห้องนั้นมีสาวใช้มาคอยต้อนรับ 9 คนด้วยกัน !
บัดนี้นางกำลังดีดเครื่องสาย แม้ว่าแขกผู้ทรงเกียรติจะยังมามิถึงก็ตาม
และวันนี้ห้องเทียนอินด้านข้างก็มีคนอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น
พวกเขาก็คือชายอ้วนฟู่ต้ากวนและฮองเฮาซั่งที่ทรงสวมผ้าปิดพระพักตร์เอาไว้
นักร้องในห้องเทียนอินคือเจี่ยนสุ่ยเอ๋อร์ซึ่งเป็นดาวเด่นประจำหอหลิวหยุนเช่นกัน ในขณะที่นางกำลังจะเดินไปต้อนรับก็คาดมิถึงว่าจะโดนชายอ้วนผู้มีสีหน้าเศร้าหมองไล่ออกมา
“สาวน้อยเอ๋ย เจ้าดูเอาเถิด มีรักในวัยกลางคนช่างลำบากยากเข็ญเสียจริง ตั๋วเงินนี้เจ้าจงรับเอาไว้ แล้วสั่งอาหารชั้นเลิศมาให้ข้าพร้อมกับสุราซีซานหนึ่งกล่อง ส่วนที่เหลือเจ้าก็เก็บไว้เองเถิด อย่าหวนมารบกวนพวกเราอีก เข้าใจหรือไม่ ? ”
เจี่ยนสุ่ยเอ๋อร์ผงะ เถ้าแก่เนี้ยกำชับมาแล้วว่า คืนนี้ทั้งชั้นสามจะเต็มไปด้วยผู้ที่มีสถานะสูงส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องเทียนหยุนและห้องเทียนอินที่สูงส่งจนน่าตกใจ
แน่นอนว่านางมิกล้าขัดคำสั่งของชายอ้วน จึงรับตั๋วเงินมาไว้ในมือด้วยความผิดหวัง… เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะได้คลุกคลีกับชนชั้นสูงและโอกาสนี้หาได้ยากเสียเหลือเกิน ! ข้าเป็นสตรีทรวดทรงงดงาม หน้าตาสะสวย ทั้งยังมากความสามารถ… หากท่านลุงผู้นี้มีความรักในวัยกลางคนกับข้าคงจะดีมิน้อยมิใช่หรือ ?
คนเยี่ยงลุงจึงจะเป็นเจ้านายผู้มีความสามารถเลี้ยงดูนางได้อย่างแท้จริง เมื่อปีกลายเยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์ดาวเด่นของหอหลิวหยุนก็ถูกขุนนางชั้นผู้ใหญ่จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อไถ่ตัวไปเป็นอนุภรรยามิใช่หรือ ?
เจี่ยนสุ่ยเอ๋อร์และสตรีต้อนรับทั้งหลายจึงถอยออกจากห้องเทียนอิน เมื่อนางก้มลงมองตั๋วเงินในมือก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด นี่… นี่คือตั๋วเงินเพียงแค่ 20 ตำลึงเท่านั้น แล้วยังมีหน้ามาสั่งอาหารชั้นเลิศเต็มโต๊ะอีกหรือ ?
ยังมีหน้ามาบอกว่าอยากดื่มสุราซีซานอีกหรือ ?
ไหนบอกว่าเงินที่เหลือให้นางเก็บเอาไว้เยี่ยงไรเล่า… !
เจ้าอันธพาลผู้นี้สงสัยว่าชมอาทิตย์อัสดงจนเพี้ยนไปแล้วเป็นแน่ !