ตอนที่ 855 พระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ ( จบ )
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนตรัสจบ เหล่าขุนนางก็พลันตกตะลึงขึ้นมาทันใด
พระราชทานกระบี่โอรสสวรรค์… กระบี่โอรสสวรรค์สามารถจัดการขุนนางได้ในคราเดียวหลายร้อยคนและเหวินชังไห่ผู้นี้มิเพียงซื่อตรงเท่านั้น ทว่าตัวตนในราชสำนักก็ใสสะอาดเป็นอย่างยิ่ง มิได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ด ฝ่าบาทพระราชทานกระบี่โอรสสวรรค์ให้แก่เขา นี่ย่อมหมายความว่าเพื่อปราบปรามผู้ต้องการแทรกแซงการสอบเคอจี่ผ่านทางเหวินชังไห่ !
พระราชทานตราปลาทอง… เหวินชังไห่จะสามารถเข้าไปถึงวังหลังเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้ทุกเมื่อ ขุนนางนับร้อยในราชสำนักมีเพียงจัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ และเมิ่งฉางผิงสามคนนี้เท่านั้นที่ฝ่าบาทประทานตราปลาทองให้ บัดนี้ฝ่าบาทได้เลื่อนขั้นเหวินชังไห่ให้สูงเท่ากับสามตำแหน่งสูงสุดของขุนนาง เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทเห็นเคอจี่เป็นวาระสำคัญระดับชาติเลยทีเดียว !
การลงมือครานี้ได้ตัดความคิดแรกเริ่มของขุนนางจำนวนมากออกไป รายชื่อของผู้ที่จะถูกเสนอชื่อได้ส่งมาถึงจวนของพวกเขาแล้ว… ดูเหมือนว่าจะเป็นโมฆะเสียแล้ว ส่วนของขวัญรวมถึงเงินที่ได้รับมาคงต้องรีบคืนโดยไวที่สุด
“เจิ้นและอาวุโสเหวินสิงโจวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อาวุโสเหวินเข้มแข็งและทรงเกียรติสิ่งนี้ทำให้เจิ้นชื่นชมมากยิ่งนัก ผู้ทรงคุณวุฒิเหวิน หลังจากเลิกประชุมแล้วช่วยบอกอาวุโสเหวินสักหน่อยเถิด ว่าวันนี้ข้าขอเชิญเขามาทานอาหารที่วังหลวง”
เหวินชังไห่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คาดมิถึงว่าความปรารถนาอันแสนยาวนานจะสัมฤทธิ์ผลในวันนี้ !
ฎีกาจำนวนมากที่ส่งมาราวกับหินจมลงทะเล ตนยังเผลอคิดอยู่เลยว่าเป็นความกลัวของฝ่าบาท ทว่าบัดนี้ฝ่าบาทได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พระองค์ทรงรอโอกาสก็เท่านั้นเอง
เขาเดินไปเบื้องหน้าสองก้าว จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นดังตึก “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาทมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดี จะฟื้นคืนบรรยากาศการสอบชิวเหวยทั้งสามระดับให้ดียิ่งขึ้นให้ได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“กระหม่อมขออนุญาตเป็นตัวแทนของบิดาขอบพระทัยคำเชิญของฝ่าบาท หากฝ่าบาทสังหารหมูแล้ว… ฝ่าบาทโปรดมอบหมูให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“…” ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกโพลง เพราะเหวินชังไห่มิได้ลงไพ่ตามที่จัดสำรับเอาไว้ “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”
เจี่ยหนานซิงมอบกล่องหยกที่บรรจุกระบี่โอรสสวรรค์และตราปลาทองให้กับเหวินชังไห่ เขายกกล่องขึ้นสูงด้วยท่าทีราวกับบ้าคลั่ง “ความรุ่งเรืองของเคอจี่จะดำเนินมาถึงแล้ว ! เส้นทางในอนาคตของเหล่าบัณฑิตในใต้หล้าจะมีแสงสว่างคอยนำพาแล้ว ! กระหม่อมขอเป็นตัวแทนบัณฑิตในใต้หล้าขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เอาล่ะ ท่านจงทำธุระนี้ให้เสร็จเสียก่อน… ใช่ ! เมื่อครู่ผู้ทรงคุณวุฒิเหวินเอ่ยถึงเนื้อหมู พระราชกฤษฎีกาฉบับที่สองนี้เกี่ยวข้องกับหมูพอดี”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินวกไปวนมาบนแท่นสูงสองก้าว “เมื่อวานเจิ้นได้เชิญคนจำนวนหนึ่งมาลิ้มรสเนื้อหมู ทุกคนต่างเอ่ยว่าเนื้อหมูเลิศรสยิ่งนัก ดังนั้นชื่อหลางกรมเกษตรเผิงฟาง…”
เผิงฟางโน้มกายคำนับ “กระหม่อมเผิงฟาง น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เพื่อการดำรงชีพของราษฎรในใต้หล้า เจิ้นขอสั่งให้ชื่อหลางกรมเกษตรเผิงฟางผลักดันเซียงจูอวี๋ห้าวเป็นนโยบายระดับชาติ วันนี้ในปีหน้า เจิ้นต้องการให้ราษฎรทั่วทั้งราชวงศ์อู๋สามารถเข้าถึงเนื้อหมูได้”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมน้อมปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกา ! กระหม่อมรับประกันเลยว่า วันนี้ของปีหน้าราษฎรของราชวงศ์อู๋จะสามารถทานเนื้อหมูได้อย่างถ้วนทั่วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ดี ! ข้าอยากจะบอกท่านอีกสักเล็กน้อยว่า เรื่องที่หนึ่งคือส่งเสริมให้ราษฎรเลี้ยงหมูและในขณะเดียวกันปีหน้าต้องผลักดันการปลูกมันเทศด้วย ของสิ่งนี้ผสมผสานกับเนื้อหมูได้อย่างลงตัว เรื่องที่สองคือส่งเสริมต้นทุนการเลี้ยงหมูในหมู่ชาวบ้านทั่วไป อนุญาตให้พวกเขาสร้างแหล่งเพาะพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลออกไป เรื่องที่สามข้าขอแนะนำให้ท่านตามหาผู้ชำนาญด้านการเลี้ยงหมูมาสักเล็กน้อย จากนั้นก็สร้างมาตรฐานในการเลี้ยงหมูขึ้นมาเพื่อปรับปรุงสายพันธุ์ของเซียงจูอวี๋ห้าว”
“กระหม่อมจะจดจำไว้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“อืม ถอยกลับไปเถิด…” ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็มองไปที่เหล่าขุนนาง “พระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับในวันนี้ ฉบับที่หนึ่งข้าทราบว่าพวกท่านหลายคนแอบมิพอใจอยู่เช่นกัน ทว่าพวกท่านก็มิได้เอ่ยคัดค้านในทันที นี่แสดงให้เห็นว่าพวกท่านยังเอาใจใส่ต่อสถานการณ์โดยรวมอยู่”
“พวกท่านทุกคนจงจำเอาไว้ว่า การเป็นขุนนางก็เพื่อความมั่นคงระยะยาวและเพื่อความรุ่งโรจน์ของบ้านเมือง ! เจิ้นเคยเอ่ยเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่า เจิ้นมิหวั่นหากต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของราษฎร และยิ่งมิกลัวที่จะสู้กับพวกท่านเพื่อผลประโยชน์ แต่เจิ้นหวังว่าพวกท่านจะเข้าใจและอย่ายื่นมือออกมาแตะต้องผลประโยชน์ภายในของแคว้น มิเช่นนั้น…เจิ้นจะชักกระบี่ออกมาตัดมือของพวกท่านอย่างมิลังเล ! ”
“มิใช่เรื่องง่ายที่เด็กธรรมดาทั่วไปจะได้เล่าเรียน หากพวกเขามองมิเห็นความหวังในการศึกษา ข้าขอเอ่ยถามพวกท่านสักคำว่า จะมีเด็กสักกี่คนที่อยากจะไปเล่าเรียน ? ”
“รากฐานของราชวงศ์อู๋อยู่ที่ราษฎร หาใช่อยู่ที่ตระกูลผู้มีอำนาจไม่ ข้าสามารถเอ่ยกับพวกท่านได้เลยว่า ตระกูลใหญ่สามารถล้มได้ ราชวงศ์สามารถล่มสลายได้ ทว่าราษฎรจักยังคงอยู่ ! ”
“ราษฎรสงบสุข ใต้หล้าปลอดภัย ราษฎรมั่งคั่งก็ถือเป็นความร่ำรวยของแคว้น ราษฎรได้ศึกษาเล่าเรียนก็ถือเป็นความรู้ของแคว้นด้วยเช่นกัน ! ”
“มีเพียงสามัญชนเท่านั้นที่จะมองเห็นความหวังของการเล่าเรียน พวกเขาจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและกลายเป็นเสาหลักของผืนปฐพีได้ด้วยการสอบเคอจี่อย่างยุติธรรม ! ”
“ยุคสมัยมิเหมือนกัน ทุกท่าน… ข้าหวังว่าพวกท่านจะสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดไปตามสถานการณ์ได้ มิเช่นนั้น…ก็จะดับสูญไปเพราะโดนคลื่นลูกใหม่ซัดซาด ! ”
“ใช่ ! หลิวจิ่นไปเชือดหมูมาอีก 2 ตัว แล้วแบ่งให้เหล่าเสนาบดีได้ชิมกันเถิด”
……
……
ณ ห้องทรงพระอักษร
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงิน ในตอนนี้มีรายจ่ายจำนวนมาก และความเร็วของภาษีที่เข้ามาในราชวงศ์อู๋ยังห่างไกลจากความเร็วที่เขาต้องการใช้
แน่นอนว่าเขาจะร่างแผนงานไปอย่างช้า ๆ ก็ย่อมได้ ทว่าแบบนั้นเป็นการเสียเวลามากจนเกินไป
บัดนี้ เบื้องหน้าของเขาคือแผนที่เดินเรือซึ่งได้มาจากสถานทูตแคว้นหลิว สถานทูตแคว้นลี่ และสถานทูตหลู่ซ่งในงานวรรณกรรมเมื่อปีนั้น
ดวงตาของเขามองวนไปวนมา การสะสมทุนในช่วงตั้งต้นถือว่ายากลำบากและโหดร้ายทารุณมากยิ่งนัก หากราชวงศ์อู๋ต้องการพัฒนาอย่างรวดเร็วก็จำต้องเปิดใจ !
เขาต้องแย่งชิงเงินและทรัพยากร ความคิดนี้ได้ก่อตัวขึ้นมาในสมองของเขาเนิ่นนานแล้ว ทว่ายังไร้หนทางทำได้ในตอนนี้
เรือรบรุ่นที่สองติดขัดที่กำลังขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ ส่วนเรือรบสามเสากระโดงรุ่นที่หนึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง ในวันนี้เมื่อรวมกับเรือทดลองอู่เว้ยห้าวก็เพิ่งมี 2 ลำเท่านั้น
การแย่งชิงในทะเลที่ห่างไกล อย่างน้อยก็ต้องมีเรือรบเยี่ยงนี้ถึง 5 ลำ ทั้งยังต้องรอการฝึกทหารเรือของไป๋ยู่เหลียนให้เสร็จสิ้นอีกด้วย
ตามความเร็วในการสร้างเรือของอู่ต่อเรือเจียงเฉิง กว่าที่เรือรบทั้งห้าลำจะมีกำลังรบโดยสมบูรณ์ก็ราวช่วงนี้ของปีหน้า เฮ้อ…จะเร่งรีบก็มิได้ เพราะสุดท้ายยังต้องรออยู่ดี
ในยามนั้นเอง โจวถงถงก็ได้เดินเข้ามา
“ทูลฝ่าบาท มีรายงานมาจากเขตเฟิ่งหยาง โปรดทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาอ่าน
‘ในวันที่หนึ่ง เดือนเจ็ด รัชศกเทียนเต๋อปีที่หนึ่ง บังเกิดการสมรสระหว่างเชื้อสายโดยตรงของตระกูลเฉิน เฉินหลินเชิน หลานชายรุ่นที่ยี่สิบแปดจากเขตเฟิ่งหยางในป๋ายโจวซึ่งเป็นหนึ่งในแปดรัฐแห่งหนานชาง และเชื้อสายโดยตรงของตระกูลโจว โจวหยูตาน เป็นหลานสาวคนโตรุ่นที่สามสิบจากเขตชิงชานในหลีโจวทางตอนใต้
ในวันเดียวกัน หลู่เจ๋อสี่ หลานชายรุ่นที่ยี่สิบหกของตระกูลหลู่จากเจียงโจวได้สมรสกับหานฮุ่ยเอ๋อร์หลานสาวรุ่นที่สามสิบเอ็ดของตระกูลหานแห่งรั่วซีโจว
จากการวิเคราะห์ของฝูงมดเห็นว่าตระกูลใหญ่ทั้งสี่กำลังเกี่ยวดองกัน เพื่อโจมตีการค้าของฝ่าบาท
นอกจากนี้ ฝูงมดทราบมาว่าแผนการนี้มาจากผู้ที่เรียกตนเองว่าที่ปรึกษา เขาเป็นคนจากภูเขาเสียนหยุน มิเคยเห็นใบหน้าและมิทราบชื่อเสียงเรียงนาม
ฝ่าบาท โปรดระมัดระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ’
คนของภูเขาเสียนหยุนเยี่ยงนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยได้ยินมาก่อน เขาเงยหน้าขึ้นมองโจวถงถง จากนั้นก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินมาว่า…ท่านเองก็มาจากตระกูลโจวเขตชิงชานมิใช่หรือ ? ”
โจวถงถงรีบกุมมือคำนับและตอบกลับทันทีว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมาจากตระกูลโจว ณ เขตชิงชานอย่างแท้จริง แต่เป็นตระกูลที่แตกแขนงออกมา และมิได้ไปมาหาสู่กับตระกูลหลักนานกว่าสามร้อยปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ข้าต้องการให้ท่านไปยังเขตชิงชานอีกสักหน”
โจวถงถงตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน “กระหม่อม…น้อมรับบัญชา ! มิทราบว่าฝ่าบาทจะให้ทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ส่งของขวัญที่ล่าช้าไปสักหน่อย” ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้น จากนั้นก็ขยับแขนขยับขาเล็กน้อย “มิว่าเยี่ยงไร การเกี่ยวดองของสองตระกูลถือเป็นเรื่องใหญ่ ในฐานะที่เจิ้นเป็นจักรพรรดิก็ควรแสดงน้ำใจออกมา”
“…เยี่ยงนั้นต้องส่งให้ตระกูลหลู่แห่งเจียงโจวด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“มิต้อง ! ทว่าต้องทำให้พวกเขารับทราบ”
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”