ตอนที่ 928 เรื่องราวในราชวงศ์หยู
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าตนเองควรฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางให้มากยิ่งขึ้น
เหตุใดข้าถึงมิมีความอดทนมุ่งมั่นเอาเสียเลย ?
หากมีความขยันแม้เพียงน้อยนิดก็คงมิพ่ายแพ้ต่อหนานกงตงเซวี๋ยหรอก !
การพ่ายแพ้ให้ซูซู สวี่ซินเหยียนหรือจางเพ่ยเอ๋อร์ยังพอเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ตัวเขาเป็นถึงผู้มีวรยุทธ์ ทว่ากลับพ่ายแพ้ให้กับหนานกงตงเซวี๋ยจนได้… มิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปที่ตำหนักหยางซิน เขามิรู้ว่าหนานกงตงเซวี๋ยยังคงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
เยี่ยนเสี่ยวโหลวและต่งชูหลานอยู่ในห้องโถงด้านข้างของตำหนักหยางซิน บัดนี้พวกนางกำลังนั่งอยู่ข้างเตาผิงไฟ ทว่าใบหน้าของพวกนางดูกังวลอยู่มิน้อย
“เกิดเหตุอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาข้างในอย่างทุลักทุเล
หากเป็นในอดีตต่งชูหลานคงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของฟู่เสี่ยวกวน ทว่าบัดนี้เห็นได้ชัดว่านางมิแยแสเลยแม้แต่น้อย
เมื่อน้ำในกาเดือด เยี่ยนเสี่ยวโหลวจึงบิดใบชาเล็กน้อยแล้วโยนลงไป ส่วนต่งชูหลานเอ่ยขึ้นมาว่า
“มีจดหมายจากท่านพ่อ”
“ไอหยา… ท่านพ่อตาเขียนว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“หยูเวิ่นเต้าบอกให้เขาลาออกจากตำแหน่งขุนนาง”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้แล้ว ต่งชูหลานก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ท่านพ่อเป็นเสนาบดีกรมคลังแห่งราชวงศ์หยูมานานกว่าสิบปี เพื่อประโยชน์ของราชวงศ์หยูแล้วท่านทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ
แล้วในท้ายที่สุดเล่า ?
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยเหตุเช่นนี้ !
เขาอายุเพียงแค่ 40 ปีเท่านั้น กำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เหตุใดหยูเวิ่นเต้าถึงทำกับเขาได้ลงคอ !
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้น จึงแสยะยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเคยคิดว่าอยากให้ท่านพ่อออกจากการเป็นขุนนางมิใช่หรือ ? ”
“สิ่งนี้แตกต่างออกไป เพราะครานี้ท่านพ่อลาออกเนื่องจากมิอยากทำงานให้หยูเวิ่นเต้าอีก และหยูเวิ่นเต้ายังเป็นผู้ยื่นข้อเสนอเรื่องการลาออกให้ท่านพ่ออีกด้วย ! ”
“ท่านพ่อตายังอยู่ที่เมืองจินหลิงหรือไม่ ? เขียนจดหมายขอให้ท่านพ่อตาพาท่านแม่ยายมาที่เมืองกวนหยุนสิ ข้ามิได้ทานซุปหัวปลาตุ๋นน้ำแดงฝีมือท่านแม่ยายมานานมากแล้ว”
ต่งชูหลานจ้องหน้าฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “มิใช่ว่าข้าก็ทำให้ท่านทานหรอกหรือ อ้อ ! ท่านพ่อมิได้อยู่ที่จินหลิง ทว่าท่านพ่อได้ย้ายไปพำนักอยู่ที่เรือนซีซาน”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันใด ต่งชูหลานหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อของนาง จากนั้นก็ยื่นให้แก่เขา “ท่านอ่านเองเถิด มิรู้ว่าท่านพ่อกำลังคิดอันใดอยู่”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบจดหมายมาเปิดอ่าน
‘…เรื่องนี้จะโทษหยูเวิ่นเต้าก็คงมิได้ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับข้าราชบริพารเริ่มมีช่องว่างและรอยร้าวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาอาจจะมีนโยบายหลายอย่างที่ประสงค์จะกระทำ ทว่ากลับถูกขุนนางเก่าแก่เยี่ยงพ่อคัดค้านไปเสียทุกทาง ดังนั้นจึงมิมีความกระจ่างเอาเสียเลย ถือเป็นการดีที่จากลากันเสียตั้งแต่บัดนี้
เมื่อพ่อได้คิดทบทวนมาเป็นเวลานาน และตัดสินใจว่าจะมิไปยังเมืองกวนหยุนเพราะอายุปูนนี้แล้ว ยากที่จะทำใจออกห่างจากบ้านเกิดเมืองนอน
หยูเวิ่นเต้ามิได้ทำร้ายพ่อ สิ่งเหล่านั้นอาจจะเกิดขึ้นหากว่าเขาจนตรอกจนถึงที่สุดแล้วจริง ๆ ดังนั้นเจ้าและเสี่ยวกวนอย่าได้เป็นกังวลต่อเรื่องนี้เลย
พ่อและท่านแม่ของเจ้าพาบ่าวมาถึงเรือนซีซานแล้ว เป็นคราแรกที่ได้มาเยือนและพ่อชอบที่นี่มากยิ่งนัก ทว่าท่านแม่ของเจ้ามีความเห็นว่า…นางคิดว่ามันเป็นสถานที่ที่สวี่หยุนชิงสร้างขึ้นมาและคิดว่าพ่อต้องมีแผนการอันใดอยู่เป็นแน่
พ่อจะมีความคิดอื่นแอบแฝงได้เยี่ยงไร พ่อคิดเพียงแค่ว่าที่นี่ช่างเงียบสงบและที่ดินของพวกเจ้าทั้งหมด หยูเวิ่นเต้าก็มิได้ยึดคืนแต่อย่างใด ต่อจากนี้พ่อจะลองปลูกพืช ทำนา พักผ่อนและสนทนากับผู้อาวุโสฉินเกี่ยวกับบทกวีจารึกเรือนซอมซ่อที่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์เอาไว้
การที่มิมีกองเอกสารวางรกหูรกตาเช่นนี้ ช่างดีเสียเหลือเกิน
เอาเป็นว่าทุกอย่างยังเรียบร้อยดี ฝากถามสารทุกข์สุกดิบของเสี่ยวกวนแทนพ่อด้วย’
ท่านพ่อตาผู้นี้ช่างใจกว้างเสียจริง
ฟู่เสี่ยวกวนส่งจดหมายคืนต่งชูหลานแล้วเอ่ยว่า “แท้ที่จริงก็เป็นเรื่องดีที่มีท่านพ่อตาและท่านแม่ยายคอยดูแลเรือนซีซานให้ ผู้อาวุโสฉินก็ยังอยู่ที่นั่น ท่านพ่อตาจะได้มีคนคอยเล่นหมากรุกและสนทนาเป็นเพื่อน”
ต่งชูหลานสูดหายใจเข้าลึก กัดริมฝีปากแน่น “แท้ที่จริงแล้วเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องท่าน พี่ใหญ่และญาติ ๆ ของตระกูลต่ง”
เรื่องนี้คือข้อเท็จจริง พี่ภรรยาคนโตของเขามีนามว่าต่งซิวจิ่น บัดนี้เป็นจือโจวแห่งชิงโจว ณ เหอหนานของราชวงศ์หยู ส่วนพี่ภรรยาคนรองนามต่งซิวเต๋อ บัดนี้อยู่ในราชวงศ์อู๋ ทว่าถูกต่งชูหลานส่งไปดูแลโรงงานเครื่องแก้วและโรงงานกระป๋องในเขตซื่อหยาง
และยังมีอีกหลายคนในตระกูลต่งที่เป็นขุนนางของราชวงศ์หยู ด้านต่งเสียงฟางท่านลุงสองเป็นจือโจวที่ว่อเฟิงเต้า พอหนิงหยู่ชุนถูกปลดออกจากตำแหน่งเต้าถาย ท่านลุงสองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเต้าถายแทน แต่เกรงว่าจะมีชีวิตที่ลำบากมิน้อย
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เพราะถึงเยี่ยงไรมันก็ใกล้จะจบแล้ว
เยี่ยนเสี่ยวโหลวยังคงนิ่งเงียบเยี่ยงกุลสตรี นางรินชาให้ฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ท่านลุงและท่านพ่อของข้าก็ลาออกจากการเป็นขุนนางแล้วเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาอีกครา เพราะมิเคยได้ทราบเรื่องนี้จากฝูงมดมาก่อน
หากการลาออกของต่งคังผิงมิใช่เรื่องใหญ่ ทว่าเยี่ยนซือเต้าอัครมหาเสนาบดีทำการเกษียณพร้อมกับเยี่ยนฮ่าวชูเสนาบดีกรมกลาโหม เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่… ขุนนางใหญ่แห่งราชวงศ์หยูลาออกพร้อมกัน จะมิถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ได้เยี่ยงไร ?
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย อืม โจวถงถง…
“พวกเขาก็คงมิได้เดินทางมาที่ราชวงศ์อู๋เช่นกัน”
“มิได้มาเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวพยักหน้า “พวกเขาอยู่ด้วยกันกับท่านปู่ กล่าวว่าเยี่ยนซีเหวินกับเยี่ยนหลินชิวลูกพี่ลูกน้องของข้าจะกลับจวนในช่วงปีใหม่และยังกล่าวอีกว่า…”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวยื่นจดหมายให้กับฟู่เสี่ยวกวน “ท่านอ่านเองเถิด ข้าคิดว่ามีความหมายบางอย่างแฝงอยู่ซึ่งข้ามิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงรับจดหมายมาเปิดดู
‘…เหตุการณ์แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา คนจากไปชาก็เย็นชืด จวนที่พวกเจ้าเคยอยู่นั้น ตั้งแต่เปลี่ยนป้ายเป็นจวนเจิ้นกั๋วกง ท่านปู่ก็ได้ไปเยี่ยมเยียนบ้างเป็นครั้งครา
ป้ายคำขวัญที่ติดอยู่เหนือทับหลังประตู คาดว่ามิได้ทำมาจากทองคำแท้
บ่าวที่พวกเจ้าเหลือทิ้งไว้ในจวนก็ได้จากไปแล้ว มิรู้ว่าพวกเจ้าลืมให้เบี้ยหวัดพวกเขาหรือไม่ ข้าแก่ชรามากแล้ว จึงมิอาจขุดหญ้าที่งอกขึ้นมาในสวนดอกไม้ได้ เมื่อลองตริตรองดูดี ๆ แล้วจึงคิดว่าปล่อยมันไว้ดีกว่า หากฤดูใบไม้ผลิมาถึงอาจจะมีดอกไม้งอกออกมาบ้าง
ปีนี้สภาพอากาศในราชวงศ์หยูผิดปกติมากยิ่งนัก บัดนี้เดือนสิบสองแล้ว ทว่าหิมะยังมิตกเลยสักนิด ปีหน้า…เกรงว่าจะเป็นปีที่ขาดแคลนอาหาร…’
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มอย่างสบายใจ “อย่าได้คิดมากไปเลย ปีที่ขาดแคลนอาหารนี้มิทำให้ตระกูลเยี่ยนอดอยากอย่างแน่นอน อย่างมากก็แค่ให้พวกเขาไปที่เรือนซีซานแล้วจ้างคนบางส่วนมาปลูกข้าว เท่านี้ก็ได้แล้วมิใช่หรือ ? ”
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “หยูเวิ่นเต้าผู้นี้ก็แปลกเสียจริง เหตุใดถึงมิยึดที่ดินบริเวณภูเขาซีซานคืนเล่า ? ”
“บางที เขาอาจจะยังคิดถึงเรื่องราวในอดีต ที่นั่นเป็นที่ดินศักดินาของท่าน อีกอย่าง…เขาก็เป็นพี่ชายของท่านด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนเหล่ตามอง พลางครุ่นคิดชั่วครู่ “ใช่ ! ข้าเป็นน้องเขยของเขา ข้ามิได้ดื่มสุรากับเขาเนิ่นนานแล้ว รู้สึกคิดถึงบรรยากาศนั้นเสียจริง”
“พวกเจ้านั่งกันไปเถิด ข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินออกจากห้องโถงด้านข้าง เพื่อกลับไปยังห้องโถงใหญ่พร้อมกับเจี่ยหนานซิง
“ขันทีเจี่ย ไปพาชุยเยว่หมิงมาพบข้า”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
ขันทีเจี่ยเดินออกไป ส่วนฟู่เสี่ยวกวนยังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง พลางทอดมองเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาอยู่เนิ่นนาน
ชุยเยว่หมิงเป็นสายลับที่บิดาอ้วนส่งไปอยู่ในจินหลิงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ความจงรักภักดีของชายชราผู้นี้ได้รับการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว ในยามที่อยู่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาจึงออกไปเดินเล่นท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย หลิวจิ่นรีบกางร่มให้เขาทันที ทว่ากลับถูกเขาปฏิเสธ “เจิ้นอยากเดินเล่นตามลำพัง เจ้าจงไปสั่งให้ห้องเครื่องจัดเตรียมอาหารเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง จากนั้นให้ไปเชิญเหล่าสตรีวังหลังมาร่วมโต๊ะอาหารมื้อนี้ที่นี่”
เขาเดินไปตำหนักของซูซู จึงได้พบกับศิษย์พี่สามซูโหรว
“ข้าอยากเชิญศิษย์พี่ห้าซูเตี่ยนเตี่ยนมาที่วังสักหน่อย”
เมื่อซูโหรวได้ยินเช่นนั้น จึงวางเข็มปักผ้า นัยน์ตาเรียวเล็กของนางหรี่ลง “ได้ ! ”