ตอนที่ 880 พายุ ( จบ )
เรือลำมหึมาถูกคลื่นซัดอย่างรุนแรง
หลิวจิ่นยังคงยืนอยู่ในห้องกัปตันเรือ เขาพยายามออกแรงคว้าเสาเรือเสาหนึ่งเอาไว้อย่างสุดชีวิต จากนั้นก็ตะโกนไปทางเผิงเจ๋อว่า “พยายามรั้งเอาไว้… ระวัง… อ๊าก… ! ”
“ติ๊งติ๊งติ๊ง…”
หมุนหางเสือไปด้านขวา 18 องศา
“ติ๊งติ๊ง…”
“หมุนหางเสือไปด้านซ้าย 15 …”
ใต้ท้องเรือก็มีเสียงดังติ๊งติ๊งขึ้นมาเช่นกัน กะลาสีตะโกนอย่างสุดเสียงว่า “มือพายซ้ายออกแรงหน่อย… จงมัดตัวเองเข้ากับตำแหน่งฝีพาย ! ”
“มือพายขวา ขวาอีกหน่อย… มือพายซ้ายหยุด… ! ”
จิ่งเปียนสงเอ้อมิได้วางกล้องส่องทางไกลลง เขาจ้องมองไปยังผืนน้ำผ่านหน้าต่างสังเกตการณ์ พยายามมองสถานการณ์เบื้องหน้าอย่างรอบคอบ
แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ ฝนตกหนักทำให้เขาสูญเสียการมองเห็น เขามิอาจมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าเกิน 10 จั้งได้
เขาระลึกถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่เขาเคยได้ยินมาจากลูกเรือซึ่งเคยออกทะเลด้วยเวลาอันเร่งรีบเยี่ยงนี้
เรือรบขนาดมหึมาดูราวกับใบไม้ใบเล็กเมื่อเทียบกับคลื่นพายุ มันถูกคลื่นยักษ์ซัดขึ้นสูงจากนั้นก็ปล่อยลงมาอย่างดุเดือด
จิ่งเปียนสงเอ้อกลัวเสียเหลือเกินว่าเรือจะขาดเป็นสองท่อน แต่ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเรือรบลำนี้ครึ่งหนึ่งสร้างด้วยเหล็ก ดังนั้นในใจของเขาจึงมีความหวังขึ้นมาไม่น้อย
หากเป็นเรือของแคว้นหลิวคงมิอาจต้านทานได้จนถึงบัดนี้
เรือขนเสบียงและสินค้า 3 ลำที่อยู่ด้านหลังทำจากไม้ทั้งลำ หวังว่าพวกเขาจะโชคดี
ซูม่อที่อยู่บนชั้นสองของเรือ ปลดเชือกที่มัดร่างของตนไว้ จากนั้นก็ทำการมัดศิษย์พี่ใหญ่ให้แน่นกว่าเดิม
“ศิษย์พี่รออยู่ที่นี่ก่อน”
“เจ้าจะไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าและศิษย์พี่รองจะไปใต้ท้องเรือเพื่อช่วยพายเรืออีกแรง”
“ศิษย์พี่รอง ไปกันเกิด ! ”
“อืม… ไป ! ”
“กองนาวิกโยธินทั้งหลายจงไปใต้ท้องเรือกับข้า ! ” ซูม่อรวบรวมพลังลมปราณ จากนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังกังวาล ได้เวลาที่กองนาวิกโยธินที่ประจำอยู่ในห้องโดยสารบนชั้นสอง จะแสดงศักยภาพทางทหารอันยอดเยี่ยมออกมาแล้ว
พวกเขาล้วนเป็นผู้มีความสามารถ ! และมีวรยุทธติดตัว !
พวกเขาเป็นถึงทหารหน่วยพิเศษที่ไป๋ยู่เหลียนฝึกฝนมาเองกับมือ !
ทหารทั้งหลายเดินตามซูม่อไปอย่างโซซัดโซเซ จวบจนมาถึงท้องเรือ
“นับจากนี้เป็นต้นไป กองนาวิกโยธินทั้งหลายจะเป็นมือพาย ส่วนพวกเจ้ารับผิดชอบในการชี้นำ ! ”
เมื่อสิ้นคำสั่ง ทหารของกองนาวิกโยธินก็ได้เข้าไปแทนที่มือพายที่แสนอ่อนล้า ส่วนกลุ่มทหารที่เกินจำนวนมาก็ได้พากันหาที่นั่งพิงเพื่อพักผ่อนและรอเปลี่ยนผลัด
จากความพยายามในการพายเรือของพวกเขาจึงทำให้เรือยักษ์มีความเร็วเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังตกอยู่ท่ามกลางพายุกระหน่ำอยู่ดี จิ่งเปียนสงเอ้อยังมิสามารถมองเห็นท้องนภาสีครามสดใสจากเบื้องหน้าได้เลย
ด้วยแรงสั่นคลอนของเรือที่โอนไปเอนมาทำให้ซูเจวี๋ยท้องไส้ปั่นป่วนและได้อาเจียนออกมาจนแทบจะขาดใจตาย เรือยักษ์ยังคงโคจรอยู่ในเส้นทางของมรสุม
จิ่งเปียนสงเอ้อวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็หันไปมองเมฆครึ้มรอบข้าง อยู่ ๆ เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมา บัดซบ ! ข้าเป็นถึงราชทูตแต่ต้องมาตกตายอยู่ในทะเล !
มิรู้ว่าบัดนี้องค์หญิงยิงฮวาที่อยู่ในราชวงศ์หยูจะเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?
เมื่อปีกลาย นางเอ่ยว่าจะกลับมายังราชวงศ์อู๋ เฮ้อ…นางไล่ตามฟู่เสี่ยวกวนไปจนถึงราชวงศ์หยู แต่บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางกลับมายังราชวงศ์อู๋แล้ว ทั้งยังได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิ เกรงว่านางจะไร้โอกาสเสียแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนนี่ก็เหลือเกิน ! เหตุใดต้องเร่งรีบออกเดินทางสำรวจทะเลเยี่ยงนี้ด้วยกัน !
แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีความสามารถบนผืนปฐพี ทว่าเขากลับมิมีความรู้เรื่องในทะเลเลยแม้แต่น้อย !
หากต้องการหาเส้นทางเดินเรือที่ปลอดภัยก็จำเป็นต้องมีลูกเรือจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนกว่าจะสำเร็จ
การตัดสินใจแสนประมาทของฟู่เสี่ยวกวนอาจจะทำให้ทุกคนต้องมาจบชีวิตลงอย่างน่าเสียดายในท้องทะเลแห่งนี้ พวกเขาออกเดินทางมาไกลโพ้น ย่อมมิมีผู้ใดสามารถส่งแผนที่เดินเรือเหล่านี้กลับไปให้ฟู่เสี่ยวกวนได้
ในขณะที่จิ่งเปียนสงเอ้อกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางซูเจวี๋ยที่โดนมัดอยู่ในห้องโดยสารเรือก็ได้หยุดอาเจียนแล้ว
เขาหยิบดินสอแท่งถ่านออกมา จากนั้นก็วาดภาพลงไปในกระดาษแผ่นหนึ่ง
บัดนี้มือของเขาแน่วแน่มั่นคงอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าเขาได้มองข้ามเรือลำมหึมาที่กำลังโอนเอนไปมา
เขากำลังวาดเส้นทางเดินเรือในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้ลงไป !
บนกระดาษถูกวาดลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง นับจากแคว้นหลิวมาจนถึงสถานที่แห่งนี้เขาต้องวาดมันต่อให้สำเร็จ
นี่คือความตั้งใจของศิษย์น้องเล็กเพราะถ้าเรือลำนี้อับปางลง เขาจะให้อีกาตัวนี้นำแผนที่บินจากไป เขามิรู้หรอกว่าแท้จริงแล้วอีกามิสามารถบินไปจนถึงฝั่งได้ อีกทั้งอีกาก็มิอาจฝ่าพายุโหมกระหน่ำออกไปได้ด้วย หรือต่อให้มันบินผ่านไปได้ ก็คงจะเหนื่อยตายอยู่กลางทะเล สุดท้ายก็จะกลายเป็นอาหารของปลาในที่สุด
เขาจึงพยายามรวบรวมจิตใจและกำลังภายในทั้งหมด ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็สามารถวาดแผนที่เดินเรือในช่วงสามวันนี้ได้สำเร็จ
เขาถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นจึงพบว่าหมวกคู่กายได้กระเด็นไปอยู่มุมหนึ่งของห้องโดยสาร ส่วนอีกาตัวนั้นก็กลัวเสียจนแตกตื่น
เขารู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาในทันใด จากนั้นก็ยิ้มด้วยใบหน้าขมขื่น “ซูโหรว…แท้จริงแล้วข้าคิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน เจ้าคงเดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนแล้ว จงเดินทางไปพบศิษย์น้องหกเถิด คาดว่าซูซูใกล้จะคลอดบุตรเต็มทนแล้ว”
ซูเจวี๋ยปลดเชือกออก จากนั้นก็เดินโซซัดโซเซมายังมุมหนึ่งในห้องโดยสาร หยิบหมวกขึ้นมาสวม เสร็จแล้วก็คว้าอีกาตัวนั้นเอาไว้ อีกายังคงตกใจอยู่จึงพยายามดิ้นรนต่อสู้อย่างสุดชีวิต แววตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เอาล่ะ คราสุดท้ายแล้ว เจ้าจงนำของสิ่งนี้ส่งไปให้ถึงมือของศิษย์น้องเล็กฟู่เสี่ยวกวน”
เขานำแผนที่แผ่นนั้นมัดไว้ที่ขาของอีกา จากนั้นก็พยายามอย่างมากในการลอยตัวไปยังหน้าต่าง เขาใช้แรงทั้งหมดเปิดมันออก น้ำทะเลกระเซ็นเปรอะใบหน้าและเขาปล่อยอีกาตัวนั้นบินออกไป ทว่ามันมิยอมไป สุดท้ายจึงบินกลับมา… เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่กลัวตายเยี่ยงนั้นหรือ ?
ซูเจวี๋ยจึงทำได้เพียงปิดหน้าต่างลง เขาจับตัวอีกาตัวนั้นเอาไว้ ในขณะเดียวกันจิ่งเปียนสงเอ้อที่อยู่บนหอสังเกตการณ์ชั้นสองก็ได้หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาอีกครา ต่อมาสีหน้าของเขาก็บ่งบอกถึงความประหลาดใจ…
เขามองเห็นขอบของพายุลูกนั้น !
เขามองเห็นแสงแดดสดใสและเมฆขาว
“มือพายทุกคน ออกแรงเดินหน้า ! ”
“หมุนหางเสือไปด้านซ้าย 25 องศา ! ”
“เร็ว เร็วเข้า… ! ”
หลิวจิ่นหยิบกล้องส่องทางไกลออกมามองเช่นกัน เขาอ้าปากกว้าง จากนั้นก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “พวกเรารอดแล้ว ! พวกเรารอดชีวิตแล้ว ! เร็วเร็วเร็วเร็ว รีบพายเร็วเข้า ! ”
สายตาของเผิงเจ๋อค่อย ๆ เป็นประกายขึ้นมา ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าเรือมิได้โคลงเคลงเหมือนเมื่อครู่แล้ว ซูม่อและพวกที่อยู่ใต้ท้องเรือเมื่อได้รับคำสั่งก็ได้เร่งพายอย่างสุดกำลัง
“อ่า… ดูเหมือนจะสงบลงแล้ว”
“ขอรับท่านแม่ทัพ บัดนี้ดูเหมือนมิต้องออกแรงพายมากเท่าใดแล้ว”
“พวกเราออกมาจากวงล้อมของพายุได้แล้วจริงหรือ ? ”
“อาจจะเป็นเช่นนั้น พวกเราพยายามเข้าล่ะ ! ”
ผู้ถือธงที่อยู่บนดาดฟ้าได้หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมามอง… มหาสมุทรอันกว้างใหญ่มิมีร่องรอยของเรือบรรทุกเสบียงทั้งสามลำตามมา
เกรงว่าพวกเขา…มิอาจรอดชีวิตออกมาจากวงพายุได้
หลิวจิ่นห้าวฝ่าออกมาจากวงล้อมแห่งลมมรสุมนั้นได้แล้ว พายุกระหน่ำลูกนั้นก็ได้หายวับไปต่อหน้าต่อตา
เรือลำใหญ่มหึมาก็ได้สงบลงในที่สุด หลิวจิ่นและคนอื่น ๆ ขึ้นไปบนชั้นสามของเรือ จากนั้นก็หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมามอง แต่แล้วทุกคนก็พากันนิ่งเงียบ
หลิวจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก ละสายตากลับมา จากนั้นก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “หลิวจิ่นห้าว…กางใบเรือและออกเดินทางได้ ! ”
“ใต้เท้าขอรับ อาหารและน้ำจืดบนเรือของเราอย่างมากก็สามารถยื้อได้เพียง 1 วันเท่านั้น ! ” จิ่งเปียนสงเอ้อเอ่ย
“ดังนั้นพวกเราต้องเดินทางประเดี๋ยวนี้ หากมิสามารถหาผืนปฐพีพบก็ต้องตกตายอยู่ในท้องทะเลแห่งนี้ ! ”
“เอาล่ะทุกคน จงเข้าประจำที่ของตนเองให้เรียบร้อยและออกเดินทางได้ ! ”
หลิวจิ่นห้าวจึงลอยล่องไปบนผืนทะเลกว้างใหญ่อีกคราด้วยสภาพชำรุด
สามวันต่อมา…
ทุกคนต้องพบกับความผิดหวัง
มิว่าพวกเขาจะพยายามประหยัดอาหารเพียงใด สุดท้ายน้ำและอาหารก็หมดสิ้น แม้แต่ข้าวเม็ดเดียวก็มิเหลือให้เห็น
บัดนี้หลิวจิ่นยังคงยืนอยู่ที่ห้องบัญชาการชั้นสองอย่างสง่างาม เขาจ้องมองไปยังผืนน้ำอันไกลโพ้นด้วยสายตาแน่วแน่ ริมฝีปากพึมพำเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อม…ขอฝ่าบาทได้โปรดคุ้มครองพวกเราด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! โปรดส่งพระเมตตากรุณามาชี้นำและปกป้องพวกกระหม่อมด้วยเถิด โปรดส่งแสงสว่างมาให้พวกเรามองเห็นผืนปฐพีด้วยเถิด ! ”
เขาคุกเข่าลงพลางหันหน้าไปยังทิศตะวันออก จากนั้นก็ทำความเคารพอย่างจริงจัง