ตอนที่ 908 หลิวจิ่นกลับมาแล้ว
จัวหลิวหวินกลับไปแล้ว ทว่าหยูเวิ่นเต้ายังคงยืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรและทอดมองราตรีอันมืดมิด
ในกระเป๋าอกเสื้อของเขายังมีรายงานอีกหนึ่งฉบับ
รายงานฉบับนี้มิได้มาจากหอซี่หยู่แต่อย่างใด ทว่ามาจากฝูงมด !
นี่คือรายงานที่มิอาจเปิดเผยต่อผู้ใดได้ เนื่องจากเนื้อหาด้านในมีเพียงประโยคเดียวซึ่งก็คือ ‘หทัยของไทเฮาซั่งอยู่ที่อู๋ต้าหลาง’ !
ประโยคนี้เปรียบเสมือนกระบี่แหลมแทงเข้ากลางใจของหยูเวิ่นเต้า เขามิอาจชักกระบี่นี้ออกมาได้ อีกทั้งยังมิรู้ว่าควรเผชิญหน้าหรือจัดการกับปัญหานี้เยี่ยงไรดี
แน่นอนว่าเขาย่อมสงสัยในรายงานฉบับนี้ เดิมทีคิดว่าฝูงมดต้องการกระตุ้นเขาจึงส่งข้อความนี้มา
ทว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา เขาก็ได้รับรู้ว่าเนื้อความในจดหมายเป็นเรื่องจริง !
เมื่อคืน ณ สวนดอกไม้ด้านหลังวังเตี๋ยอี๋ เสด็จพ่อเข้าบรรทมแล้ว ทว่าเสด็จแม่กลับดำเนินออกมาจากพระตำหนัก
ในศาลาซิ่วชุน เขาได้ใช้กล้องส่องทางไกลลอบมอง เห็นเต็มสองตาว่าอู๋ต้าหลางอยู่ในศาลา !
เขามิรู้ว่าทั้งสองสนทนาเรื่องอันใดกัน แต่ก็เห็นเต็มสองตาว่าอู๋ต้าหลางป้อนผลไม้คล้ายองุ่นให้แก่เสด็จแม่ อีกทั้งเสด็จแม่ก็อ้าปากรับมันเข้าไป !
ทั้งสองนั่งอยู่ในศาลาซิ่วชุนด้วยกันราวหนึ่งก้านธูป จากนั้นอู๋ต้าหลางก็ใช้วิชาตัวเบาเหินนภาจากไป ส่วนเสด็จแม่ก็กลับเข้าวังเตี๋ยอี๋ด้วยใบหน้าอิ่มเอม
ส่วนเสด็จพ่อ…หาได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ไม่
เรื่องราวชีวิตในรุ่นของบิดามารดานั้น หยูเวิ่นเต้าเคยได้ยินมาบ้าง ทว่าบัดนี้เมื่อมองดูแล้ว แม้วันเวลาจะผ่านพ้นก็ดูเหมือนพวกเขามิได้ลืมเรื่องราวเหล่านั้นเลยสักนิด
หากเป็นสตรีนางอื่น หยูเวิ่นเต้าอาจจะมองว่านางแสนภักดีต่อความสัมพันธ์ในอดีต แต่เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเสด็จแม่ของตน…หยูเวิ่นเต้าจึงรู้สึกโกรธและผิดหวัง
เสด็จแม่เป็นถึงไทเฮา เหตุใดถึงมิทำหน้าที่ของไทเฮาอย่างสงบสุขเล่า ?
เช่นนี้จะให้ข้าเผชิญหน้ากับท่านเยี่ยงไร ? จะเผชิญหน้ากับเสด็จพ่อเยี่ยงไร ?
อู๋ต้าหลาง…หยูเวิ่นเต้ากัดฟันกรอด แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต “ตาเฒ่าชั่วช้า สมควรตาย ! ข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ ! ”
เขาพ่นลมหายใจออกมาด้วยความรุนแรง พยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็ก้าวเดินออกจากห้องทรงพระอักษร
ต้องบุกเข้าไปในราชวงศ์อู๋ จากนั้นก็จับอู๋ต้าหลางมาสับมิให้เหลือแม้แต่กระดูก !
บัดนี้หยูเวิ่นเต้าจึงตัดสินใจแล้วว่าจะนำทหารบุกเข้าไปในราชวงศ์อู๋
……
……
ณ อู่ต่อเรือเจียงเฉิง เมืองเจียง แห่งราชวงศ์อู๋
ฟู่เสี่ยวกวน เจี่ยหนานซิง เป่ยหวังฉวนและไป๋ยู่เหลียนยืนอยู่ริมตลิ่ง พวกเขาทอดมองออกไปยังแม่น้ำแยงซีที่ทอดยาวพลันนึกถึงหลิวจิ่นขึ้นมา
หลิวจิ่นห้าวเดินทางออกทะเลใกล้ครบสิบเดือนแล้ว !
กระทั่งบัดนี้ก็ยังไร้ข่าวคราวใดส่งกลับมา แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่แปดก็มิได้ส่งข่าวใดกลับมาเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้จิตใจของเขามิอาจสงบลงได้ เนื่องจากในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่มีอันตรายมากมายยิ่ง กอปรกับพวกเขามิรู้จักเส้นทางเดินเรือเส้นนั้นมาก่อน
ช่วงนี้ศิษย์พี่สามซูโหรวพำนักอยู่กับซูซู เขามิกล้าโผล่หน้าไปที่ตำหนักของซูซู เนื่องจากเขามิกล้าเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของศิษย์พี่สาม
เขาใจร้อนจนเกินไปจริง ๆ ด้วย !
เขาควรรอให้เรือรบระดับอู่เว้ยติดตั้งเครื่องจักรไอน้ำเสร็จเสียก่อน จากนั้นค่อยสร้างกองทัพเรือขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
บัดนี้เรือทดลองระดับอู่เว้ยกำลังเดินทางกลับมาที่อู่ต่อเรือเจียงเฉิง ฟู่เสี่ยวกวนวางแผนเอาไว้ว่ารอให้เรือทดลองนี้เพิ่มถ่านหินและปืนใหญ่เข้าไปเสียก่อน จากนั้นค่อยทดลองแล่นออกทะเลอีกครา เขาเองก็จะขึ้นไปด้วยเช่นกัน เขาอยากทดลองขับเรือออกนอกชายฝั่งเพื่อสัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง
หากมิมีปัญหาใด เรือรบระดับอู่เว้ยอีก 5 ลำจะปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรไอน้ำทั้งหมด จากนั้นก็จะส่งมอบให้แก่ทหารเรือต่อไป
ด้านลูกเรือคาดว่าต้องใช้เวลาราว 3 – 4 เดือนในการทำความคุ้นเคยกับรูปแบบการบังคับเรือหรือคำศัพท์ใหม่ ๆ จากนั้นทหารเรือก็จะขึ้นสู่เรือรบเป็นคราแรก
ยุคเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู๋ กำลังจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว !
ปรากฏหมอกจาง ๆ เหนือผิวน้ำยามเช้าตรู่ สายลมจากแม่น้ำพัดพาอากาศหนาวเย็นมาเล็กน้อย
ฟู่เสี่ยวกวนหรี่ตามองผิวน้ำอยู่เนิ่นนาน ไป๋ยู่เหลียนที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้องมองไปยังแผ่นหลังของเขา พลันเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจ
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด ฤดูใบไม้ผลิ บุตรพ่อค้าที่ดินซึ่งมีชื่อเสียงย่ำแย่ผู้นี้ ได้เดินทางมายังเรือนซีซานเป็นคราแรก
ในวันที่สองหลังจากเดินทางมาถึงเรือนซีซาน อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาวิ่งตั้งแต่เช้าตรู่และที่สนามฝึกวรยุทธนั้นไป๋ยู่เหลียนกำลังซ้อมเพลงดาบอยู่
ดาบนั้นเกือบจะฟาดฟันโดนฟู่เสี่ยวกวนแล้วด้วยซ้ำ ทว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะกระพริบตา
หลังจากที่ทั้งสองได้สนทนากันชั่วครู่ อยู่ ๆ เจ้าหมอนี่ก็ใช้สุรามาหลอกล่อตน
นานเท่าใดแล้วที่มิได้ดื่มสุราร่วมกัน ?
ดูเหมือนนับตั้งแต่แต่งงานกับเหวินรัวซี เขาก็มิได้ดื่มสุราอีกเลย
เขาติดตามเจ้าหมอนี่มาเกือบ 6 ปีแล้ว
ได้เห็นกับตาตั้งแต่ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเท้าออกจากเมืองหลินเจียงเพื่อไปยังจินหลิง ไปฉินหลิง ไปว่อเฟิงเต้า จากนั้นก็ไปยังสถานที่ซึ่งเคยเป็นแคว้นฮวงมาก่อน กระทั่งเดินทางมาถึงราชวงศ์อู๋ในปัจจุบัน
ส่วนตนก็ได้ฝึกฝนทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งขึ้นมา ทั้งยังได้นำทัพไปปราบปรามกองโจรในภูเขาผิงหลิงเพื่อให้ทุกคนได้เห็นประสิทธิภาพการต่อสู้อันทรงพลังของกองทัพนี้
ต่อมาตนก็เดินทางมายังราชวงศ์อู๋และได้ฝึกทหารดาบเทวะกองทัพที่สองขึ้น
จากนั้นก็นำทหารดาบเทวะกองทัพที่สองไปทำลายล้างแคว้นฮวง จากนั้นเจ้าหมอนี่ก็พาเขามายังราชวงศ์อู๋เพื่อฝึกทหารเรือกองทัพที่หนึ่งและกองนาวิกโยธินทัพที่หนึ่งแห่งราชวงศ์อู๋ขึ้นมา
บัดนี้เป็นเวลามิถึง 2 ปี กองทัพเรือก็มีเรือรบเป็นของตนเองแล้ว และยังเป็นกองทัพที่แยกออกมาจากทหารราบทั้งปวง
จากแผนการของฟู่เสี่ยวกวนคาดว่าในต้นปีหน้า ทหารเรือจะสามารถเดินหน้าและก่อสงครามทางทะเลขึ้นเป็นคราแรก
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยว่าอีกฟากของทะเลมีผืนปฐพีกว้างใหญ่ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีอารยธรรมก้าวหน้า ดังนั้นการฝึกทหารเรือเหล่านี้จะหละหลวมมิได้เป็นอันขาด เพราะหากวันใดมีเรือปรากฏออกมาจากอีกฟากฝั่งของทะเลนั่นย่อมเป็นศัตรูที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
จะแข็งแกร่งเพียงใดกัน ?
ไป๋ยู่เหลียนมิอาจจินตนาการได้ ทว่าจากที่ฟู่เสี่ยวกวนให้ความสำคัญต่อเรือรบระดับอู่เว้ยนี้ คาดว่าเป็นเพราะศัตรูแข็งแกร่งจนเกินไป จึงต้องเตรียมรับมือเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ไป๋ยู่เหลียนหยุดความคิดในสมองลงทันใด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองไปยังผิวน้ำ พบว่ามีเรือลำมหึมากำลังแล่นผ่านม่านหมอกเข้ามาช้า ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนเผยรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวไป๋ วันพรุ่งนี้พวกเราออกทะเลใกล้ ๆ เพื่อทดลองยิงปืนใหญ่สักหน่อยเถิด”
ทว่าต่อจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น เนื่องจากมิเห็นควันเผาไหม้สีดำของเครื่องจักรไอน้ำที่ปล่อยออกมา !
อย่าว่าแต่ควันดำเลย เพราะมันมิมีแม้แต่ควันเลยด้วยซ้ำ
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงันลงทันใด พอได้สติกลับมาก็ตะโกนเสียงดังด้วยอารามดีใจ “หลิวจิ่นห้าว ! เป็นหลิวจิ่นห้าว ! พวกเขากลับมาแล้ว ! ”
เป็นจริงดังนั้น เพราะด้านหลังของหลิวจิ่นห้าวมีเรือบรรทุกเสบียงตามมา 3 ลำ บัดนี้หลิวจิ่นห้าวส่งเสียงแตรออกมาและโบกสะบัดธงเป็นสัญลักษณ์ว่าต้องการเทียบท่า !
บัดนี้ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส มิว่าเยี่ยงไรการที่หลิวจิ่นห้าวกลับมาได้ก็นับว่าเป็นข่าวดียิ่ง ในที่สุดเขาก็มิต้องอึดอัดต่อศิษย์พี่สามอีกต่อไปแล้ว
เมื่ออู่ต่อเรือเจียงเฉิงพบว่าหลิวจิ่นห้าวทำสัญลักษณ์ขอเทียบท่า ก็พลันเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที เนื่องจากที่อู่ต่อเรือมีเรือรบจอดอยู่ถึง 4 ลำ !
ณ หอสังเกตการณ์ บนชั้นสามของหลิวจิ่นห้าว กล้องส่องทางไกลถูกยกขึ้นมาส่อง
เขารู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งนัก พวกเขาเดินทางจากไปเกือบ 10 เดือนแล้ว เผชิญหน้ากับหายนะนับครามิถ้วนในทะเล ทว่าก็มีชีวิตรอดกลับมาได้
เขาได้ทำตามบัญชาขององค์จักรพรรดิเป็นที่เรียบร้อย เขาได้นำเส้นทางเดินเรือซึ่งพุ่งตรงไปยังช่องแคบเบริงกลับมาด้วย อีกทั้งยังได้นำเพชรนิลจินดาและเมล็ดพันธุ์พืชที่มิรู้จักชื่อกลับมาด้วยมากมาย
การเดินทางในครานี้สิ้นสุดลงแล้ว เขาจะนำความมหัศจรรย์คราใหญ่ไปถวายให้แก่ฝ่าบาท ทว่าอยู่ ๆ สีหน้าของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นอย่างหาที่สุดมิได้ เนื่องจากเขามองเห็นองค์จักรพรรดิประทับอยู่บนท่าเรือผ่านกล้องส่องทางไกล !
ฝ่าบาทคือเทพเซียนอย่างแท้จริง !
ทรงมารอต้อนรับเขากลับสู่ผืนปฐพีด้วยพระองค์เอง !
ว่าแต่ฝ่าบาททรงทราบได้เยี่ยงไร…ว่าเขาจะเดินทางกลับมาถึงท่าเรือในวันนี้ ?
คาดว่าเป็นเพราะฝ่าบาททรงคร่ำครวญและคำนึงถึงตนมากเป็นแน่ หรือบางทีฝ่าบาทอาจจะรอคอยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้วก็เป็นได้
“ฝ่าบาท ! กระหม่อมกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”