ตอนที่ 852 อาหารเลิศรส ( 1 )
“ว่าเยี่ยงไรนะ ? ฝ่าบาททรงเชิญพวกเราไปร่วมรับประทานเนื้อหมูที่ห้องเสวยคืนนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงหันไปสบตากัน สายตาของพวกเขาไร้ซึ่งความหวังแต่อย่างใด
“เรียนใต้เท้าทั้งสอง ฝ่าบาทยังรับสั่งให้เสนาบดีทั้งหกกรม จักรพรรดิพระเจ้าหลวง องค์จักรพรรดินีและพระสนมเอกทั้งหมดเสด็จมาด้วยขอรับ ทรงตรัสว่าราตรีนี้จะเสวยเพียงเนื้อหมูเท่านั้น”
“อืม…เอาเถิด พวกเรารับรู้แล้ว”
“ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ”
ผ่านไปมินาน เซียวยวี่โหลวเสนาบดีกรมพิธีการและโหยวเซียนจือแห่งกรมคลังก็ได้ตรงเข้ามายังสำนักเสมียนกลางด้วยท่าทีรีบร้อน ก้นยังมิทันติดพื้นเก้าอี้ก็พบว่าจูเว่ยเสนาบดีกรมกลาโหม เหวินซือหยวนเสนาบดีกรมขุนนางและกวนซานเฉียนเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ก็ได้เดินตามเข้ามาติด ๆ
“ท่านราชเลขาจัว ท่านที่ปรึกษาหนานกง ท่านทั้งสองคิดว่าฝ่าบาทมิกระทำเกินไปหน่อยหรือ ? ” เซียวยวี่โหลวเสนาบดีกรมพิธีการเอ่ยออกมาเป็นคนแรก “ข้าน้อยยังจำได้ดีว่าเมื่อราวเดือนสอง ฝ่าบาทได้กระทำการตอนหมู ! ข้าน้อยได้เขียนฎีกาถวายฝ่าบาทเพื่อเตือนแล้ว เดิมทีคิดว่าฝ่าบาทจะทรงลืมเรื่องนั้นไปแล้วเสียอีก คาดมิถึงว่าในวันนี้ฝ่าบาทจะเชิญพวกเราไปทานเนื้อหมู ! ”
“ฝ่าบาทกำลังดูหมิ่นข้าน้อยอยู่ ! ”
“ข้าน้อยคิดว่ามนุษย์ฆ่าได้หยามมิได้ ! ในเมื่อฝ่าบาทเห็นพวกเราดุจหมูดุจสุนัข เช่นนั้นข้าน้อยก็คงต้องมองฝ่าบาทเป็นผู้ไร้คุณธรรม เรื่องในวันนี้ข้าน้อยขอยืนหยัดคัดค้าน ! และจะมิทานเนื้อหมูเป็นอันขาด ต่อให้ต้องสละตำแหน่งขุนนาง ข้าน้อยก็ยอม ! ”
จัวอี้สิงหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “เชิญนั่งก่อนเถิด…”
“ผู้อื่นคิดเช่นเดียวกับยวี่โหลวหรือไม่ ? ” เสนาบดีทั้งสี่ที่บัดนี้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่ ต่างพากันพยักหน้า
จัวอี้สิงยกมือขึ้นลูบเครายาวของตน จากนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “เกรงว่าพวกท่านเข้าใจฝ่าบาทผิดไปเสียแล้ว”
“เหตุใดท่านราชเลขาจัวถึงเอ่ยเยี่ยงนี้เล่า ? ”
“ฝ่าบาททรงตรัสเอาไว้ว่าพวกเรามีเบี้ยหวัดจากวังหลวง แน่นอนว่าย่อมได้กินเนื้อแกะในทุก ๆ เดือน แล้วราษฎรทั่วไปเล่า ? พวกเขามิมีกำลังพอที่จะซื้อเนื้อแกะได้หรอก ! พระทัยของฝ่าบาทจดจ่ออยู่กับราษฎรเสมอ เนื้อหมูมีราคามิแพง หากกำจัดกลิ่นสาบทิ้งไปได้ก็จะกลายเป็นอาหารชั้นเลิศเลยทีเดียว ! ”
“พวกท่านลองตริตรองดูเถิด นับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ พวกท่านเคยเห็นพระองค์ทำเรื่องไร้สาระหรือไม่ ? ”
เสนาบดีทั้งห้าครุ่นคิด นอกจากเรื่องที่ฝ่าบาทประสงค์จะดัดแปลงพระราชวังซวนเต๋อแล้ว ก็มิได้ทำเรื่องไร้สาระอันใดเลย หรือพวกเขาจะเข้าใจฝ่าบาทผิดไปอย่างแท้จริง ?
“ฝ่าบาทตรัสว่าหากใช้วิธีตัดอัณฑะหมูจะสามารถกำจัดกลิ่นสาบทิ้งไปได้และหมูจะกลายเป็นอาหารเลิศรสทันที ! ทั้งราคาและรสชาติล้วนเป็นเลิศ ราษฎรทั่วไปสามารถซื้อมาทำอาหารได้ อีกทั้งเนื้อหมูยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ดีต่อสุขภาพร่างกายของราษฎร ! ”
“การที่ฝ่าบาทเชิญพวกเราเข้าร่วมรับประทานเนื้อหมูก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ มิใช่เป็นการดูถูกพวกเราทั้งหลายเพราะหมูนี้ฝ่าบาทลงพระหัตถ์จัดการด้วยตนเอง เมื่อพวกมันโตขึ้นก็ได้ให้ข้าและพวกท่านได้ลิ้มลองรสชาติเป็นคนแรก พวกท่านคิดว่าพระมหากรุณาธิคุณนี้จะมีสักกี่คนกันที่ได้รับ ? ”
“อีกทั้งฝ่าบาทยังทรงเชิญจักรพรรดิพระเจ้าหลวง องค์จักรพรรดินีรวมไปถึงพระสนมเอกทั้งหลายมาเข้าร่วมอีกด้วย หากเนื้อหมูนี้ไร้รสเลิศ ฝ่าบาทจะทรงให้ความสำคัญเช่นนี้หรือ ? ”
ประโยคของจัวอี้สิงเมื่อครู่ ทำให้เซียวยวี่โหลวเอ่ยอันใดมิออก
อืม…จริงสิ ! หากหมูนั้นต่ำต้อยแล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงกล้าเชิญจักรพรรดิพระเจ้าหลวง องค์จักรพรรดินีรวมถึงพระสนมเอกทั้งหลายมาเข้าร่วมเสวย ?
ฐานะตำแหน่งของตน เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกนางยังจะสามารถนำไปเทียบเคียงได้อยู่อีกหรือ ?
ข้าเข้าใจฝ่าบาทผิดไปแล้ว !
“ข้าน้อย…ผิดไปแล้วขอรับ ! ประเดี๋ยวข้าน้อยจะไปขอพระราชทานอภัยโทษจากฝ่าบาท ! ”
“มิต้องไปหรอก ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาโอบอ้อมอารีเพียงใด พวกท่านก็ทราบกันดี เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ฝ่าบาทมิเก็บไปใส่พระทัยหรอก เพียงแต่… นับแต่นี้ต่อไป ข้าหวังว่าพวกท่านจะจำเอาไว้ว่า อย่าสงสัยฝ่าบาทเยี่ยงนี้อีก ! ”
“พวกข้าน้อยรับทราบแล้วขอรับ ! ”
……
……
ข่าวคราวที่องค์จักรพรรดิทรงเชิญเสนาบดีทั้งหกกรมมาร่วมรับประทานเนื้อหมูในราตรีนี้ ก็ได้แพร่ไปทั่วทั้งวังหลวงในมิช้า
“เนื้อหมูเยี่ยงนั้นหรือ ? เหตุใดฝ่าบาททรงนึกถึงสิ่งนี้ได้ล่ะ ? ”
“พวกเจ้ามิรู้เยี่ยงนั้นหรือ ? ทุกเรื่องที่ฝ่าบาททรงกระทำล้วนเปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ดังนั้นข้าคิดว่าหมูจะต้องมีค่าขึ้นมาเป็นแน่ ! ”
“เจ้าหมายความว่าเนื้อหมูจะกลายเป็นอาหารเลิศรสเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! เจ้ามิได้ยินว่าฝ่าบาททรงจัดการหมูด้วยพระองค์เองหรือ ? หมูของจักรพรรดิเชียว ! หากได้ชิมสักคำก็นับว่าเป็นบุญล้นพ้นแล้วมิใช่หรือ ! ”
“อ่า…ฟังเจ้าเอ่ยเยี่ยงนี้ก็ดูเหมือนมีเหตุมีผลขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่มิรู้ว่าหมูขององค์จักรพรรดิจะมีการป่าวประกาศสู่ท้องตลาดเมื่อใด”
“วันรุ่งขึ้น ย่อมมีข่าวออกไปอย่างแน่นอน”
วันพรุ่งนี้ย่อมมีข่าวแพร่ออกไปเนื่องจากบรรดาผู้มีอำนาจในราชวงศ์ได้รับประทานแล้ว
ทว่าในความเป็นจริงพวกเขาเหล่านั้นยังมิได้รับประทานเนื้อหมูเลย เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนกำลังให้หลิวจิ่นเชือดหมูตัวหนึ่งอยู่ “ตอนเชือดหมูจะมีเลือดไหลออกมา ดังนั้นเจ้าจงไปหาอ่างแล้วใส่น้ำอุ่นผสมเกลือเล็กน้อย ตอนฆ่าหมูจงนำเลือดมาใส่ไว้ในอ่างนี้ ผ่านไปชั่วครู่มันจะจับตัวกันเป็นก้อน เลือดหมูนี้เป็นอาหารที่ดีเลยทีเดียว มันช่วยฟอกปอด…”
“ให้ตายสิ สองคนไปช่วยหลิวจิ่นจับหมูเอาไว้ ! แย่แล้ว วิ่งหนีไปแล้ว…”
หลิวจิ่นก็มิรู้ว่าจะทำเยี่ยงไรเช่นกัน เพราะทั้งชีวิตนี้เขาเคยแต่ฆ่าเป็ดฆ่าไก่
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามด้วยความลำบากยากเย็น ในที่สุดหมูตัวนั้นก็สิ้นใจ
“ใช้น้ำร้อนลวกผิวหนังของมัน…”
“กรีดท้องเอากระเพาะออกมาแล้วนำสิ่งสกปรกภายในออกมาให้หมด อย่าเอากระเพาะไปทิ้งล่ะ มันเป็นของดีเชียวล่ะ ! ”
“……”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน แต่ละคนเงี่ยหูฟังจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วหมูมีส่วนประกอบเยี่ยงนี้ ฝ่าบาททรงมีความรู้เรื่องหมูมากเกินไปแล้ว !
“ลำไส้ใหญ่ของหมูถือเป็นกับแกล้มสุราชั้นยอด ใช้ไฟแรงเพื่อผัดลำไส้ อืม…ทั้งรสทั้งกลิ่นช่างหอมเย้ายวนใจเสียจริง ! ”
“หัวใจหมูนำไปตุ๋นยาจีน ตับหมูเอาไปผัดหรือทำซุปก็ได้ ปอดหมู…ปอดหมูมิเอามาทาน ส่วนกระเพาะหมูให้พลิกด้านในออกมาล้างจนสะอาด หากใช้แป้งล้างจะสะอาดมากเลยทีเดียว…”
หนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงพากันงุนงง ต่อให้อดีตฝ่าบาทเคยเป็นบุตรเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง แต่พระองค์ก็มิเคยเลี้ยงหมูและมิเคยฆ่าหมูมาก่อนนี่ เกรงว่าแม้แต่เนื้อหมูรสชาติเป็นเยี่ยงไรก็คงมิทราบ แล้วพระองค์ไปเอาความรู้เหล่านี้มาจากที่ใดกัน ?
ฝ่าบาทตรัสอย่างมีเหตุผล อีกทั้งยังสามารถเอ่ยชื่ออาหารออกมาได้อีกด้วย
“นำเนื้อหมูสามชั้นมาทำหมูสองไฟ น่าเสียดายมิมีซอสเต้าเจี้ยวหมัก ช่างเถิด…แค่นึ่งก็ได้แล้ว”
“เนื้อสันในนำมาทำหมูสับผัดเต้าเจี้ยวหวาน จากนั้นก็ทำหมูผัดเห็ดหูหนู”
“ส่วนสะโพกนี่นำมาทำเนื้อเย็น…”
“ไอหยา… ซี่โครง ซี่โครงนี่ของดี นำไปทำซี่โครงหมูนึ่งกับซุปซี่โครงหมูรากบัว ใส่สาหร่ายลงไปด้วยเล็กน้อย…”
“ส่วนหูหมู จงทำความสะอาดด้านในให้เรียบร้อยแล้วนำมาทำหูหมูเย็น”
เมื่อฟังดูแล้วอาหารแต่ละชนิดล้วนน่าทานทั้งสิ้น แต่ว่าเนื้อหมูจะอร่อยจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
หนานกงอี้หยู่ฟังไปฟังมาจนท้องร้อง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาก็พบว่ายังมิสิ้นสุดยามเว่ยเลยด้วยซ้ำ
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ ผู้ที่กังวลใจมากสุดคงจะเป็นเผิงฟางชื่อหลางแห่งกรมเกษตร เพราะนี่คือหมูที่เขาใช้เวลากว่าครึ่งปีในการเลี้ยงดู !
หากเนื้อหมูนี้อร่อยจริง เขาก็คงจะได้หน้ามิน้อย แต่ถ้ามันมีกลิ่นเหม็นสาบ เวลาที่เสียไปครึ่งปีคงเปล่าประโยชน์
แน่นอนว่าเขาก็เป็นหนึ่งในแขกที่ฝ่าบาทเชิญมาร่วมรับประทานเนื้อหมูในค่ำคืนนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากฝ่าบาทตรัสว่าเมื่อพวกเขาได้ลิ้มรสกันเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้จะเริ่มผลักดันให้กับชาวบ้าน และเผิงฟางคือผู้รับผิดชอบโครงการนี้
ฝ่าบาทตรัสว่าเจ้าสิ่งนี้ยังสามารถดัดแปลงได้อีก อาทิเช่น นำหมูจากเขตใต้ไปผสมพันธุ์กับหมูทางเขตเหนือ อาจจะได้หมูที่มีเนื้อมากและโตเร็วกว่าเดิมก็เป็นได้
แม้ฟังดูแล้วจะน่าเหลือเชื่อไปบ้าง แต่หากเนื้อหมูมีรสชาติดีจริง เผิงฟางก็ต้องใช้ความสามารถทั้งหมดทุ่มเทให้กับการเลี้ยงหมูให้แข็งแรงสมบูรณ์