นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 89 พระสนมเอกปลูกดอกไม้

ตอนที่ 89 พระสนมเอกปลูกดอกไม้

ฟู่เสี่ยวกวนตรงกลับไปยังจวน และพาบิดาของเขาฟู่ต้ากวนมายังเรือนหลัง

“ท่านพ่อ โฉนดที่ดินของที่ซีซานอยู่ที่ใด?”

ฟู่ต้ากวนชะงักนิ่ง “ห้องอักษรของข้า… เจ้าต้องการรึ?”

“เป็นเยี่ยงนี้ ตอนนี้ข้ามีธุระเร่งด่วนต้องรีบไปที่เมืองหลวง จำเป็นต้องนำโฉนดที่ดินเหล่านั้นติดตัวไป ข้ากลับมาเมื่อไหร่จะนำกลับมาให้ท่าน”

ฟู่ต้ากวนคิ้วขมวด มิใช่ว่าเขามิเต็มใจจะให้โฉนดที่ดินเหล่านั้นแก่ฟู่เสี่ยวกวน แต่รู้สึกว่าบุตรชายนั้นแปลกไปเล็กน้อย

เขามิมีปัญหา ลุกขึ้นยืนและรับกล่องนั้นมา

“โฉนดที่ดินของซีซานทั้งหมดอยู่ในนี้”

“ไปเมืองหลวงเยี่ยงไรจะถึงเร็วที่สุด ? ”

“ทางเรือ”

“ท่านจะมิถามหน่อยหรือว่าข้าจะเอาไปทำการใด ? ”

ดังนั้นฟู่ต้ากวนจึงยิ้มตาหยีและเอ่ยถาม “แล้วเจ้าจะทำอันใด ? ”

“ไปวัดฟูจื่อเพื่อไปเด็ดพุทราให้กับท่าน”

“…..”

“ข้าไปแล้ว ท่านพ่อเองก็ต้องเร่งรีบมีน้อง ๆ ให้กับข้า จำไว้ว่าวันสุดท้ายคือวันที่สิบห้าเดือนแปดในปีหน้า”

……

…..

รัชสมัยเซวียนลี่ที่8เดือนเก้าวันที่ยี่สิบ ยามค่ำ

เมืองหลวง วังเตี๋ยอี๋ ณ สวนดอกไม้ด้านหลัง

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยสวมชุดฝ้าป่านมือจับจอบและกำจัดวัชพืชในสวนดอกไม้อย่างพิถีพิถัน

นี่คือสวนดอกเบญจมาศ เป็นดอกเบญจมาศล้ำค่าหลายชนิดที่มาจากฉีโจว

ในช่วงนี้ดอกเบญจมาศได้บานแล้ว สีสันสดใสสวยงามยิ่งนัก

หยูเวิ่นหวินคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ แปลงดอกไม้ และจ้องมองมารดาที่กำลังกำจัดวัชพืช แล้วกล่าวว่า “ข้ายังคงชื่นชอบสีแดงชาดนี้มากกว่า เสด็จแม่ทรงทอดพระเนตร กลีบดอกไม้ที่แดงเข้มนี้ช่างสวยงามเสียจริง”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยืดตัวขึ้น หยิบผ้าฝ้ายจากในแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าผาก แล้วกล่าวอย่างอารมณ์ดี “แม่แก่แล้ว แม่ชอบดอกเบญจมาศสีขาวนี้ยิ่งกว่า กลีบดอกสีขาว ดอกไม้ตูมที่มิแผ่ออก”

“เสด็จแม่มิได้ชราเลยเพคะ หากออกไปพร้อมกัน คนที่มิรู้ก็ยังคิดว่าเสด็จแม่เป็นพระเชษฐภคินีของข้า”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยหัวเราะ “เจ้ามันเด็กน้อย ลามปามนัก”

นางเดินถือจอบออกมาจากสวนดอกไม้ มีสาวรับใช้เดินเข้ามารับจอบ และมีสาวใช้อีกหนึ่งคนเดินถือน้ำอุ่นเข้ามาให้นาง หลังจากที่นางล้างมือจนสะอาดแล้ว ก็เดินพร้อมกับหยูเวิ่นหวินมายังศาลาซิ่วชุนกลางสวนดอกไม้แล้วค่อย ๆ นั่งลง

มีสาวใช้หนึ่งนางยกน้ำ ขนมและผลไม้เข้ามา ซั่งกุ้ยเฟยโบกมือ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี่จึงต้องออกห่างไป เหลือเพียงขันทีชรายืนหลังค่อมอยู่ด้านหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยด้วยความเคารพ

หยูเวิ่นหวินรินน้ำชาให้ซั่งกุ้ยเฟย และเอ่ยถามยิ้มๆ “เสด็จแม่เพคะ น้ำหอมสองกลิ่นนี้ชอบกลิ่นไหนมากกว่ากันหรือเพคะ?”

ตั้งแต่จากซีซานมา นางและหยูเวิ่นหวินก็ได้นำน้ำหอมบางส่วนกลับมาที่เมืองหลวง และได้มอบให้แก่ซั่งกุ้ยเฟยแต่เนิ่น ๆ แล้ว

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยิ้มบาง ๆ “หากมีเพียงสองชนิดนี้ ข้าค่อนข้างชอบดอกมะลิ เรียบง่ายและสง่างาม มิเหมือนดอกกุ้ยฮวา ที่ค่อนข้างฉุน”

หยูเวิ่นหวินหน้ามุ่ย “หม่อมฉันชอบกลิ่นของดอกกุ้ยฮวาเสียมากกว่า เขากล่าวว่ารอดอกกุหลาบบานสะพรั่งก็จะทำน้ำหอมกลิ่นดอกกุหลาบขึ้นมา กลิ่นของกุหลาบจะเข้มข้นและละมุน จะหอมยิ่งกว่าดอกกุ้ยฮวาเพคะ”

“สิ่งที่เจ้าได้เห็นที่ซีซานทั้งหมด… เป็นจริงตามที่เจ้ากล่าวมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ลูกจะกล้าพูดปดได้เยี่ยงไรเพคะ”

“แม่กลัวว่าจะเจ้าจะตาพร่ามัว และเห็นสิ่งที่เขาทำนั้นดีไปเสียหมดทุกอย่าง เขาปรองดองกับชาวนาเหล่านั้นจริง ๆ หรือ สามารถทำให้ผลผลิตของข้าวเพิ่มขึ้นได้เป็นสองเท่าจริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ?” พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจ้องมองหยูเวิ่นหวิน และเอ่ยถามอย่างจริงจัง

“เพคะ เขามักจะลงไปทุ่งนา พับขากางเกงขึ้นมิได้แตกต่างไปจากชาวนาเลย ส่วนเรื่องเมล็ดพันธุ์ เขากล่าวว่าต้องรอให้ถึงปีหน้าจึงจะทำการเพาะขนาดเล็กขึ้นมา และรับทราบถึงผลลัพธ์ได้ หากต้องการส่งต่อไปยังทั่วประเทศ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปีเพคะ”

ซั่งกุ้ยเฟยครุ่นคิดเล็กน้อย หันศีรษะมองไปอีกทาง และสูดลมหายใจเข้าออก “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้าได้สร้างความเดือดร้อนครั้งใหญ่หลวงให้แก่เขาแล้ว”

หยูเวิ่นหวินผงะ และกล่าวอย่างประหลาดใจ “หม่อมฉันได้สร้างความเดือดร้อนให้เขาที่ใดกันเพคะ ?”

“พวกเจ้า ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเด็กกันเกินไป ! ”

“เสด็จแม่เพคะ บอกหม่อมฉันมาสิเพคะ” หยูเวิ่นหวินร้อนรน นางรู้สึกว่ายามที่อยู่ที่ซีซานนางก็กระทำตนอยู่ในกฎระเบียบเสมอมา มิได้ทำเรื่องที่นอกกรอบแต่อย่างใด

“เขารับผู้ประสบภัยสามหมื่นกว่าคนนั้นมา แต่เดิมแล้วเป็นเรื่องที่ดี หากเรื่องนี้หยุดอยู่ที่อำเภอเหยาแห่งนั้น เรื่องนี้ก็จะมีผู้รับรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่เจ้ากับชูหลานกลับเปิดโปงเรื่องนี้มายังราชสำนัก”

“ฝ่าบาททรงเกลียดชังพวกทุจริตยิ่งนัก เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ในวันนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นคดีที่ใหญ่หลวงไปเสียแล้ว”

“เนื่องด้วยฝ่าบาทได้ออกราชโองการมอบหมายให้ผู้แทนพระองค์ ต้องทำการตรวจสอบ”

ซั่งกุ้ยเฟยถอนหายใจ “เจ้าต้องทราบว่าการตรวจสอบในครานี้ จะมีผู้ตกต่ำลงถึงเพียงใด?”

หยูเวิ่นหวินร้อนรน “แต่คนเหล่านั้นสมควรตาย เสด็จแม่มิเห็นหรือเพคะว่าเหล่าผู้ประสบภัยนั้นน่าสงสารขนาดไหน”

“เรื่องนั้นข้าทราบดี แต่เจ้าก็จงคิดตามข้า เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เพราะเขารับผู้ประสบภัยเหล่านั้นมา ถึงแม้เจ้าและชูหลานจะเป็นผู้เปิดโปง แต่บัญชีนี้กลับตกอยู่ที่ตัวฟู่เสี่ยวกวนแต่เพียงผู้เดียว เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”

หยูเวิ่นหวินกลายเป็นใบ้ไปในทันพลัน ปากเล็ก ๆ นั้นมิอาจปิดสนิทได้เนิ่นนาน

นางย่อมเข้าใจ กองไฟที่ก่อโดยมิได้ตั้งใจได้ลามไหม้ไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้ว

แล้วตอนนี้จะทำเยี่ยงไร ?

หยูเวิ่นหวินสับสน และรีบกล่าวขึ้นว่า “นั่น เสด็จแม่ขอร้องให้เสด็จพ่อถอนราชโองการกลับมาได้หรือไม่เพคะ?”

“จะไปทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร? ฮ่องเฮ้ตรัสแล้วมิคืนคำ และในวันนี้ใต้หล้าก็ทราบกันโดยถ้วนแล้ว โทสะของเสด็จพ่อของเจ้าเป็นเยี่ยงไรเจ้าก็มิใช่ว่าจะมิรู้ ใครหน้าไหนจะกล้าเสี่ยงโชคร้ายขนาดนั้นกัน?”

“เยี่ยงนั้นจะทำเช่นไร เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และตัวตนของเขาก็เป็นเพียงตระกูลเศรษฐีที่ดิน หากมีเสนาบดีบางคนเกลียดชังเขา มิใช่ว่าเขาจะถูกทำลายลงไปอย่างง่ายดายเยี่ยงนั้นหรือเพคะ?”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมองบุตรีที่เริ่มร้อนรน เข้าใจได้ในทันทีว่าจิตใจของบุตรีนั้นอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวนจนหมดแล้วในตอนนี้

ตั้งแต่ที่กลับจากฉีโจวหลังจากที่ได้พบฟู่เสี่ยวกวนที่ซ่างหลินโจว ณ หลินเจียงครานั้น พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยได้สนใจฟู่เสี่ยวกวนอยู่แล้ว ประการแรกเพราะความในใจของบุตรี ประการที่สองเพราะนางชื่นชมในพรสวรรค์ของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการเดินทางไปซีซานของหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลาน นางเองก็รับทราบเป็นอย่างดี

จนถึงขั้นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนไปรับผู้ประสบภัย นางก็ทราบอย่างรวดเร็ว

แต่นางมิได้เข้าไปขวางทาง นางเพียงต้องการดูว่าเขาคิดจะทำการใด

หลังจากนั้นนางเองก็รู้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนรับผู้ประสบภัยเหล่านั้นมาเพื่อการใด จิตใจก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ชื่นชมทุกเรื่องที่ชายหนุ่มผู้นี้กระทำอยู่ในที่ลับ

เขามิใช่คนไร้สาระ แต่เขามีความสงบนิ่งและสนุกสนานได้ และในวันนี้บัณฑิตที่หมายตาตำแหน่งเบื้องบนก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่เหมือนกับฟู่เสี่ยวกวนที่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้กับเหล่าชาวนาและผู้ประสบภัยจึงดูล้ำค่ายิ่ง

ดังนั้นพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยย่อมช่วยเหลือฟู่เสี่ยวกวน จนถึงขั้นวางหมากเอาไว้แล้ว เพียงแค่หยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวนมิรับรู้

“เจ้านี่ หักห้ามอารมณ์มิได้เลยจริงเชียว”

ซั่งกุ้ยเฟยลุกขึ้นยืน หันหลังกลับไปกล่าวกับขันทีชราที่อยู่ด้านหลัง “เหนียนกงกง ช่วยข้าส่งข้อความไปบอกกับเยี่ยนเป่ยซี กล่าวว่า… ข้าชื่นชอบเยี่ยนซีเหวินเด็กน้อยผู้นั้นยิ่ง สมควรได้เข้ารับราชการแล้ว โดยให้เริ่มที่… ตำแหน่งนายอำเภอเหยา ณ เมืองหลินเจียง”

“กระหม่อมจะไปในทันพลัน”

“ประเดี๋ยวก่อน ยังมีอีกเรื่อง ส่งเทียบเชิญในนามของข้าให้ราชครูเฟ้ย พรุ่งนี้เวลาเช้าโปรดเชิญราชครูเฟ้ยเข้าวังมาชมดอกไม้ด้วย”

ขันทีเหนียนสะดุ้ง และโค้งคารวะ “กระหม่อมรับด้วยเกล้าพ่ะยะค่ะ”

เมื่อเหนียนกงกงหันหลังเดินออกไป หยูเวิ่นหวินมิทราบว่าเหตุใด “เสด็จแม่เพคะ ช่วยหม่อมฉันคิดหาหนทางด้วยเถิดเพคะ”

“มิต้องรีบร้อน เจ้าไปดูเสด็จพี่ของเจ้าเถิด เมื่อคืนวาน เขาถูกเสด็จพ่อของเจ้าห้ามมิให้ออกไปข้างนอกอีกแล้ว”

ซั่งกุ้ยเฟยกลับเข้าไปในสวนดอกเบญจมาศอีกครา หยิบกรรไกรขึ้นมา และตัดแต่งกิ่งดอกเบญจมาศอย่างพิถีพิถัน

นายน้อยเจ้าสำราญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญโชคดีที่ได้ทะลุมิติมา ทั้งยังได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ชีวิตนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่กินจนตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นฟู่เซี่ยวกวนจึงได้กระทำเรื่องบางอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดผล กระทบที่ใหญ่หลวงตามมาเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง องค์หญิงต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นราชบุตรเขย บุตรีแห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจการต้องการแต่งกับเขา คนป่าต้องการหัวของเขา รัฐอี๋ต้องการชีวิตของเขา ส่วนรัฐฝานต้องการเงินของเขา… แต่เขา.. ฟู่เซี่ยวกวนนั้นต้องการเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากเล่า !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset