ตอนที่ 879 พายุ ( 1 )
รัชศกเทียนเต๋อปีที่สอง วันที่แปด เดือนสี่ ฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้เข้ามาบอกลาพวกหวางเอ้อตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว
เส้นทางแห่งฤดูใบไม้ผลิไร้ที่สิ้นสุด ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไปพบขุนนางคนอื่น ๆ แม้แต่คนเดียว ทว่าพวกเขาเดินทางไปเรื่อย ๆ ตามชนบท จนถึงขั้นมิได้ไปพักในเรือนที่โม่โจวเลยด้วยซ้ำ ส่วนบิดาอ้วนที่รับสนมทั้งห้าไปอยู่โม่โจว เขายังมิเคยกลับไปอยู่กับพวกนางเลยสักครา เกรงว่าจะมิเหมาะสมถ้าฟู่เสี่ยวกวนจะไปพักที่นั่น
มิทราบเช่นกันว่าบัดนี้ชายอ้วนกำลังทำอันใดอยู่ มีเรือนให้กลับก็มิกลับ ทั้งยังไปเที่ยวเล่นไกลถึงราชวงศ์หยู และมิรู้อีกเช่นกันว่าสภาพความเป็นอยู่ของเขาในราชวงศ์หยูจะเป็นเยี่ยงไร แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเอ่ยถามต่อหน้า
ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ในใจของเขานึกถึงเรือรบหลิวจิ่นห้าวและเรือลำเลียงเสบียงและสินค้าขนาดใหญ่ 3 ลำที่กำลังเดินทางอยู่ในทะเล ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเพื่อออกสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่
พวกเขาแล่นเรือผ่านแคว้นหลิวไปแล้ว บัดนี้ได้เข้าสู่น่านน้ำที่มิคุ้นเคยและมิมีบนแผนที่เดินเรือ
ความเร็วในการแล่นเรือมิสามารถทำให้เร็วได้มากนัก เพราะแม้แต่จิ่งเปียนสงเอ้อที่ยอมจำนนผู้นั้นก็ยังรู้สึกเป็นกังวลเสียเต็มประดา
เส้นทางเดินเรือที่มิรู้จักเต็มไปด้วยอันตรายที่เกินคาดเดา หลิวจิ่นที่ต้องการสร้างคุณงามความดีครายิ่งใหญ่ก็เข้มแข็งมิเลว แต่เขาก็เข้าใจดี…การสร้างคุณงามความดีโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหากจึงจะเรียกว่ามีความหมาย
วันที่สิบสอง เดือนสี่
แสงสุริยาเจิดจ้า คลื่นทอประกายดูสวยงามมากยิ่งนัก
ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยยังรู้สึกมึนหัวอยู่บ้าง ตั้งแต่ที่เรือแล่นออกจากแม่น้ำแยงซีเข้าสู่ท้องทะเล เมื่อมีคลื่นลมพายุเขาก็จะอาเจียนแล้วอาเจียนอีก คนผู้นี้อาเจียนมาสองสามเดือนแล้ว บัดนี้ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับการอาเจียนไปโดยปริยาย
ใบหน้าของเขาซีดเผือด หมวกที่สวมอยู่ก็เอียงเล็กน้อย รอยแผลเป็นบนใบหน้ายิ่งเด่นชัดจนดูดุดันมากยิ่งขึ้น แม้แต่หนวดเคราที่เคยถูกตัดเล็มจนเป็นระเบียบ บัดนี้กลับรกรุงรังราวกับหญ้าที่โดนน้ำค้าง
ในขณะนี้เขาเดินมายังดาดฟ้าชั้นสองของเรือ สองมือจับราวเอาไว้แน่น จ้องมองออกไปยังมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
“ศิษย์น้อง ศิษย์น้องเล็กเอ่ยว่ามหาสมุทรคือขุมทรัพย์ ในหลายวันนี้ข้าครุ่นคิดอยู่เสมอว่าขุมทรัพย์นั้นอยู่ที่ใด ? คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าน่าจะอยู่ที่ก้นบึ้งของมหาสมุทร…”
ซูเจวี๋ยหันไปมองเกาหยวนหยวน “ทักษะทางน้ำของศิษย์น้องรองยอดเยี่ยม มิลองกระโดดลงไปดูยามที่เรือจอดเล่า ? ”
เกาหยวนหยวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองศิษย์พี่ใหญ่ด้วยหางตา “มหาสมุทรลึกจนมองมิเห็นก้นบึ้ง หรือท่านคิดว่ามันเหมือนทะเลสาบในสำนักเต๋าของพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ตัวข้ามีแต่เนื้อเยี่ยงนี้ เกรงว่าเมื่อกระโดดลงไปแล้วจะกลายเป็นอาหารของปลาตัวใหญ่มหึมานั่นแทนน่ะสิ”
ปลาตัวใหญ่มหึมา !
สองวันก่อนหน้านั้นพวกเขาได้เห็นปลาตัวใหญ่โตมหึมา จิ่งเปียนสงเอ้อเอ่ยว่ามันคือฉลาม มีนิสัยดุร้ายและมักจะรวมตัวกันเป็นฝูง ส่วนเนื้อค่อนข้างเลิศรส มีประโยชน์ต่อการบำรุงพลังหยินและมีสรรพคุณเสริมลมปราณกระชับกล้ามเนื้อ
ศิษย์พี่ใหญ่ละล้าละลังอยากลงไปสังหารสักตัว แต่เพราะช่วงขาที่ค่อนข้างอ่อนเปลี้ยจากการอาเจียนจึงยอมแพ้ไปในที่สุด
“หากเห็นเจ้าฉลามนั่นอีกครา ต้องสังหารมันมาลิ้มรสสักตัวและนำกลับไปให้ศิษย์น้องเล็กชิมสักเล็กน้อย”
เกาหยวนหยวนเห็นด้วย แรกเริ่มเดิมทีเจ้าสิ่งนั้นค่อนข้างน่ากลัว แต่จิ่งเปียนสงเอ้อเอ่ยว่าแคว้นหลิวมีอุปกรณ์ของชาวประมงสำหรับจับมันโดยเฉพาะอยู่ เยี่ยงนั้นก็มิมีสิ่งใดน่ากลัวแล้วเพราะท้ายที่สุดข้าก็เป็นถึงปรมาจารย์ !
ทว่าหลังจากพลาดไปในครานั้นก็มิได้เห็นอีกเลย เพราะเหตุใดกัน ?
จิ่งเปียนสงเอ้อเองก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้วถ้ามาถึงน่านน้ำที่มิมีผู้ใดเคยมา จะต้องพบกับฉลามหรือวาฬได้อย่างง่ายดายสิถึงจะถูก
แต่ในช่วงสองวันมานี้ พวกเขากลับมิพบเห็นอันใดเลย
มีความคิดมิสู้ดีผุดขึ้นมาในหัวของเขา ดังนั้นเขาจึงหันไปเอ่ยกับหลิวจิ่นที่กำลังยืนส่องกล้องส่องทางไกลอยู่ว่า “ใต้เท้าหลิว ข้าน้อยขอแนะนำให้กองทัพเรือของพวกเราเดินทางตามแนวชายฝั่งดีกว่าขอรับ”
หลิวจิ่นวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็หันมามองจิ่งเปียนสงเอ้ออย่างนึกสงสัย “สองวันก่อนหน้านั้น เจ้าบอกว่าให้เดินเรือไปยังเขตน้ำลึกเพื่อหลีกเลี่ยงแนวปะการังให้มากที่สุดมิใช่หรือ เหตุใดในยามนี้กลับบอกให้ข้าชิดริมฝั่งอีกแล้วเล่า เจ้าทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือกว่านี้สักหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“นี่…” จิ่งเปียนสงเอ้อรู้สึกอึดอัดใจมิน้อย ทว่านี่มิใช่เหตุผล “ข้าน้อยรู้สึกว่าเสบียงบนเรือเหลือมิมากแล้วโดยเฉพาะน้ำจืดไว้สำหรับดื่มกิน ตามเรียบแนวชายฝั่งจะสามารถพบเจอผืนปฐพีที่มีจุดเหมาะต่อการเทียบท่าได้ พวกเราสามารถขึ้นบกเพื่อหาเสบียงเพิ่มได้มิใช่หรือขอรับ ? ”
ที่เอ่ยว่าให้เรียบชายฝั่งก็เป็นเพียงการหมุนหางเสือไปทางทิศเหนือเท่านั้น จะมีฝั่งหรือไม่จิ่งเปียนสงเอ้อก็มิทราบเช่นกัน
หลิวจิ่นจะทราบได้เยี่ยงไรว่าการหาเกาะในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่จะยากเย็นถึงเพียงนี้ เขาก็รู้สึกว่าที่จิ่งเปียนสงเอ้อเอ่ยมานั้นมีเหตุมีผลพอสมควร เพราะฝ่าบาทต้องการผืนปฐพีกว้างใหญ่และท่าเรือที่อยู่อีกฝั่งของมหาสมุทร !
ดังนั้นเขาจึงมิคัดค้าน สั่งให้กัปตันเรือเผิงเจ๋อหมุนหางเสือไปทางทิศเหนือทันที
หลังจากดำเนินการตามคำสั่งได้เพียงครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นภายในกล้องส่องทางไกลของจิ่งเปียนสงเอ้อก็ได้มีชั้นเมฆสีดำลอยต่ำปรากฏขึ้นมา
หัวใจของเขากระตุกขึ้นมาทันพลัน “ลมมรสุม ! ”
“ด้านหน้ามีลมมรสุม จงบังคับหางเสือหมุนไปทางซ้ายสุดและเดินหน้าเต็มกำลัง ! ”
สิ้นเสียงตะโกนของจิ่งเปียนสงเอ้อ ดวงตาของหลิวจิ่นก็แข็งค้างทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็รีบเป่าแตรสัญญาณเตือนภัยทันที ผู้ถือธงของหลิวจิ่นห้าวส่งสัญญาณธงให้เรือลำเลียงเสบียงและสินค้าอีก 3 ลำที่เหลือ เรือขนาดใหญ่เปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับลมมรสุมที่กำลังใกล้เข้ามา
แต่ความเร็วของลมมรสุมก็มากเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการได้ ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 1 ก้านธูปท้องนภาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำดุจน้ำหมึก
“ศิษย์พี่ใหญ่ รีบเข้าไปในห้องโดยสารเร็วเข้า ! ”
ในยามนี้มิมีแม้แต่สายลม ทว่าชั้นเมฆลอยต่ำจนน่ากลัว
ซูเจวี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึก พลางหันหลังและเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ
“ดึงเชือกไปด้านขวา 30 องศา… เตรียมกำลังเรือให้พร้อม พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับลมมรสุม ! ”
“ลดใบเรือ ลดใบเรือทั้งสามใบลงให้หมด ! ”
“ลูกเรือทุกคน พายเรืออย่างสุดกำลัง ! ”
ลูกเรือตกอยู่ในความโกลาหล เมฆสีดำดุจน้ำหมึกปกคลุมเหนือเรือยักษ์ทั้งสี่ลำเรียบร้อยแล้ว
สายลมเริ่มกระโชกแรงขึ้นเรื่อย ๆ จิ่งเปียนสงเอ้อยังคงยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ชั้นสอง เขากลืนน้ำลายหนึ่งอึก ทันใดนั้นดวงตาก็พลันเบิกโพลง เพราะคลื่นยักษ์ลูกโตกำลังซัดมาทางเรือของพวกตน !
“หมุนขวา หมุนขวา 15 องศา เร็วเร็วเร็วเร็วเร็วเร็วเร็วเข้า… เร็วกว่านี้ ! ”
ต่อจากนั้น จิ่งเปียนสงเอ้อก็ได้เห็นพายุงวงช้างขนาดใหญ่ผ่านกล้องส่องทางไกล
ราวกับมีเสากรวยตั้งขึ้นซึ่งเชื่อมระหว่างผืนน้ำกับท้องนภาเข้าด้วยกัน !
เมฆบนท้องนภาหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง น้ำในมหาสมุทรก็หมุนอย่างบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน คลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้ากำลังมุ่งเข้ามา
ดวงตาของเผิงเจ๋อที่คุมหางเสืออยู่ภายในห้องกัปตันเรือพลันเบิกกว้าง… บัดซบ ! มิเคยพบเจอฉากหายนะเยี่ยงนี้มาก่อนเลย !
“ติ๊งติ๊งติ๊งติ๊ง…”
ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นมา เขารีบหมุนหางเสืออย่างว่องไว นี่คือข้อความที่ส่งมาถึงเขาจากแท่นบัญชาการว่าให้หันหางเสือไปทางซ้าย 35 องศา !
จิ่งเปียนสงเอ้อกลั้นหายใจไว้เนิ่นนาน เรือรบลำนี้ต้องข้ามผ่านลมมรสุมนี้ไปให้จงได้ เพราะหากตกเข้าสู่ใจกลางของลมมรสุม… ก็จะมิมีผู้ใดรอดชีวิตไปได้
มารดามันเถิด !
ข้ามิใช่กัปตันเรือสำหรับเดินทางในมหาสมุทรสักหน่อย !
ข้าคือราชทูตที่พำนักอยู่ในราชวงศ์อู๋มิใช่หรือ ?
คลื่นยักษ์ที่สูงเทียมภูเขากระแทกเข้ากับเรือใหญ่เสียงดัง ปัง !
ซูเจวี๋ยที่ขดตัวอยู่ในห้องโดยสารรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวเรือดำดิ่งลงไปอย่างกะทันหัน คล้ายกำลังจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรก็มิปาน หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าเรือใหญ่ถูกยกขึ้นมาอีกครา ในชั่วพริบตาก็ดีดตัวขึ้นมาราวกับกำลังจะบินขึ้นสู่ท้องนภา
‘ปัง… ! ’ เหมือนว่าเรือยักษ์จะกระแทกกับพื้นผิวของมหาสมุทรอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็เอนไปทางซ้ายจนเกือบจะพลิกคว่ำ แต่แล้วก็ดีดไปทางขวาอีกครา เหวี่ยงร่างของเขาที่อยู่ภายในห้องโดยสารให้กลิ้งไปกลิ้งมา
หมวกของเขาหลุดออกจากศีรษะไปเนิ่นนานแล้ว เขากลิ้งไปกลิ้งมาจนรู้สึกเวียนศีรษะ “ศิษย์พี่ใหญ่ จับเอาไว้ ! ”
ซูม่อผูกตนเองไว้ในห้องโดยสาร จากนั้นก็ขว้างเชือกเส้นหนึ่งออกไป ซูเจวี๋ยคว้าเชือกเอาไว้ ซูม่อกระชากเชือกหนึ่งคราก็สามารถดึงศิษย์พี่ใหญ่มาถึงข้างกายได้แล้ว จากนั้นก็ผูกมัดเอาไว้ด้วยกัน
“แหวะ… ! ”
สีหน้าของซูม่อมืดครึ้ม เขารู้สึกว่าตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่