ตอนที่ 851 ขาดแคลนเงิน
นับเป็นยุคสมัยที่ค่อนข้างเงียบสงบ
ในวันที่หก เดือนสาม ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่งตั้งหยูเวิ่นหวินเป็นจักรพรรดินี และได้แต่งตั้งภรรยาทั้งเก้าคนที่เหลือเป็นพระสนมเอก
ในวันที่เจ็ด เดือนสาม เขาได้นำบรรดาสตรีวังหลังและเหล่าขุนนางไปสักการะบูชาสุสานจักรพรรดิและบวงสรวงสู่สวรรค์
ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของเหล่าขุนนางก็เห็นว่าตัวตนของจักรพรรดิพระองค์นี้ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์แบบแล้ว นับเป็นการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่อย่างเป็นทางการ
เพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ได้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนเจ็ด ฤดูร้อนได้มาเยือนอีกครา
เวลาครึ่งปีผ่านไปเพียงดีดนิ้ว ภายในครึ่งปีนี้ความเป็นระเบียบแบบแผนของราชวงศ์อู๋ค่อย ๆ เกิดเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ล้วนคุ้นเคยกับโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกของราชวงศ์อู๋แล้วเช่นกัน การก่อสร้างเศรษฐกิจแบบทุนนิยมก็กำลังดำเนินไปอย่างช้า ๆ… ของสิ่งนี้ถือว่าสดใหม่อย่างแท้จริง เหล่าขุนนางกำลังค้นคว้า เหล่าผู้ค้าขายก็กำลังปรับตัว มันเลี่ยงมิได้ที่จะมีขุนนางบางส่วนยื่นมือเข้าไปแทรกแซง และผู้ค้าขายเหล่านั้นก็มิกล้าเอ่ยปากคัดค้าน
ความคิดที่ว่าขุนนางเป็นศูนย์กลางอำนาจยังคงฝังลึกอยู่ในสมองของผู้ค้าขาย กรมการค้าจึงต้องเร่งสร้างสำนักงานการค้าในแต่ละเมืองให้เร็วที่สุด พ่อค้าต้องการพื้นที่ไว้ฟ้องร้อง และสำนักงานกรมการค้าต้องทำหน้าที่นี้ให้ดี เรื่องนี้มีฟู่เสี่ยวกวนลงไปควบคุมด้วยตนเอง หยุนซีเหยียนก็วิ่งไปสนทนากับเหล่าผู้ค้าขายในแต่ละรัฐเช่นกัน
และในเดือนเจ็ดนี้เองก็ได้มีข่าวคราวมาจากราชวงศ์หยูว่าฮ่องเต้ได้สละราชบัลลังก์ในวันที่แปดเดือนหกที่ผ่านมา องค์ชายห้าแห่งราชวงศ์หยูนามว่าหยูเวิ่นเต้าได้ขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อโดยมีพระนามว่าหยวนตี้ จากนั้นก็ได้ทำการผลักดันนโยบายใหม่อย่างหนักโดยโครงร่างแทบจะเหมือนกับแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกของราชวงศ์อู๋เลยทีเดียว
“หยูเวิ่นเต้าผู้นี้ถือว่าเจ้าเล่ห์และเฉียบขาด แต่มิเป็นไรหรอก ราชวงศ์หยูของเขาย่อมทำผลงานออกมาได้บ้าง แต่มิได้ผลลัพธ์ที่ดีมากจนเกินไปอย่างแน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อธิบายให้หนานกงอี้หยู่และคนอื่น ๆ เข้าใจว่า เหตุใดราชวงศ์หยูจึงมิได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกันในเมื่อใช้นโยบายเหมือนกัน แต่เขากลับเปลี่ยนไปเอ่ยถึงเรื่องอื่นแทน
“บ่อเกลือหลวงของราชวงศ์อู๋ถูกจัดให้เข้าร่วมกับบริษัทกิจการเกลือ ผู้จัดการใหญ่คนแรกของบริษัทนี้ข้ามอบหมายให้จัวตงหลายรับตำแหน่งและให้หลี่ว่านเป็นเสนาบดีการเงิน”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางจัวตงหลาย “เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดีว่า เกลือขาวที่บริษัทกิจการเกลือผลิตออกมาทั้งหมด มิได้รับอนุญาตให้ขนส่งทางน้ำกับตระกูลหลู่ นอกจากนี้ราคาขายยังเป็น 500 อีแปะต่อ 1 ชั่ง เพราะการผลิตยังมิเพียงพอ ดังนั้นยังมิสามารถเปิดขายได้อย่างกว้างขวาง ยังคงทำได้เพียงแค่ผูกขาดการขายไว้ก่อนเท่านั้น”
จัวตงหลายจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้ามึนงง แต่ฟู่เสี่ยวกวนยังคงอธิบายต่อว่า “สิ่งที่เรียกว่าผูกขาดคือให้เจ้าเข้าร่วมกับบริษัทกิจการเกลือเพื่อขายเพียงเกลือเท่านั้น ! โดยเริ่มจากเมืองขนาดใหญ่ จากนั้นเมื่อกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นก็ค่อย ๆ ดำเนินการลงสู่ตลาดระดับอำเภอ”
“ผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ข้าต้องการให้เกลือขาวสามารถครองตลาดได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นก่อนที่จะสามารถเติมเต็มตลาดของราชวงศ์อู๋ได้ เกลือที่ผลิตร่วมกันกับบริษัทกิจการเกลือจึงมิอนุญาตให้มีผู้ใดขายส่งไปยังนอกราชอาณาจักร”
ตลาดจะวุ่นวายมิได้ เพราะเกลือของชื่อเล่อชวนถูกส่งออกเป็นจำนวนมากแล้ว ด้านเกลือของราชวงศ์อู๋ในอันดับแรกต้องโจมตีเหมืองเกลือของตระกูลเฉินเสียก่อน แน่นอนว่าเพื่อแผนการต่อไปด้วยเช่นกัน
“เจ้าจงจำไว้ว่าหากตระกูลเฉินกล้าลดราคาเกลือเขียว เจ้าก็จงลดราคาตาม รักษาราคาให้อยู่ในระดับเดียวกันเข้าไว้ จนกระทั่งเหมืองเกลือของตระกูลเฉินปิดตัวลง”
“นอกจากนี้ บ่อเกลือของแคว้นอี๋ที่ซื้อไว้แล้วก็ให้ปล่อยไว้ก่อน อย่าเพิ่งยุ่งกับมัน และอย่าให้ผู้อื่นทราบถึงแผนการลงมือของพวกเราเป็นอันขาด”
“ให้ปล่อยไว้เยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ใช่ ! ปล่อยเอาไว้ก่อน เพราะข้ายังมีผลประโยชน์ใหญ่โตรออยู่ที่นั่น ! ”
ทันใดนั้น ภายในห้องทรงพระอักษรก็เงียบสงัดไร้ซึ่งสุ้มเสียง
ผ่านไปชั่วครู่ จัวเปี๋ยหลีจึงทูลถามขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทจะทรงยึดอำนาจตระกูลเฉินเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “ตระกูลเฉินและตระกูลหลู่เป็นตระกูลใหญ่ เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก หากตัดยอดไปแล้ว รากเหง้าก็ยังสามารถงอกเงยเบ่งบานขึ้นมาได้ดังเดิม”
“…พระประสงค์ของฝ่าบาทคือกำจัดให้สิ้นซากเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม “มิใช่หรอก มีข้อดีของการเป็นตระกูลใหญ่อยู่เช่นกัน ผู้คนมากมายความสามารถมากมี สิ่งที่ราชวงศ์อู๋ขาดแคลนมากที่สุดคือสิ่งใดเล่า ? มิใช่ผู้มีความสามารถหรอกหรือ”
ดังนั้นที่เขาทำเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อให้ตระกูลใหญ่ยอมจำนนเยี่ยงนั้นหรือ ?
นี่คือหนึ่งในเหตุผลทั้งหมด ฟู่เสี่ยวกวนอยากเห็นการจัดการของพวกนายทุนใหญ่ อยากรู้ว่าตระกูลใหญ่เหล่านี้ยังจะสามารถหาโอกาสมีชีวิตรอดทางอื่นได้อีกหรือไม่
แน่นอนว่าหลักสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเขากำลังรอฟังข่าว
ส่วนการสังหารคนในตระกูลใหญ่ เขายังมิมีความสนใจอย่างแท้จริง เพราะตนยังต้องการใช้ประโยชน์จากคนเหล่านี้อยู่ เขาอยากมอบความประหลาดใจชนิดเทียมฟ้าให้แก่พี่เขยหยูเวิ่นเต้านั่นเอง
“ใช่สิ… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางเสนาบดีฝ่ายบริหารเมิ่งฉางผิง “ความคืบหน้าของการต่อเรือที่อู่ต่อเรือเจียงเฉิงเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
เมิ่งฉางผิงยกมือขึ้นคำนับ “ทูลฝ่าบาท กำลังขาดแคลนเงิน ส่งผลให้ล่าช้าลงพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องถนนของราชวงศ์อู๋ ตามแผนการของฝ่าบาทคือบัดนี้เส้นทางสัญจรขนาดใหญ่ทางตะวันออก ตะวันตก เส้นทางสายหลักเหนือและใต้มีกลุ่มพ่อค้ารับเหมาไปแล้ว ทว่าเส้นทางนั้นยังแตกแขนงไปอีกจำนวนมาก ซึ่งรวมแล้วไกลกว่าเส้นทางหลักของทั้งสี่ทิศ เส้นทางที่แตกแขนงไปทางเขตเหนือและเขตใต้มีผู้รับเหมาจำนวนมาก แต่ยังมิมีผู้ใดรับงานในเส้นทางตะวันออกและตะวันตกเลยสักคนเพราะมีหลาย ๆ ปัจจัยพ่ะย่ะค่ะ”
“ปัจจัยหลักในที่นี้ เพราะทางตะวันออกไกลถึง 300 ลี้จากเมืองกวนหยุนอีกยังเป็นทะเลอีกด้วย ส่วนเขตตะวันตกของกวนหยุนเป็นผืนปฐพีหนาวเย็นของห้ารัฐซียู่ ผืนปฐพีบริเวณนี้กว้างใหญ่ไพศาลมิต่างจากหกรัฐแห่งเป่ยเซียว ทว่าความจริงแล้วหกรัฐแห่งเป่ยเซียวก็ถือว่าอยู่ในเขตตะวันตกเฉียงเหนือและเชื่อมโยงกับห้ารัฐซียู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ทั้งสองแห่งรวมแล้วได้ 11 รัฐ ครองอาณาเขตของราชวงศ์ถึงสามในสิบส่วน แต่ประชากรมีเพียงหนึ่งส่วนโดยประมาณเท่านั้น นี่คือจำนวนหลังจากที่จักรพรรดิอู๋อพยพคนมายังหกรัฐแห่งเป่ยเซียวนับล้านคนพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้น เส้นทางสายใหญ่ทั้งหมดนี้จะต้องให้กรมคลังเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาททรงสร้างสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นใหม่ในที่ราบหลีลั่ว… ฝ่าบาท ของสิ่งนี้ผลาญเงินคลังมากจนเกินไปจริง ๆ ดังนั้น… ชะลอไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
เมื่อวันที่สามสิบ เดือนสาม ฟู่เสี่ยวกวนได้ต่อยอดจากศูนย์วิจัยดั้งเดิมให้กลายเป็นสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เขาแบ่งสาขาวิจัยของสำนักวิทยาศาสตร์โดยละเอียด บัดนี้มีสาขาที่เกี่ยวข้องกับเคมี วัสดุศาสตร์ วิศวกรรมเครื่องกล และชีววิทยา !
ทำให้ราษฎรรวมถึงเสนาบดีกรมโยธาธิการตะลึงงันไปกับคำศัพท์ที่แปลกใหม่นี้ เยี่ยงไรเสียเหล่าผู้คลั่งไคล้ในสำนักวิทยาศาสตร์เมื่อได้เข้าฟังการบรรยายของฝ่าบาท ก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้นเป็นเท่าตัว
ราวกับว่าฝ่าบาทจะให้ความสนพระทัยต่อสำนักวิทยาศาสตร์มากเป็นพิเศษ ถลุงเงินกับมันโดยมินึกเสียดาย แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจของเสนาบดีกรมคลังจนโรคเก่ากำเริบ
ทว่าฝ่าบาทมิประสงค์จะทำเพียงเท่านี้ พระองค์ตรัสว่า…ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะสร้างมหาวิทยาลัยขึ้นในที่ราบหลีลั่ว !
มิใช่วิทยาลัย ทว่ามีขนาดใหญ่กว่าวิทยาลัย !
เห็นได้ชัดว่ามหาวิทยาลัยนี้จะต้องเป็นสิ่งที่ผลาญเงินอีกเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดและเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “มิสามารถชะลอได้ ! ” เขาหันไปทางโจวถงถง “ส่งสารสองฉบับนี้ออกไป ฉบับที่หนึ่งให้ท่าป๋าคังที่ชื่อเล่อชวน สั่งให้เขาส่งเงินภาษีมายังเมืองกวนหยุนโดยด่วน ส่วนฉบับที่สองส่งให้เยียนหานยวี่บอกเขาว่าข้าต้องการให้เขาถวายบรรณาการเป็นเงิน 10 ล้านตำลึง ! ”
เมิ่งฉางผิงตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เพราะเมื่อเดือนสามแคว้นอี๋ได้ส่งบรรณาการมาให้แล้วทั้งสิ้น 5 ล้านตำลึง “ทูลฝ่าบาท แคว้นอี๋นั้น… เกรงว่าจะเหลือเงินมิมากเท่าใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปกดดันพวกเขาเสีย เยี่ยงไรก็ต้องมี มิเช่นนั้นเยียนหานยวี่ก็จะมิรู้ตัวว่าเขามีศักยภาพหรือไม่”
“ใช่ ! ผ่านไปครึ่งปีแล้ว หมูที่เผิงฟางเลี้ยงไว้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ทูลฝ่าบาท… หมูโตเร็วมากยิ่งนัก ในวันนี้คาดว่าจะมีน้ำหนัก 150 – 160 ชั่งได้ เผิงฟางเอ่ยว่าสามารถหนักได้ถึง 200 ชั่งเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงยังเลี้ยงอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปไปไป พวกเราไปเชือดมันกันเถิด… หลิวจิ่น ไปเชิญเสนาบดีทั้งหกกรมมาทานเนื้อหมูที่ห้องเสวยในคืนนี้ ! ”
“อ้อ… ไปเชิญเสด็จพ่อของข้าและเหล่าจักรพรรดินีมาด้วย ค่ำวันนี้พวกเราจะทานแต่เนื้อหมูกันเท่านั้น ! ”