ตอนที่ 883 โรงเตี๊ยมซื่อหยาง
เจี่ยหนานซิงฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะออกมาเสียงดัง
“น้องชาย พวกเราต้องแจ้งเหตุผลใช่หรือไม่ ? เจ้าลองไปเอ่ยถามนายอำเภอของพวกเจ้าดูสิ ต้นปีที่แล้วฝ่าบาทได้ออกพระราชโองการว่าห้ามมีการเรียกเก็บค่าเข้าเมืองมิว่าเมืองใดก็ตาม พวกเจ้ากำลังฝ่าฝืนพระราชโองการเข้าใจหรือไม่ ! ถึงแม้ฝ่าบาทจะทรงเปี่ยมพระเมตตามิบั่นศีรษะพวกเจ้า ทว่าโทษโบย 30 ไม้ยังมีอยู่ จงถือว่ามิเคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้วปล่อยให้ข้าเข้าเมืองไปเสีย เจ้าคิดว่าเยี่ยงไร ? ”
จ้าวเต๋อตื่นตกใจขึ้นมาทันพลันเพราะมิทราบเรื่องนี้มาก่อน ด้านท่านนายอำเภอเอ่ยเพียงว่าให้ทหารรักษาประตูเมืองปิดตาข้างหนึ่งและเปิดตาข้างหนึ่ง… ตาเฒ่าผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ คาดมิถึงว่าจะทราบเกี่ยวกับพระราชโองการนั้นด้วย
ทว่ามิใช่เรื่องน่าแปลกอันใดเพราะบัดนี้ฝ่าบาทกำลังผลักดันการค้าอย่างเต็มกำลัง ตาเฒ่าผู้นี้คงเป็นพ่อบ้านจากตระกูลใหญ่สักตระกูล มิแปลกที่จะทราบนโยบายเหล่านั้นไปด้วย
มีกองทหารรักษาการณ์และนายอำเภอคอยคุ้มกันอยู่เบื้องหลัง คิดว่าข้าจะกลัวคำเอ่ยสองสามคำของพ่อค้าเยี่ยงเจ้าหรือ ?
หากข้ากลัว ในภายภาคหน้าข้าจะกล้ามองหน้าพี่น้องได้เยี่ยงไรเล่า ?
“ข้ามิคิดอันใดทั้งนั้นเพราะแต่ละพื้นที่ล้วนมีกฎของของตนเอง ข้ามิทราบเรื่องราชโองการใด ๆ ทั้งสิ้น ข้าทราบเพียงหากต้องการเข้าเมืองก็จำต้องส่งเงินมา ! ”
“ตาเฒ่านี่ อย่ามัวโอ้เอ้ เจ้ามิรำคาญอากาศร้อนเยี่ยงนั้นหรือ ? มีเวลาก็ไปเช่าห้องพักที่โรงเตี๊ยมแล้วทานแตงโมเย็นฉ่ำพร้อมกับดื่มชาแช่เย็นมิดีกว่าหรือ ? ประเดี๋ยวจะเรียกหญิงสาวมาร้องเพลงเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางให้พวกเจ้าอีกด้วย เยี่ยงนั้นสบายกว่าหรือไม่ ? เร็วเข้า ถ้ามิจ่ายก็รีบไสหัวไป แต่ถ้าอยากเข้าเมืองก็ต้องส่งเงินมา”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกผ้าม่านขึ้น จากนั้นก็เอ่ยกับเจี่ยหนานซิงว่า “พี่ชายท่านนี้เอ่ยได้มีเหตุผล ให้เงินพวกเขาไปเถิด”
เอ่ยได้คำเดียวว่าจ้าวเต๋อเดินผ่านประตูเมืองผีโดยมิรู้ตัว เขารับเงิน 3 ตำลึง จากนั้นก็เอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ด้านในคือคุณชายตระกูลของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เจี่ยหนานซิงพยักหน้า
“คุณชายของเจ้าต้องเป็นพ่อค้าตระกูลใหญ่และน่าเกรงขามมากเป็นแน่ พอแล้ว ! เข้าไปเถิด ข้าขอบอกพวกเจ้าสักเล็กน้อยว่าอาหารอร่อยของเขตซื่อหยางต้องเป็นที่หอห้าวชือเท่านั้น สถานที่เพลิดเพลินเป็นหอเยียนฮวา ได้ยินว่าช่วงนี้มีสตรีชาวหูเข้ามาจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีฝีมือในการดีดฉิน ในฐานะที่เจ้าเป็นพ่อบ้านก็ควรพาคุณชายของเจ้าไปทานอัณฑะวัวเสียก่อน มิเช่นนั้นเกรงว่าจะยืนมิอยู่ในทันทีที่ถูกสองขาของสตรีชาวหูเกี่ยวเข้าให้”
ฟู่เสี่ยวกวนดีใจขึ้นมาทันพลัน ส่วนเจี่ยหนานซิงเกือบได้มอบแส้ให้จ้าวเต๋อผู้นั้นแล้ว
“ซานเอ๋อ จงหลีกทางให้คณะของคุณชายผู้นี้เข้าเมือง”
หลี่ซานจ้องมองจ้าวเต๋อด้วยความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ผู้เป็นหัวหน้าย่อมแตกต่างออกไป เพียงปรากฏตัวแล้วเอ่ยวาจาสองสามคำก็ทำให้ผู้คนส่งมอบเงินให้แต่โดยดีได้แล้ว
“ซานเอ๋อเอ๋ย ตระกูลของคนผู้นี้มิธรรมดา ได้ยินมาว่าเจ็ดตระกูลที่อยู่มานานนับพันปีของราชวงศ์อู๋ สามในเจ็ดตระกูลถูกฝ่าบาทกดดันจนไร้หนทาง บัดนี้ได้หนีไปยังราชวงศ์หยูแล้ว ข้ากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าคุณชายท่านนี้อาจจะเป็นคนของตระกูลหาน”
“เหตุใดมิสามารถเป็นคนของตระกูลจัวหรือตระกูลหนานกงได้เล่า ? ”
‘ผัวะ… ! ’ จ้าวเต๋อสะบัดมือตบเข้าที่ศีรษะของหลี่ซาน “เจ้าโง่ ตระกูลจัวและตระกูลหนานกงมีสถานะเยี่ยงไร ? พวกท่านเป็นถึงเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ เพียงแค่เปิดเผยตัวตน พวกเราก็ต้องโขกศีรษะเพื่อส่งพวกท่านเข้าเมืองแล้ว ! ”
เมื่อหลี่ซานได้ยินดังนั้นก็คิดว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก
“เหตุใดข้าถึงเอ่ยว่าน่าจะเป็นตระกูลหานน่ะหรือ ? ก็เพราะบัดนี้ตระกูลหานในราชวงศ์อู๋หมดหนทางไปแล้ว ตระกูลของพวกเขาทำการค้าด้านสิ่งทอ ข้าได้ยินเหล่าผู้ค้าขายเอ่ยกันว่าสิ่งทอของราชวงศ์หยูดีกว่าของราชวงศ์อู๋มากนัก ต่อให้พวกเขาเดินทางไปยังราชวงศ์หยูก็ไร้หนทางมีชีวิตรอดอยู่ดี”
“หัวหน้า ท่านเอ่ยได้สมเหตุสมผลยิ่ง ทว่าคุณชายของตระกูลหานจะมาทำอันใดในสถานที่รกร้างเยี่ยงนี้กัน ? ”
‘ผัวะ ! ’ จ้าวเต๋อสะบัดมือตบเข้าที่ศีรษะของหลี่ซานอีกครา เขาโยนเหรียญในมือพลางเอ่ยว่า “ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าเขามาทำอันใดที่นี่ ! ”
“ไปเถิด ประตูที่ผุพังนี้มิมีอันใดให้เฝ้าแล้ว จงกลับไปหาหัวหน้ากองทหารรักษาการณ์แล้วแบ่งเงินจำนวนนี้เสีย แต่ข้าขอบอกกับเจ้าไว้เลยนะ ว่าอย่าไปที่หอเยียนฮวาเชียวล่ะ”
“หัวหน้า เมื่อครู่ท่านเพิ่งจะแนะนำหอเยียนฮวาให้คุณชายท่านนั้นมิใช่หรือ ? ”
จ้าวเต๋อง้างมือขึ้นหมายจะตบลงกลางศีรษะของหลี่ซานอีกครา ทว่าครานี้หลี่ซานหลบทัน
“เจ้าช่างโง่เสียจริง สตรีชาวหูร้อนแรงยิ่งนัก ต่อให้มีเงิน 5 ตำลึงก็ยังมิมีโอกาสได้จับมือพวกนางเลยด้วยซ้ำ หากมีเงิน 5 ตำลึงไปหอเต๋ออี้มิดีกว่าหรือ ? ”
หลี่ซานเม้มริมฝีปากที่แห้งผากแน่น “หัวหน้า ท่านทราบได้เยี่ยงไร ? ”
จ้าวเต๋อโบกมือพลางหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้หลี่ซานยืนอย่างโดดเดียวอยู่หน้าประตูเมือง
……
……
ณ โรงเตี๊ยมซื่อหยาง
ช่วงนี้กิจการมิดีเอาเสียเลย !
เดือนสี่จนถึงเดือนเก้าในอดีต ถึงแม้สภาพอากาศจะร้อน ทว่าผู้ค้าขายที่เดินทางมายังเขตซื่อหยางก็ถือว่ามิน้อยเลย
ทว่าเมื่อจักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ พ่อค้าที่เดินทางมายังเขตซื่อหยางก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ
สถานที่แห่งนี้ทรุดโทรมและยากจนเกินไป ทั้งยังไร้ทรัพยากรที่ผู้คนต้องการ ได้ยินมาว่าปัจจุบันนี้เหล่าผู้ค้าขายส่วนมากได้เปลี่ยนไปทำการค้าที่เมืองเปียนเฉิงหรือไม่ก็ด่านต้ายู่ ได้ยินมาอีกว่าพวกเขามักจะทำการค้าระหว่างสองแคว้นเป็นหลัก
ถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ในเมื่อมีเรื่องดีเยี่ยงนี้ แล้วผู้ใดจะยินยอมมายังสถานที่รกร้างเพื่อดิ้นรนกับเงินเพียงแค่ 2 ตำลึงกันเล่า ?
เถ้าแก่เนี้ยหยางฮวาแห่งโรงเตี๊ยมซื่อหยางส่ายพัดในมือไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย พลางครุ่นคิดไปว่าเห็นทีกิจการนี้คงยากจะไปต่อ หรือนางควรย้ายออกไปจากสถานที่ผีสิงนี้ดีหรือไม่ ?
ในยามนั้นเองหนิงซือเหยียนก็ได้เดินเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นมอง ทว่ามิคุ้นหน้าเอาเสียเลย เขาเป็นคนนอกพื้นที่หรือพ่อค้าหาบเร่กัน นางจึงลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “นายท่านต้องการเช่าห้องหรือเจ้าคะ ? ที่นี่คือโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเขตซื่อหยางเลยเจ้าค่ะ”
“โรงเตี๊ยมของเจ้ามีแขกพักอยู่หรือไม่ ? ”
“อ่า…ที่นี่ ในตอนนี้มิมีเจ้าค่ะ แต่ขอรับประกันว่าโรงเตี๊ยมของข้าใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่เอี่ยมทั้งสิ้น หากนายท่านมิเชื่อ ข้าน้อยสามารถนำทางไปดูได้เจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้นก็จงนำทาง ข้าจะไปดูสักหน่อย”
“นายท่านคงเป็นเถ้าแก่ของกิจการที่ใหญ่โต สนใจจะดูห้องพิเศษหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“ดี ! ”
หยางฮวารู้สึกดีใจขึ้นมาทันพลัน นางส่ายพัดในมือไปมา จากนั้นก็นำทางหนิงซือเหยียนไปยังด้านหลังของลาน
นี่คือซื่อเหอเยวี่ยนหนึ่งหลัง ภายในลานสี่เหลี่ยมได้ปลูกต้นไม้ดอกไม้ประปรายทั้งยังมีบ่อน้ำเก่าแก่หนึ่งบ่อ ที่สำคัญคือมีต้นไทรขนาดใหญ่คอยบดบังความร้อนจากแสงสุริยา ทันทีที่เดินเข้าไปก็รู้สึกเย็นสดชื่นขึ้นมามิน้อย
“นายท่านเดินทางมาเมืองซื่อหยางเป็นคราแรกใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ต้นไม้ในลานของข้าน้อยต้นนี้เติบใหญ่มาได้หนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว บ่อน้ำกลางลานตรงนั้น น้ำในบ่อทั้งหวานทั้งเย็นชื่นใจ ข้าน้อยจะไปตักมาให้นายท่านดื่มเพื่อคลายร้อนสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
หนิงซือเหยียนมิได้ปฏิเสธ หยางฮวาจึงเดินไปตักน้ำขึ้นมาหนึ่งถัง จากนั้นก็หยิบกระบวยตักน้ำ แล้วส่งให้กับหนิงซือเหยียน
หนิงซือเหยียนที่รู้สึกกระหายน้ำมาเนิ่นนาน จึงดื่มเข้าไปอึกใหญ่ “มิเลว ! ”
“เฮ้อ…โรงเตี๊ยมของข้าน้อยเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่ร้อยปีในเขตซื่อหยาง น่าเสียดายที่กิจการในช่วงนี้ลำบากเสียเหลือเกิน เกรงว่าจะมิสามารถไปต่อได้แล้วเจ้าค่ะ”
หยางฮวาเอ่ยพลางเปิดประตูห้องพิเศษ หนิงซือเหยียนมิได้ต่อบทสนทนาแต่อย่างใด เขาเพียงเดินเข้าไปสำรวจในห้องเท่านั้น
“ขอดูห้องอื่นด้วย”
“เจ้าค่ะ”
หยางฮวาไร้ทางเลือก…เพราะการหาเงินมิใช่เรื่องง่าย หากเป็นยุครุ่งเรืองในสมัยก่อนจะมีห้องจำนวนมากถึงเพียงนี้ให้เจ้าดูได้เยี่ยงไร ?
เมื่อหนิงซือเหยียนสำรวจหมดทุกห้องแล้ว เขาเดินกลับมาด้านหน้าพร้อมกับหยางฮวา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“เหมาหมดทุกห้อง คิดราคาเท่าใดต่อหนึ่งคืน ? ”
หยางฮวาตกตะลึงขึ้นมาในทันใด “นายท่าน เอ่ยว่าเยี่ยงไรนะเจ้าคะ ? ”
“ข้าเอ่ยว่าต้องการเหมาโรงเตี๊ยมของเจ้า หนึ่งคืนคิดราคาเท่าใด ? ”
“…20 ตำลึงเจ้าค่ะ ! ”
“ตกลง” หนิงซือเหยียนหยิบตั๋วเงินมูลค่า 50 ตำลึง 1 ใบออกมาจากกระเป๋าเงิน จากนั้นก็ยื่นให้หยางฮวา “จงนำเครื่องนอนและของใช้บนเตียงไปเปลี่ยนใหม่ให้หมด นำแตงโมไปแช่ให้เย็น และจงเตรียมชาสมุนไพรเพื่อคลายร้อนด้วย”
“นายท่าน…ข้าน้อยขอรับประกันความพึงพอใจ ท่าน…ต้องการสตรีหรือไม่เจ้าคะ ? ”